แก่นกับกระพี้การเมืองไทย


เพิ่มเพื่อน    

      เห็นข่าวแวบๆ...ว่าพรรค ซีพีพี หรือ พรรคประชาชนกัมพูชา ของนายกฯ ฮุน เซน ท่านกะว่า น่าจะสามารถกวาดที่นั่ง ส.ส.ในสภาฯ กัมพูชา ได้ประมาณไม่น้อยกว่า 100 ที่นั่ง จากจำนวนที่นั่งทั้งหมด 125 ที่นั่ง อันนี้นี่แหละ...ที่ต้องเรียกว่า สไลด์ยิ่งกว่าแลนด์สไลด์ ฉบับของจริง-ของแท้ ส่วนอะไรที่ทำให้มันสไลด์ออกไปในแนวนี้ อันนั้น...คงถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง...

                                                          ------------------------------------------------

      แต่ถ้าสรุปง่ายๆ...ก็คือ เนื่องจากใครก็ตามที่เป็นคู่แข่งดัน ตายหมด นั่นเอง ถูกเด็ด (หัว) มั่ง ดูดมั่ง หรือไม่ อย่างไร ก็มิอาจสรุปได้ หรือถึงขั้นยุบหนอ พองหนอ กันไปเป็นพรรคๆ ชนิดไม่เหลือฝ่ายตรงข้ามที่จะมาดึง มาดูดใดๆ ได้อีกต่อไป โดยเฉพาะพรรค ซีเอ็นอาร์พี หรือ พรรคกู้ชาติกัมพูชา ของนาย สม รังสี ที่ไม่ว่าหัว หรือหาง ไปจนตลอดกลางลำตัว ต่างถูกแ-ก ถูกรับประทาน ไม่ก็เผ่นหนีออกไปอยู่ต่างประเทศ แถมซ้ำยังถูก ยุบพรรค อีกด้วยต่างหาก ทุกสิ่งทุกอย่าง...ก็เลยเรียบโร้ยย์ย์ย์โรงเรียนฮุน เซน ไปด้วยประการละฉะนี้...

                                                            --------------------------------------------------

      ส่วนบรรดาผู้คนต่างบ้าน ต่างเมือง จะให้ความยอมรับต่อ ประชาธิปไตยกัมพูชา กันไปในลักษณะไหนก็แล้วแต่ ก็คงไม่ถึงกับก่อให้เกิดความหวั่นไหว สะทกสะท้าน ต่อนายกฯ ฮุน เซน ท่านมากมายซักเท่าไหร่ เพราะในเมื่อมี ประชาธิปไตยแห่งชนชั้นกรรมาชีพ อย่างคุณพี่จีน ให้การประทับรับรองซะอย่าง ก็ไม่จำเป็นต้องไปสั่นสะท้าน กลั่วนั่น กลัวนี่ กลัวไม่มีใครคบด้วย ค้าด้วย ยิ่งโดยเฉพาะในช่วงที่บรรดาประเทศผู้เชิดชูประชาธิปไตยทั้งหลาย ไม่ว่าในยุโรป หรืออเมริกา ต่างกำลังเผชิญกับความตกต่ำของประชาธิปไตย ชนิดไม่สามารถโน้มน้าว หรือบังคับ ให้ใครๆ ต้องเอามาอม-ดม-หยอด-สอด-เสียบ ได้เหมือนก่อน...

                                                             ---------------------------------------------------

      ประชาธิปไตยแบบเขมรๆ...ก็จึงเป็นอะไรที่ไม่ต้องเสียเวลา “คิดมาก” เหมือนอย่างประชาธิปไตยแบบไทยๆ ของบ้านเราทุกวันนี้ ที่ยังหนีไม่พ้นต้องดึงๆ ดูดๆ กันชนิดไม่รู้ออกหัวหรือออกก้อย ขณะที่ฝ่ายดึง...ป่าวประกาศว่าจะ สไลด์ยิ่งกว่าแลนด์สไลด์ สำหรับการเลือกตั้งครั้งใหม่ที่จะมาถึงในปีหน้า ฝ่ายดูดก็ออกมาแสดงความมั่นอก มั่นใจ ว่า เพื่อไทยแพ้สามมิตรแน่นอนครับ ซึ่งก็ยังมิอาจสรุปได้ว่า โดยแนวโน้มแล้ว...มันจะเป็นไปตามการคาดการณ์ของฝ่ายดูด หรือฝ่ายดึง กันแน่!!! ส่งผลให้กระบวนการดูดและดึง ยิ่งซับซ้อน ซ่อนเงื่อน เพื่อนทรยศหนักขึ้นไปใหญ่ ถึงขั้นออกข่าว ปล่อยข่าว คิดมุก คิดประเด็น ออกมาป้ายสี ใส่ไคล้ เล่นงานกันและกัน จนกลายเป็นเรื่อง เป็นราว ทั้งที่ไม่ได้เรื่อง ได้ราว ไปด้วยกันทั้งสิ้น...

                                                             -----------------------------------------------------

      คือพูดง่ายๆ ว่า...ไม่ได้มีคุณค่า ราคาใดๆ เลย ที่จะหยิบเอามาเป็นประเด็น เป็นสาระ แต่ก็กลับถูกนำไปขยายให้เป็นประเด็น เป็นเรื่องราวใหญ่โตไปจนได้ อาจด้วยเหตุเพราะ เนื้อแท้-แก่นแท้ ของ การเมืองไทย ในทุกวันนี้ และอนาคตอันใกล้ มันเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากจะหยิบมาพูดถึงกันแบบเปิดเผย ตรงไป-ตรงมาซักเท่าไหร่ อย่างมาก...ก็ว่ากันในวงเหล้า วงไวน์ ซะเป็นหลัก สิ่งที่เป็นแค่ เปลือก แค่ กระพี้ จึงเป็นสิ่งที่ถูกนำมาขยาย จนกลายเป็น สาระทางการเมือง ทั้งๆ ที่ออกจะไร้สาระเอามากๆ...

                                                             ---------------------------------------------------

      เพราะสิ่งที่น่าจะถือเป็น สาระ ในทุกวันนี้...ก็คือสิ่งที่คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ ว่า ความเป็นประชาธิปไตยแบบไทยๆ ทุกวันนี้ มันคงต้องเป็นไปในแบบที่เรียกว่า จัดสรรปันส่วนผสม หรือจะเรียกว่าแบบ ไฮบริด ก็น่าจะได้ ส่วนจะด้วยเหตุผลกลใด คงไม่ต้องเสียเวลามาเถียงว่าอะไรถูก-อะไรผิด เพราะทุกสิ่งทุกอย่าง...มันจบลงไปนานแล้ว!!! ตั้งแต่ท่านนายกฯ บิ๊กตู่ ท่านตัดสินใจแบกภูเขาพระสุเมรุขึ้นบ่า หรือตัดสินใจเข้ามารักษาความสงบเรียบร้อยให้กับชาติ บ้านเมือง ก่อนที่จะถูกแปรสภาพเป็น รัฐล้มเหลว ในอีกแค่ชั่วไม่กี่อึดใจ...

                                                               ----------------------------------------------------

      ดังนั้น...ไม่ว่า สามมิตร หรือ เผาไทย ใครจะชนะ-ใครแพ้ ใครจะดูด-ใครจะดึงไปในแนวไหน สุดท้าย...คงหนีไม่พ้นที่จะต้องยอมรับสภาพความเป็นไฮบริด ความเป็นส่วนผสมระหว่างน้ำมันและแก๊ส ขอเพียงให้รถวิ่งได้ ให้มีโอกาสเดินหน้าประเทศไทยได้ต่อไป อันนั้น...ก็น่าจะพอ อยู่ๆ กันไปได้ เพราะอย่างน้อย...ก็ยังไม่ถึงกับโหดเหี้ยมแบบประชาธิปไตยกัมพูชา หรือเผลอๆ อาจยืดหยุ่นกว่าประชาธิปไตยสิงคโปร์อีกด้วยต่างหาก ส่วนประชาธิปไตยชนชั้นกรรมาชีพอย่างลาวและเวียดนามก็แทบไม่ต้องพูดถึง การยอมรับและหาทางปรับตัว ปรับใจ ให้พออยู่ร่วมๆกันไปได้นี่แหละ ที่อาจถือเป็น แก่นสาระ ของการเมืองในวันนี้และวันหน้า อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้...

                                                                 ---------------------------------------------------

      แต่ระหว่างที่อยู่ๆ หรือระหว่างที่ปรับตัว ปรับใจนี่เอง ใครจะปรับไปในแนวไหน อย่างไร ปรับไปในทางที่ดี หรือเลว ทางที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนตัว หรือส่วนรวม ต่อบุคคล ต่อกลุ่มต่อฝ่าย ต่อพรรค หรือต่อประเทศชาติ อันนี้นี่แหละ...ที่ต้องอาศัยสิ่งซึ่งอยู่เหนือไปกว่าความเป็นประชาธิปไตย หรือเป็นอะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ นั่นคือสิ่งที่ถูกเรียกรวมๆ กันในนามว่า ธรรมะ อันประกอบด้วยศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม ฯลฯ หรือบรรดาธรรมๆ ทั้งหลายนั่นแล เป็นตัวชี้วัด ตัดสิน กันไปตามสภาพ เพราะมีแต่สิ่งนี้สิ่งเดียวเท่านั้น ที่สามารถใช้เป็นเครื่องแยกแยะความถูก-ความผิด ความดี-ความชั่ว ของทุกระบบและทุกระบอบ ได้โดยไม่มีข้อยกเว้น...

                                                                 ----------------------------------------------------

      ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Thomas L. Friedman (New York Times) ... Sometimes the news is in the noise, and sometimes the news is in the silence.-บางครั้ง...ข่าวก็อยู่ในเสียงอึกทึก แต่บางคราว...ข่าวก็อยู่ในความเงียบสงัด

                                                                   -----------------------------------------------------


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"