เร่งเรียกความเชื่อมั่น


เพิ่มเพื่อน    

    เมื่อพูดถึงผลกระทบเรื่องความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยในการท่องเที่ยวจากอุบัติเหตุเรือล่ม อุบัติเหตุเรือท่องเที่ยว “ฟีนิกซ์ พีซีไดวิ่ง” บรรทุกผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน ถูกคลื่นซัดอับปางกลางทะเลบริเวณเกาะเฮ ต.ราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต ช่วงเย็นวันที่ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา สรุปยอดมีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 47 ศพ แน่นอนว่าเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลต่อภาพลักษ์ของประประเทศ แม้ว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะออกมาพูดว่าเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบแค่ระยะสั้น
    เรื่องนี้คงต้องใช้เวลาเป็นบทพิสูจน์ แม้ที่ผ่านมาจำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะเข้ามาท่องเที่ยวในไทยเป็นอันดับ 1 ก็ตาม ทำให้เดือนสิงหาคมนี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เตรียมร่วมกับภาคเอกชน จะเดินทางไปโรดโชว์ในพื้นที่ 5 สำนักงาน ททท.ในสาธาณรัฐประชาชนจีน ทั้งเมืองปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ คุนหมิง กว่างโจว และเฉินตู เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านมาตรการความปลอดภัยสำหรับการท่องเที่ยวในประเทศไทย
    อย่างไรก็ตาม ทาง ททท.คาดการณ์ว่าผลกระทบด้านความเชื่อมั่นจะเป็นเพียงระยะสั้น ไม่เกินเดือนตุลาคมนี้ นักท่องเที่ยวจีนก็จะเดินทางมาเที่ยวไทยตามปกติ และพร้อมขอความร่วมมือคนไทยช่วยสื่อสารข้อมูลภาพลักษณ์ดีๆ ไปยังคนจีน โดยมั่นใจว่ามูลค่าด้านการท่องเที่ยวของไทยจะยังอยู่ที่ 3 ล้านล้านบาท ตามเป้าหมาย เพราะโครงการสร้างการท่องเที่ยวยังมีความสมดุล ตลาดในประเทศไทยเที่ยวไทยก็ยังคงมีสถานการณ์ที่ดีอยู่ ส่วนปัญหาธุรกิจนอมินีนั้น สร้างความเสียหายแก่ภาคการท่องเที่ยวมาอย่างยาวนาน และส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ภาษีอากรเข้ารัฐอย่างมหาศาล
    ในขณะที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬามองว่า สถานการณ์การท่องเที่ยวขณะนี้ จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจทั้งภายในประเทศและของกลุ่มประเทศสำคัญ เช่น จีน ญี่ปุ่น อเมริกา รวมถึงสหภาพยุโรป ส่งผลให้การเดินทางท่องเที่ยวมีแนวโน้มการขยายตัวสูงขึ้น ซึ่งสามารถสังเกตได้จากสถิติการเดินทางเข้า-ออก สนามบินสุวรรณภูมิ ในเดือนมิถุนายน 2561 มีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทย จำนวน 1,441,963 ราย
    โดยเฉลี่ยต่อวัน จำนวน 48,065 ราย ชาวไทย 291,061 ราย จำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางออก จำนวน 1,325,706 ราย เฉลี่ยต่อวัน 44,190 ราย ชาวไทย 284,110 ราย รวมทั้งสิ้นเดินทางเข้าและออกประเทศ จำนวน 3,342,840 ราย     
    สำหรับนโยบายนั้น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้เน้นย้ำถึงเรื่องความปลอดภัยว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกหน่วยงาน รวมถึงผู้ประกอบการ และนักท่องเที่ยวต้องคำนึงถึงเป็นลำดับแรก จากเหตุการณ์เรือท่องเที่ยวล่มที่ภูเก็ต จนส่งผลให้เกิดความสูญเสียอย่างมากมายที่ประมาณค่ามิได้ จะเป็นบทเรียนราคาแพงที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและทุกภาคส่วนต้องจดจำ และต้องร่วมกันกำหนดมาตรการป้องกันที่เข้มงวด ถึงแม้จะเป็นเรื่องของภัยหรือปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ แต่ถ้าทุกฝ่ายไม่ตั้งอยู่บนความประมาท ก็จะสามารถผ่อนหนักให้เป็นเบา และพูดได้อย่างเต็มปากว่าได้ทำอย่างดีที่สุดแล้ว
    อย่างไรก็ตาม หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมเจ้าท่า จะต้องเพิ่มความเข้มงวดตรวจสอบตั้งแต่การยื่นเอกสารจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท อัตราส่วนผู้ถือหุ้นและกรรมการในบริษัท รวมทั้งรายละเอียดของผู้ถือหุ้นและกรรมการว่าเป็นคนไทยหรือชาวต่างชาติ เพื่อตรวจสอบพฤติกรรมและเส้นทางของเงินทุนของบริษัท ซึ่งจากข้อมูลที่ได้พบว่า มีบริษัทนำเที่ยวที่เข้าข่ายนอมินี ประมาณ 20% ของยอดจดทะเบียนจัดตั้งใหม่ในแต่ละเดือนที่มีเข้ามาประมาณ 30 ราย หรือประมาณ 5 ราย โดยจำนวนบริษัทนำเที่ยวที่จดทะเบียนถูกต้องทั้งหมด 1.2 หมื่นราย ซึ่งจากข้อมูลพบว่า กรมการท่องเที่ยวได้จับตาดูกลุ่มนี้เป็นพิเศษ แต่การจะดำเนินมาตรการอะไรก็ยังต้องคำนึงถึงบรรยากาศและทิศทางการท่องเที่ยวของไทยด้วย
    ทุกวันนี้นักท่องเที่ยวจีนถือเป็นตลาดสำคัญที่สุดของการท่องเที่ยวประเทศไทย ผลกระทบครั้งนี้ใหญ่หลวงมากทั้งทางร่างกาย จิตใจ ทรัพย์สินและเศรษฐกิจ แต่ละปีมีชาวจีนมาเที่ยวในไทยกว่า 10 ล้านคน ใช้จ่ายกว่า 5 แสนล้านบาท เฉพาะ จ.ภูเก็ต ชาวจีนมาเที่ยว 3 ล้านคนต่อปี ใช้จ่ายประมาณ 1.5 แสนล้านบาท ตอนนี้เริ่มยกเลิกการจองมาท่องเที่ยวภูเก็ตแล้วประมาณ 10% เมื่อเห็นข้อมูลแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือ ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องหามูลเหตุและแก้ไขที่ต้นเหตุเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเดิม.

 กัลยา ยืนยง


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"