เที่ยวเกาหลีนอนวัง เยือนรัง 'ปัก กึนฮเย'


เพิ่มเพื่อน    

หอสมุดกรุงโซลและศาลาว่าการเมือง

แม้จะได้กาแฟเอสเปรซโซ 1 ถ้วย และชาอัสสัม 1 กา จากร้านกาแฟย่านฮงแด แต่เมื่อนั่งรถไฟใต้ดินไปโผลที่สถานี City Hall เพื่อเข้าชมพระราชวังด็อกซู จ่ายค่าตั๋ว 1,000 วอนแล้วก็ยังมีอาการง่วงนอนอีกจนได้ คงมาจากความเพลียสะสมและความไม่สงบเล็กๆ น้อยๆ ในห้องนอนรวมของเกสต์เฮาส์เมื่อคืน

แทบไม่ได้ชมพระราชวังที่มีความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ แห่งหนึ่งของเกาหลีอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เห็นท่อนไม้ที่เป็นม้านั่งยาวสำหรับนั่งมองอาคารที่ชื่อซ็อกโจจอน มีสนามหญ้าและบ่อน้ำพุหน้าอาคาร ผมก็เอนหลังยาวลงไป ใช้กระเป๋าเป้เป็นหมอน วางกล้องถ่ายรูปไว้บนพุงโดยมีสายคล้องคอไว้ แล้วทำการงีบท่ามกลางผู้คน ขอบอกว่าเรื่องแบบนี้คงไม่กล้าทำในเมืองไทย คงเหมือนบรรดาฝรั่งที่ทำอะไรแปลกๆ หลายอย่างในบ้านเราที่บ้านพวกเขาไม่อนุญาตให้ทำ แต่การนอนงีบในสวนของวังคงไม่มีความผิดอะไร ถือเสียว่าจ่ายค่าที่นอน 1,000 วอน

หลับไปได้ราว 5 นาที ก็ตื่นขึ้นอย่างสดชื่นดังกับเช้าวันใหม่ อาคารซ็อกโจจอนยังอยู่ที่เดิม อาคารสไตล์ตะวันตกหลังนี้สร้างเสร็จเมื่อปี ค.ศ.1910 เป็น 1 ใน 2 อาคารแบบตะวันตกภายในพื้นที่พระราชวัง อีกหลังคือพิพิธภัณฑ์ศิลปะของพระราชวังที่ตั้งอยู่ทางซ้ายมือ ความจริงมีศาลาทำสมาธิที่ชื่อจุงกวนฮยองอีกหลังที่ออกแบบโดยสถาปนิกชาวรัสเซีย แต่ก็ยังผสมผสานกับรูปแบบเกาหลีดั้งเดิม

ตำหนักจุงฮวาจอน หรือ Throne Hall ในพระราชวังด็อกซู

พระราชวังด็อกซู (Doeksugung) เดิมเป็นที่ประทับขององค์ชายท่านหนึ่ง และเริ่มมีการใช้งานชั่วคราว โดยพระเจ้าซอนโจ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1593 ถือเป็นพระราชวังรองถัดจากพระราชวังเคียงบก (Gyeongbokgung) อยู่เป็นเวลา 270 ปี อีกทั้งในยุคที่ญี่ปุ่นโดยขุนศึก “ฮิเดโยชิ โทโยโทมิ” ได้บุกเกาหลีเป็นเวลา 7 ปี (ค.ศ.1592-1598) พระเจ้าซอนโจก็ได้เสด็จมาประทับที่นี่จนได้กลายเป็นพระราชวังหลวงอยู่ช่วงหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ในเวลานั้นญี่ปุ่นยังยึดเกาหลีได้ไม่สำเร็จ เพราะการส่งเสบียงและกำลังสนับสนุนทางเรือมักถูกดักจู่โจมโดยกองเรือของเกาหลี  

ปัจจุบันพระรางวังด็อกซูมีอาคารและประตูเหลืออยู่สิบกว่าหลัง จากที่มีอยู่มากมายในสมัยพระเจ้าโกจง (ครองราชย์ ค.ศ.1863-1897) กองทัพญี่ปุ่นหลังการปฏิวัติยุคเมจิได้กรีธาทัพเข้ารบ ยึด ลอบสังหารพระราชินีเมียงซ็องผู้ยิ่งใหญ่ และบังคับทำสนธิสัญญาผนวกเกาหลีเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิญี่ปุ่นได้สำเร็จในปี ค.ศ.1910 หลังจากนั้นก็เริ่มรื้อเผาทำลายอาคารต่างๆ โดยเฉพาะเมื่อพระเจ้าโกจงสิ้นพระชนม์ลงในปี ค.ศ.1919 ฝ่ายผู้รุกรานก็ยังพยายามขายอสังหาริมทรัพย์เหล่านี้ให้กับเอกชน อย่างไรก็ตาม แรงกดดันจากประชาชนคนเกาหลีทำให้ฝ่ายญี่ปุ่นเปิดพระราชวังเป็นสวนสาธารณะ โดยยกเว้นอาคารเพียงบางหลัง

อาคารซ็อกโจจอนในพระราชวังด็อกซู

ผมเดินถ่ายรูปอยู่ได้สักพักก็ออกจากพระราชวัง ข้ามถนนไปยังฝั่ง City Hall หรือศาลาว่าการเมือง กำลังมีการจัดเวทีและเตรียมเก้าอี้จำนวนมาก คาดว่ากำลังจะมีคอนเสิร์ตหรืองานใหญ่บางอย่างในค่ำคืนนี้ แต่คงรอชมไม่ได้ เพราะมีนัดกับจินฮี หรือ “จินนี่” เพื่อนเกาหลีของผม จินนี่บอกว่าเธอมีเชื้อมองโกล พินิจใบหน้าเธอแล้วก็น่าจะจริง ซึ่งในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 13 นั้น อาณาจักรมองโกลยิ่งใหญ่มาก ครอบครองดินแดนอันไพศาล หนึ่งในนั้นก็คือคาบสมุทรเกาหลีที่ต้องสวามิภักดิ์เป็นประเทศราช

ลงรถไฟใต้ดินที่สถานี City Hall ไปโผล่ที่สถานี Chungmuro เจอจินนี่ยืนยิ้มรออยู่บนบาทวิถี เธอพาผมขึ้นรถบัสต่อไปยังเขานัมซัน ถึงสถานีจอดผมก็ขอแวะซื้อขนมและน้ำดื่มที่ร้านสะดวกซื้อ เพราะหิวและกระหายเต็มที จากนั้นก็เดินขึ้นเขาไปอีกหน่อย ถึงยอดเขาที่ความสูง 243 เมตร ตอนฟ้ามืดพอดี มีหอคอยชื่อ N Seoul Tower ความสูง 236.7 เมตร ตั้งอยู่สำหรับขึ้นไปดูวิวกรุงโซล ก่อนนี้เคยใช้เป็นเสาส่งสัญญาณวิทยุและโทรทัศน์ ปัจจุบันบริหารโดยบรรษัททางด้านอาหาร CJ Foodville มีส่วนของอาคาร Seoul Tower Plaza จำนวน 5 ชั้น ประกอบเข้าไปด้วย หอคอยนี้ถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญของกรุงโซล มีร้านอาหาร ร้านค้า พิพิธภัณฑ์ และสถานบันเทิงหลายรูปแบบสำหรับคนทุกวัย

ลิงจ๋อชุมนุมบนหลังคาศาลาแปดเหลี่ยมด้านหน้าหอคอยกรุงโซล

จินนี่ไม่ได้ชวนผมขึ้นไป เธอบอกว่ายุ่งยากนิดหน่อยและเราไม่มีเวลา จึงได้แค่ดูวิวจากฐานของหอคอย เห็นทิวทัศน์มากกว่า 180 องศา ทางด้านทิศใต้และทิศตะวันออก โดยมีแม่น้ำฮัน แม่น้ำสายหลักของเกาหลีใต้ที่ไหลมาไกลเกือบ 500 กิโลเมตร จากภูเขาแทแบ็กทางตะวันออก กำลังวาดเส้นโค้งอยู่เบื้องล่างก่อนจะไหลลงสู่ทะเลเหลืองที่อยู่ไม่ห่างออกไป   

บริเวณด้านล่างหรือฐานของหอคอยนี้มีกุญแจลั่นสลักรักแบบถาวรคล้องกันอยู่แน่นราวทางเดินและริมระเบียง คู่รักเขียนชื่อและข้อความลงไปว่าจะรักกันนิรันดร หลายคู่คงสมปรารถนาตามที่ได้จดจารไว้ แต่บางคู่ความรักคงอยู่แต่ในเพียงกุญแจเท่านั้น ในชีวิตจริงกลับมีรักให้กันเพียงชั่วคราว ผมเคยเห็นกุญแจคล้องบนสะพานข้ามแม่น้ำบางแห่งมีคนกลับไปเอาสีทาทับที่ชื่อของคนเคยรัก หากมีลูกกุญแจก็คงไขออกมาแล้วโยนทิ้งน้ำ จึงขอแนะนำว่าครั้งต่อไปไม่ต้องล็อก แค่คล้องไว้เฉยๆ ก็น่าจะพอ

เราขึ้นรถบัสจากสถานีจอดด้านล่างไปยังย่านจงโน จินนี่นัดเพื่อนไว้อีกคนชื่อ “ฮึนมี” แล้วพากันเดินเข้าตลาดกวางจัง โด่งดังเรื่องเสื้อผ้าและสินค้ามือสอง อีกทั้งมีร้านอาหารแบบพื้นบ้านอยู่ในซอยที่ชื่อมุกจาโกลมุก ร้านอาหารตั้งติดกันเป็นแผงยาว มีม้านั่งให้ลูกค้านั่งกินใกล้ๆ เตาไฟ บางร้านก็มีโต๊ะพับวางออกมาบริเวณทางเดิน

ซอยอาหารพื้นเมืองในตลาดกวางจัง

จินนี่ขอนั่งร่วมกับคนอีกโต๊ะ เธอสั่งอาหารมาหลายอย่าง เช่น ไส้กรอกเลือดหมูและตับทอด ผมกินได้เฉพาะตับ, พินแดต๊อกหรือแพนเค้กถั่วบดผสมผัก, ออมุกหรือเค้กปลาแผ่น, ต็อกบกกี แป้งข้าวเจ้าผสมแป้งข้าวเหนียวเป็นแท่งๆ ขนาดเท่านิ้วชี้หลายๆ แท่งคลุกซอสเผ็ดๆ เคี้ยวได้ความหนึบ แต่ไม่มีรสชาตินอกจากรสซอส กินได้ชิ้นหนึ่งผมก็ถอย ส่วนที่เหลือจำไม่ได้ รู้สึกว่าจะมีหัวหมูย่างหรือลวกด้วย สรุปแล้วกินได้ราวครึ่งหนึ่ง ที่เหลือกินไม่ได้ แต่แกล้งบอกว่าอิ่มขนมที่เขานัมซัน เพราะกลัวจินนี่และฮึนมีจะเสียความรู้สึก อุตส่าห์ภูมิใจนำเสนอ

ขากลับผมแวะไปรับกระเป๋าที่ฝากไว้ที่เกสต์เฮาส์ย่านฮงแด แล้วนั่งรถไฟใต้ดินต่อไปยังสถานี Digital Media City ก่อนเข้าแฟลตของจินนี่ก็แวะซูเปอร์มาร์เก็ตริมถนนใหญ่ ผมหยิบเอากับแกล้มหลายอย่างและเบียร์จำนวนหนึ่ง จินนี่หยิบองุ่นเกาหลี ฮึนมีไม่ได้หยิบอะไร  

นั่งคอยรถไฟได้เพลินๆ ในสถานีรถไฟใต้ดินที่เอาใจใส่ตกแต่ง

จินนี่เตรียมห้องนอนไว้ให้ผมเรียบร้อยแล้ว เป็นห้องของแฟลตเมทของเธอที่ไปทำงานต่างประเทศ แต่ยังคงส่งค่าเช่ามาช่วยจ่ายทุกเดือน ผมเข้าห้องน้ำไปล้างเท้าจึงเข้าใจว่าห้องน้ำของเกาหลีเป็นอย่างที่เล่าให้ฟังในฉบับที่แล้ว สายยางของฝักบัวอาบน้ำต่อออกจากก๊อกของอ่างล้างหน้า น้ำจากฝักบัวและเท้าไหลลาดลงสู่รูท่อที่มีตะแกรงปิดตรงกลางพื้นห้องน้ำ แล้วใส่รองเท้าแตะออกมาเช็ดเท้าก่อนใส่ถุงเท้าเดินไปดื่มเบียร์กับ 2 สาว อากาศปลายเดือนกันยายนเริ่มหนาวหน่อยๆ แล้ว    

ฮึนมีเป็นบรรณาธิการพ็อกเกตบุ๊กของสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง เธอกำลังจะลาออกเพราะเบื่องาน และอาจจะไปเที่ยวเมืองไทยเพื่อชาร์จแบตเตอรี่ชีวิต คาดว่าจะเป็นเชียงใหม่และบางจังหวัดทางภาคเหนือ  

เธอเริ่มกรึ่มๆ ใบหน้าแดงเรื่อ ขอให้ผมพูดภาษาไทยประโยคยาวๆ ถึงความรู้สึกขณะนั้น ผมบอกเธอว่าไม่รู้ความหมายจะฟังไปทำไม เธอก็ยังคะยั้นคะยอ “ฉันอยากฟังภาษาไทย”

ผมก็หยิบเอาเนื้อเพลงลูกทุ่งเพลงหนึ่ง ถอดทำนองออกเหลือแต่ร้อยแก้ว กล่าวไปได้สองวรรคก็หยุด เพราะตอนถึงท่อนฮุกกลัวจะเผลอใส่ทำนองร้องออกมาเป็นเพลง

ฮุนมีบอกว่าผมพูดได้กินใจมาก

สองสาวในชุดฮันบกหน้าพระราชวังเคียงบก

องุ่นเกาหลีที่ซื้อมาเปลือกกินไม่ได้ ต่างคนต่างคายออกมาใส่ถังขยะ ส่วนเนื้อก็ต้องเคี้ยว จะปล่อยให้ละลายในปากก็ไม่สำเร็จ เม็ดก็มี แต่ 2 สาวกินอย่างเอร็ดอร่อย ผมเน้นขนมขบเคี้ยวมากกว่า

ฮึนมีนึกขึ้นได้ว่าพรุ่งนี้เช้าซึ่งเป็นวันเสาร์ต้องไปหาพ่อแม่ที่ต่างจังหวัด เวลาเที่ยงคืนกว่าๆ ผมและจินนี่จึงเดินออกมาส่งที่หน้าถนนใหญ่แล้วเรียกแท็กซี่ให้เธอ

เช้าวันต่อมา จินนี่ทอดไข่เจียวใส่เห็ดให้กินกับข้าวสวย มีปลาข้าวสารและสาหร่ายแผ่นสไลด์ชิ้นเล็กๆ เป็นเครื่องเคียง จากนั้นก็ต้มน้ำใส่กระติกไว้ให้ เธอบอกว่าน้ำเกาหลีกินจากก๊อกไม่ได้ แล้วเธอก็ออกไปรับแม่จากโรงพยาบาลกลับบ้านที่อยู่ห่างออกไปจากแฟลตของเธอไม่ถึง 1 กิโลเมตร

ตอนเย็นจินนี่กลับมาที่แฟลต ชวนผมออกไปเดินเล่นที่พระราชวังเคียงบก ก่อนลงรถไฟใต้ดินก็เจอร้านไก่ทอดกับเบียร์ชื่อ Delicious Chicken เป็นร้านที่เน้นขายแบบเดลิเวอรี่ มีมอเตอร์ไซค์จอดรอไก่ไปส่งลูกค้าอยู่หน้าร้าน ข้างในมีโต๊ะแค่ 4 โต๊ะ เรารอไก่ทอดนานพอสมควรจนเบียร์สดเรียกน้ำย่อยยี่ห้อแม็กซ์หมดแก้วไพน์ไปก่อนแล้ว ร้านนี้ทอดไก่สดๆ ก่อนเสิร์ฟ ไม่ได้ทอดเตรียมเรียงไว้เป็นตับแบบร้านทั่วไป ซึ่งเวลาลูกค้าสั่งก็แค่ทอดซ้ำอีกรอบ

ประตูฮังยีมุน ประตูเข้าพระราชวังเคียงบก

จินนี่สั่งเบียร์มาอีกคนละไพน์ สักพักไก่ทอด 2 จาน จานละตัวก็มาวาง จานหนึ่งเคลือบงาและซอสหวานๆ อีกจานคลุกกระเทียม ยืนยันกับท่านผู้อ่านว่าเมนูนี้ชื่อไก่ทอดและเบียร์จริงๆ เรียกว่า “ชิ-มัก” ชาวเกาหลีกินกันเป็นธรรมดาและไม่ได้สร้างปัญหาให้กับชาติบ้านเมืองมากไปกว่าคนที่ไม่กิน ท่านใดที่โนแอลกอฮอล์จะแยกสั่งเฉพาะไก่ทอดก็คงไม่มีใครว่า สำหรับผมและจินนี่เบียร์ไม่เหลือ แต่เหลือไก่แบบกระเทียมไว้ 3-4 ชิ้น เพราะหากฝืนกินจนหมดอาจไม่ได้ไปต่อ แต่คงต้องกลับบ้านนอน

เรานั่งรถไฟใต้ดินไปโผล่ที่สถานีใกล้ๆ พระราชวังเคียงบก ฟ้ามืดลงสักพักแล้ว แต่ก็มองออกว่าพระราชวังแห่งนี้อาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1394 ในยุครุ่งเรืองเคยมีถึง 200 อาคาร หรืออาจจะเรียกตำหนัก แต่ตอนที่กองทัพ “ฮิเดโยชิ โทโยโทมิ” ของญี่ปุ่นบุกเกาหลีเมื่อปลายคริสต์ศตวรรษที่ 16 ลูกหลานพระอาทิตย์ทุบทำลายและเผาทิ้งเสียราบคาบ ภายหลังได้รับการซ่อมแซมและสร้างขึ้นใหม่ ปัจจุบันเหลืออยู่เพียง 10 ตำหนักเท่านั้น

ประตูพระราชวังปิดแล้ว จินนี่นำผมเดินรอบกำแพงไปทางทิศเหนือ ตรงข้ามกับกำแพงวังคือทำเนียบประธานาธิบดี หรือเรียกว่า “บลูเฮาส์” ประธานาธิบดีใช้สถานที่แห่งนี้เป็นที่พำนักด้วย ขณะนั้น “ฯพณฯ ปัก กึนฮเย” ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ถูกศาลตัดสินให้จำคุก 24 ปี จากคดีบีบให้ 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้บริจาคให้กับองค์กรที่เพื่อนสาวของเธอควบคุมดูแล และเพื่อนสาวของเธอคนนี้ สังคมเกาหลีทราบกันดีว่าฝักใฝ่ลัทธิมนต์ดำประเภทหมอผีคนทรงเจ้าอะไรทำนองนั้น จนถึงขั้นเรียกกันว่าเป็น “รัสปูตินหญิงแห่งเกาหลี” และอยู่หลังฉากประธานาธิบดีแทบทุกเรื่อง  

จินนี่เล่าว่า หลังจาก “มิสปัก” ถูกสภาลงมติถอดถอน เจ้าหน้าที่ได้เข้าไปตรวจห้องนอนของเธอ พวกเขาพบบางสิ่งที่น่าสะพรึงและอึ้งสะท้านไปตามๆ กัน “มีเตียงนอน 3 เตียง และในห้องติดกระจกรอบด้าน”

ฉบับต่อไปจะให้รายละเอียดเรื่องของมิสปักเพิ่มเติม แต่เรื่องห้องนอนพิศวงขอจบแค่นี้นะครับ.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"