นครคอพาดเขียง! 'อิทธิพร'ปธ.กกต.


เพิ่มเพื่อน    

     อภิสิทธิ์ไฟเขียวฟ้อง “นคร มาชิน” แล้ว   พร้อมสั่งทีมกฎหมายจัด พ.ร.บ.คอมพ์อีกดอก เพราะโทษแรงกว่าหมิ่นประมาท “ประยุทธ์” มาแปลก ขอเป็นพระอิฐพระปูนไม่ตอบโต้การเมืองกับใคร เตือนนักเลือกตั้งอย่าหว่านประชานิยมเพราะมี กม.ควบคุม 5 ว่าที่ กกต.เคาะครั้งเดียวแล้วเลือก “อิทธิพร บุญประคอง” นั่งประธาน เหตุอายุน้อยสุดจะได้อยู่ครบวาระ 7 ปี อึ้ง! ตรรกะไพร่หมื่นล้านบอก คสช.ฟ้องเท่ากับรับว่าทำจริง
     เมื่อวันอังคาร นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ให้สัมภาษณ์เป็นครั้งแรกถึงกรณีนายนคร มาฉิม อดีต ส.ส.พิษณุโลก ได้โพสต์เฟซบุ๊กพาดพิงพรรคว่ามีส่วนร่วมในการล้มล้างรัฐบาลนายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าพรรคได้มอบหมายให้ทีมกฎหมายฟ้องดำเนินคดีหมิ่นประมาทกับนายนครแล้ว เพราะเป็นเรื่องเท็จ ทำให้พรรคเสียหาย ส่วนที่นายนครระบุว่ามีหลักฐานพร้อมไปเปิดในชั้นศาลนั้น ก็ขอให้เปิดเผยเลย 
     “ทีมกฎหมายพรรคจะดูความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดทางคอมพิวเตอร์เพิ่มเติมจากการฟ้องหมิ่นประมาทด้วย เพราะมีโทษรุนแรงกว่าการทำผิดฐานหมิ่นประมาท แต่การทำผิดตามกฎหมายนี้ไม่สามารถฟ้องตรงต่อศาลได้ จึงต้องแจ้งความเพื่อเอาผิดต่อไป ซึ่งนายวิรัตน์ กัลยาศิริ หัวหน้าทีมกฎหมายของพรรคจะแถลงรายละเอียดในวันที่ 1 ส.ค. เวลา 10.00 น.ที่พรรค” นายอภิสิทธิ์กล่าว
     ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ปฏิเสธแสดงความเห็นเรื่องนี้ โดยระบุว่า ไม่อยากจะตอบ เพราะไม่เกี่ยวอะไรกับรัฐบาล ฉะนั้นใครพูด ใครโพสต์อะไรก็ไปว่ากันเอง ไม่ใช่คนของรัฐบาล เขาจะพูดอะไรก็ไปฟังกันเอง ถ้าคิดว่าเป็นประโยชน์ก็เผยแพร่ไป ถ้าคิดว่าไม่มีประโยชน์ ก็อย่าไปเผยแพร่ให้เขา หลายอย่างในโซเชียลมีเดียพิธีกรหลายคนก็ไปเอาข้อมูลในโซเชียลฯ มาเปิดประเด็นข่าว ซึ่งคิดว่าบางอย่างไม่เป็นประโยชน์ อย่าไปสนใจมันก็จบและเงียบไป แต่บางคนเอาไปว่ากันไปมา ซึ่งทุกคนก็ทราบกันดีอยู่
     ภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พล.อ.ประยุทธ์ได้ให้สัมภาษณ์อีกครั้งว่า รัฐบาลไม่ว่าจะเป็นนายกฯ หรือใครก็ตาม ไม่ใช่บุคคลที่มีอำนาจสูงสุดหรือบุคคลที่เป็นนายคน มันไม่ใช่ ทั้งหมดคือการแบกความรับผิดชอบ แบกจิตสำนึกที่ต้องทำงานเพื่อประชาชน นั่นคือสิ่งที่อยู่เหนือกว่า ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งอะไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นหัวโขนที่พวกเราสวมไว้ในการเป็นนายกฯ เป็นรัฐบาล และเมื่อเราถอดหัวโขนออกเมื่อไหร่ เราก็เป็นประชาชนคนหนึ่ง ดังนั้นเราต้องรู้ว่าเราเดือดร้อนในเรื่องอะไร เกษตรกรว่าอย่างไร เราต้องดูแลคนยากจนในอาชีพอื่นๆ อย่างไร เพราะเรายังมีบุคคลอีกหลายอาชีพ ไม่ใช่เกษตรกรเพียงอย่างเดียว แม้วันนี้เราจะใช้งบประมาณลงไปจำนวนมาก แต่ก็ยังไม่เพียงพอ ก็ต้องดูแลกันต่อไป และยังมีในส่วนของอาชีพอิสระอื่นอีก 
บิ๊กตู่ขอเป็นพระอิฐพระปูน
     พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เราอย่าตกไปเป็นเครื่องมือของใคร วันนี้ขอร้องว่าให้ระมัดระวังในเรื่องของกฎหมาย รวมทั้งพระราชบัญญัติการเงินการคลังและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณต่างๆ ที่มีการออกมา ก็เพื่อเป็นการป้องกันการใช้จ่ายงบประมาณที่ซ้ำซ้อน ไม่เป็นประโยชน์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก จึงได้มีการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องดังกล่าวออกมา รัฐบาลนี้ทำทุกอย่างอยู่ภายใต้กรอบที่กำหนดตามสัดส่วนการใช้จ่ายงบประมาณของประเทศ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือประชาชน ช่วยเหลือเกษตรกร ต้องอยู่ภายในกรอบของวงเงินที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย ถ้าเกินก็ต้องหยุด ไปทำส่วนอื่นเพื่อทดแทนที่จะได้ไม่เกินสัดส่วนต่างๆเหล่านี้
     “เรื่องนี้ก็ฝากเตือนฝ่ายการเมืองด้วย ช่วงนี้ผมจะไม่มีการตอบโต้ทางการเมืองกับใครทั้งสิ้น ที่เหลือจะเป็นเรื่องของการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาของประเทศชาติ และเรื่องนี้คิดว่าสามารถขอความร่วมมือจากสื่อได้ ทั้งในการเขียนวิพากษ์วิจารณ์ หรือเอาเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับผมมาถามผม มันก็จะไม่เกิดความขัดแย้ง เพราะถ้าผมเผลอตอบไป หรืออาจไม่ตั้งใจตอบ หรือตอบในลักษณะที่อาจหงุดหงิดไปบ้าง มันก็เป็นการเปิดประเด็นมา โดยตลอด 4 ปีที่ผ่านมา เราก็ต้องเรียนรู้เหมือนกันทั้งสองฝ่าย ทั้งคนถามและคนตอบ ก็ขอฝากสื่อไว้ด้วย” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
     ด้านนายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.การต่างประเทศ และสมาชิกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณีนักวิชาการมีความเห็นว่าพรรคควรนำเสนอนโยบายในการนำพาประเทศไปข้างหน้าอย่างไรว่า พรรครับฟังความเห็นของประชาชนทั่วไปและสมาชิกพรรค รวมทั้งให้ความสำคัญกับกระบวนการจัดทำรับฟังความเห็นของประชาชนเพื่อประกอบการจัดทำนโยบายที่ตอบโจทย์ด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและอื่นๆ โดยนโยบายต้องนำไปแก้ปัญหาได้จริง ซึ่งการทำนโยบายที่สมบูรณ์นั้น ต้องประชุมปรึกษาหารือ การเดินทางไปรับฟังประชาชนในพื้นที่ต่างๆ รวมทั้งการรับฟังความเห็นออนไลน์ ซึ่งน่าเสียดายว่าขณะนี้มีข้อจำกัดที่พรรคการเมืองไม่สามารถทำกิจกรรมทางการเมือง อีกทั้งข้อจำกัดการห้ามชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปยังคงอยู่ 
     “มีคำถามจากหลายฝ่ายว่าเหลือเวลาเพียงไม่กี่เดือนก่อนการเลือกตั้ง น่าจะเปิดพื้นที่ให้พรรคการเมืองทั้งเก่าและใหม่ได้ขับเคลื่อนจัดทำนโยบายเพื่อให้ประชาชนพิจารณา ซึ่งไม่น่าจะกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง เพราะประชาชนคงอยากเห็นการเลือกตั้งครั้งหน้า เสรี เป็นธรรม และน่าเชื่อถือ คำว่าเป็นธรรมคือทุกฝ่ายแข่งขันอย่างเท่าเทียม อยู่ภายใต้กฎ กติกาเดียวกัน ไม่มีใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบ ดังนั้นสิ่งที่ควรทำคือการปลดล็อกให้ทุกพรรคทำกิจกรรมต่างๆ เดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งที่น่าเชื่อถือ”นายนพดลกล่าว
สำหรับความเคลื่อนไหวในการเลือกประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นั้น ได้มีการประชุมว่าที่ กกต. 5 คนที่ผ่านความเห็นจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ซึ่งประกอบด้วย นายสันทัด ศิริอนันต์ไพบูลย์, นายอิทธิพร บุญประคอง, นายธวัชชัย เทิดเผ่าไทย, นายฉัตรไชย จันทร์พรายศรี และนายปกรณ์ มหรรณพ เพื่อคัดเลือกกันเอง โดยผู้ที่จะได้รับการเห็นชอบให้เป็นประธาน กกต.ต้องได้รับคะแนนเห็นชอบ 3 เสียงขึ้นไป  
    โดยที่ประชุมเสนอชื่อนายอิทธิพรเป็นประธาน กกต. และได้ลงคะแนนลับ ซึ่งผลปรากฏว่าเสียงข้างมากให้นายอิทธิพรเป็นว่าที่ประธาน กกต. ซึ่งเป็นการลงมติเลือกเพียงครั้งเดียว และภายหลังเลิกประชุม นายอิทธิพรปฏิเสธให้สัมภาษณ์ โดยกล่าวสั้นๆ ว่า จะขอให้ข่าวภายหลังได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นประธาน กกต.แล้ว
ได้เพราะอายุน้อยสุด
ขณะที่นายธวัชชัยกล่าวว่า เมื่อที่ประชุมมีมติเห็นชอบ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามที่ที่ประชุม ส่วนรายละเอียดนั้นให้ไปสอบถามจากนายนัฑ ผาสุข เลขาธิการสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา
     นายนัฑกล่าวว่า กระบวนการเลือกกันเองของว่าที่ กกต.นั้น เป็นไปโดยการลงคะแนนลับ โดยให้สิทธิ์ว่าที่ กกต.ทุกคนเขียนรายชื่อบุคคลที่ต้องการให้ดำรงตำแหน่งประธาน กกต.ลงบนบัตร และไม่จำกัดสิทธิที่จะออกเสียงเพื่อเลือกตนเองเป็นประธาน กกต. ซึ่งหลังจากรับทราบว่านายอิทธิพรได้รับเลือกเป็นประธาน กกต.แล้ว ว่าที่ กกต.ได้หารือร่วมกันถึงแนวทางการทำงานร่วมกันจากนี้อีก 7 ปี รวมถึงการจัดการเลือกตั้งที่ต้องรับบทบาทหลังจากนี้ 
ทั้งนี้ เมื่อรับทราบผลลงมติดังกล่าวแล้ว เจ้าหน้าที่ได้ทำลายบัตรออกเสียงแล้ว สำหรับขั้นตอนต่อไป จะทำหนังสือถึงนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. ในวันที่ 31 ก.ค. เพื่อนำรายชื่อประธาน กกต. และ กกต.ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายต่อไป ส่วนการเตรียมความพร้อมเรื่องการเลือกตั้งจากนี้ จะเป็นหน้าที่ของสำนักงาน กกต.ที่ต้องดูแล หลังจากขั้นตอนดังกล่าวถือว่าเสร็จสิ้นหน้าที่ของสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาแล้ว
    มีรายงานว่า เหตุผลที่นายอิทธิพรได้รับเลือก เนื่องจากมีอายุเพียง 62 ปี สามารถดำรงตำแหน่งประธาน กกต.จนครบวาระ 7 ปี โดยเมื่อเทียบกับว่าที่ กกต.คนอื่น เช่น นายฉัตรไชย อายุ 65 ปี หรือนายธวัชชัย อายุ 66 ปี ที่เป็นแคนดิเดตก่อนหน้านี้ ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่จนครบ 7 ปีรวดเดียวได้ ต้องพ้นวาระเมื่ออายุครบ 70 ปี 
     วันเดียวกัน ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี  (บก.ปอท.) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ว่าที่หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) พร้อมทีมกฎหมาย เข้าให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวน ปอท. หลังถูก คสช.แจ้งความเอาผิดหลังจากนายธนาธร และผู้ดำเนินรายการ 2 คน ไลฟ์สดทางเฟซบุ๊กเพจอนาคตใหม่ และเพจของนายธนาธร พาดพิง คสช.ว่ามีการดูด ส.ส.โดยใช้คดีความที่ติดตัว ส.ส.มาเป็นเครื่องต่อรอง รวมทั้งการเชิญชวนให้คนที่ติดตามเพจมาร่วมลงชื่อรื้อกระบวนการยุติธรรม
ชี้ คสช.ฟ้องแสดงว่าทำจริง!
     หลังจากเข้าให้การสอบสวนเป็นเวลา 1 ชั่วโมงครึ่ง นายธนาธรกล่าวว่า เข้ามาให้ข้อมูลในฐานะพยาน เนื่องจากแจ้งความเอาผิดกับผู้ดูแลเพจในเฟซบุ๊กทั้งสองเพจ ซึ่งก็ให้ความร่วมมือเต็มที่ เพราะคิดไว้นานแล้วว่าวันหนึ่งต้องมีการแจ้งความจาก คสช. ส่วนที่พูดเกี่ยวกับการดูด ส.ส. ยืนยันว่าเป็นเรื่องที่ได้รับทราบมาจาก ส.ส.หลายคนที่ถูกทาบทาม และเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ทราบกันโดยทั่วไป ไม่ได้มีเจตนากล่าวหาหรือใส่ความ คสช. ซึ่งการที่ คสช.ออกมาแจ้งความ ก็เท่ากับยอมรับว่าได้กระทำจริง และมองว่าพรรคเป็นศัตรู 
“ไม่กลัว เพราะเป็นเรื่องปกติของนักการเมืองที่ต้องโดนโจมตีจากฝั่งตรงข้าม และหลังจากนี้ก็จะยังคงไลฟ์สดตามปกติ เพราะไม่ได้มีทำผิดกฎหมายชุมนุมเกิน 5 คน และจะไม่มีการปรับเนื้อหาในรายการ” นายธนาธรกล่าว
     นายธนาธรยังกล่าวถึงการลงพื้นที่ ครม.สัญจรถี่ยิบในช่วงนี้ว่า คสช.กำลังเริ่มกิจกรรมเตรียมการเลือกตั้งในขณะที่พรรคการเมืองอื่นทำไม่ได้ ไปลงตลาดแจกใบปลิว เปิดเวทีปราศรัยก็ทำไม่ได้ คสช.อยากจะปิดกั้นเสรีภาพของประชาชน ก็ให้ดูการเลือกตั้งของกัมพูชา ที่พรรครัฐบาลได้ที่นั่งครบทั้งหมด ถ้า คสช.อยากทำแบบนั้นก็ทำเลย คสช.อย่ามาใส่เสื้อคลุมที่เป็นประชาธิปไตย แต่ในเนื้อแท้เป็นเผด็จการ
     ด้าน พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารปฏิบัติการ ประจำกองบัญชาการกองทัพบก ปฏิบัติหน้าที่ฝ่ายกฎหมายของ คสช.เผยว่า ได้เข้ามาแจ้งความกับ ปอท.ตั้งแต่เมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยคดีดังกล่าวนายธนาธรมีการพาดพิงถึง คสช. ซึ่งเป็นการบิดเบือนข้อมูลกระบวนการยุติธรรม และเป็นการกล่าวหา คสช. นอกจากนี้ยังถือว่าเป็นการโจมตีกระบวนการยุติธรรมด้วย โดยคดีดังกล่าวจะให้พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับนายธนาธรและพวกต่อไป
     พ.ต.ท.อธิลักษณ์ หวังสิริวรกุล รอง ผกก.3 บก.ปอท. กล่าวว่า เบื้องต้นได้ทำการสอบสวนนายธนาธรและพวก ในฐานะพยาน แต่นายธนาธรและพวกไม่ประสงค์ให้การใด ทั้งนี้ การแจ้งความของ คสช.ได้แจ้งความให้เอาผิดผู้ดูแลเพจทั้งสองเพจในความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (2) นำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งสร้างความตื่นตระหนก ยุยง และเป็นภัยต่อความมั่นคง และหลังจากนี้ หากพบว่านายธนาธรมีพฤติการณ์เข้าข่ายความผิดในข้อหาอื่นใด ก็อาจแจ้งข้อกล่าวหาในภายหลังได้.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"