สู่ยุค3ก๊กการเมือง 'มาร์ค'ปลุกปชช.ตัดสิน'ทักษิณ-คสช.-ปชป.'ใครชนะก็จบ


เพิ่มเพื่อน    

      “มาร์ค” ประเมินสถานการณ์การเมือง ชี้เข้าสู่ยุคสามก๊ก มีทั้ง “ทักษิณ-คสช.-ปชป.” ลั่นก๊กใดชนะเบ็ดเสร็จก็จบ แต่ก้ำกึ่งต้องตั้งรัฐบาลผสม กั๊กร่วม ”รปช.-พปชร.” บอกหากผลักดันนโยบายตามเป้าไม่ได้ก็พร้อมเป็นฝ่ายค้าน รับ “เพื่อไทย” ฐานเสียงแน่น แต่ต้องวัดใจสาวกอยากเดินซ้ำรอยไหม “เด็กแม้ว” ซัดหม่อมเต่ารู้ข่าววงในจ้องสลายพรรค 
      เมื่อวันจันทร์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้วิเคราะห์สถานการณ์การเมืองในปัจจุบันว่า คนจำนวนไม่น้อยในสังคมกังวลกับปัญหาระบอบทักษิณาจะกลับมาหรือไม่  พรรคการเมืองไหนบ้างเป็นแนวร่วม แต่ไม่ใช่แนวทางเดียวที่คนมอง ขณะนี้อีกส่วนหนึ่งก็มีการพูดถึงว่าเอาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กับไม่เอา คสช.เหมือนกันในมุมที่ว่า คสช.หลังจากเข้ามายึดอำนาจตอนแรกเหมือนกับจะเป็นกรรมการ แต่ตอนหลังก็แสดงตัวค่อนข้างชัดว่าจะเป็นผู้เล่นด้วย จึงเกิดกระแสว่าจะยอมรับแนวทางของ คสช.ที่จะสืบทอดอำนาจหรือไม่ ส่วน ปชป.หรือไม่ ปชป.เป็นเรื่องตัวเลขมากกว่าในการเอาชนะกัน
      “ตอนนี้มันเข้าไปสู่ลักษณะการเมืองสามก๊กมากกว่า คือ 1.พรรคการเมืองที่อิงอยู่กับตัวนายทักษิณ  ชินวัตร หรือมีแนวทางคล้ายคลึงกับนายทักษิณ 2.พรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นมาหรือแสดงท่าทีว่าพร้อมสนับสนุนผู้มีอำนาจในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ หรือผู้มีอำนาจใน คสช.ไม่ว่าจะเป็นพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) หรือพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) และ 3.พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเราคือทางเลือกอีกทางหนึ่ง เพราะเราต่อสู้กับระบอบทักษิณมาตลอด และยืนยันจะต่อสู้อยู่  ขณะเดียวกันเรามองว่าแนวทางของ คสช.หรือรัฐบาลปัจจุบันหลายอย่างก็ไม่สอดคล้องกับแนวคิดของเรา” นายอภิสิทธิ์กล่าว
      นายอภิสิทธิ์ชี้ว่า พรรคจะเสนอแนวทางที่เป็นตัวของตัวเอง ต่างจากทั้งพรรคเพื่อไทยและ คสช.  ส่วนหลังเลือกตั้งก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของประชาชน ถึงแม้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันคนมองว่าไม่เป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ แต่ยืนยันว่าการตัดสินใจของประชาชนมีความหมาย เมื่อประชาชนได้มีโอกาสรับทราบแนวทางที่แตกต่างกัน ซึ่งประชาชนสนับสนุนแนวทางไหนเท่าไหร่ ตรงนั้นถ้ามีความเด็ดขาดก็จบ ถ้ามีความไม่เด็ดขาดก็เป็นธรรมดาที่ต้องมาเจรจาว่าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลใครกับใคร  สำหรับพรรคยืนยันว่ายึดแนวทางแก้ไขปัญหาของประเทศเป็นหลัก
      เมื่อถามว่า ถ้านโยบายไปด้วยกันได้แสดงว่าก็ร่วมงานกันได้ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่เห็นประโยชน์ของการที่พรรคจะไปเป็นรัฐบาลกับใคร ถ้าหากแนวทางที่พรรคนำเสนอต่อประชาชนไม่ได้รับการปฏิบัติหรือนำไปใช้ ปชป.อาจต่างจากบางพรรคที่พูดในขณะนี้ คือถ้า ปชป.คิดว่าการเป็นรัฐบาลแล้วไม่ได้นำพาบ้านเมืองไปในทางที่เราอยากจะเห็น ปชป.ก็ควรเป็นฝ่ายค้าน ไม่ใช่อยากเป็น แต่ถ้าต้องเลือกระหว่างการไปเป็นรัฐบาล แล้วบ้านเมืองไม่ได้ไปในแนวทางพรรค ไม่ใช่อุดมการณ์ของพรรค  ทั้งนี้ขณะนี้อย่าไปวิตกกังวลว่าจะตั้งรัฐบาลไม่ได้ เพราะเราไม่ทราบตัวเลข เมื่อทราบตัวเลขค่อยมาดูอีกทีว่ามีวิธีการแก้ปัญหาที่ไปทางไหนไม่ได้อย่างไร
     “สิ่งหนึ่งที่ผมยืนยันคือ ประชาธิปัตย์ต้องการให้การเมืองเป็นเรื่องของอุดมการณ์ เป็นเรื่องของการแก้ไขปัญหาของประเทศแบบระยะยาว ยั่งยืน ถ้าทุกพรรคคิดแต่เพียงว่าต้องไปเป็นรัฐบาล ผมคิดว่าก็ทำให้การเมืองกลับไปเรื่องของผลประโยชน์ เรื่องของอำนาจ โดยเฉพาะการไปเป็นรัฐบาลไม่ต้องคำนึงเลยว่านโยบายจะเป็นอย่างไร ขอให้ฉันมีตำแหน่ง ผมว่าเราควรมาช่วยกันทำให้การเมืองหลุดพ้นตรงนั้น” นายอภิสิทธิ์กล่าว
ชี้สื่อโซเชียลจุดชี้ขาด  
      เมื่อถามว่าอะไรเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญระหว่างโซเชียลมีเดียกับพลังดูด นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ประเมินจากหลายประเทศถ้าการเลือกตั้งสุจริตเที่ยงธรรม คิดว่าโชเชียลมีเดียจะเป็นตัวเปลี่ยนมากที่สุด  ซึ่งไม่ได้หมายความว่าการดูดไม่มีความหมาย เพราะการเมืองยังยึดกับตัวบุคคลกับผลประโยชน์ โดยเฉพาะระบบการเลือกตั้งที่ออกแบบมาว่าทุกคะแนนเอาไปใช้คำนวณ ส.ส. ดังนั้นคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ควรเร่งทำความเข้าใจเพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างเสรี บริสุทธิ์เที่ยงธรรมให้ได้
นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวถึงกรณีนายทักษิณระบุถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า พท.จะได้คะแนนถล่มทลายเหมือนหิมะถล่มว่า พท.ยังอยู่ในสถานะของพรรคที่มีความได้เปรียบ เพราะมีฐานเสียงค่อนข้างแน่นในพื้นที่ ซึ่งใหญ่ที่สุดคือภาคเหนือและภาคอีสาน อีกทั้งมีความพร้อมทั้งเงินและทอง ดังนั้นนายทักษิณก็มีสิทธิ์คิด มีสิทธิ์จะคุย แต่ไม่แน่ใจว่าประชาชนพร้อมเสี่ยงกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่ เพราะ พท.ยังไม่หลุดพ้นจากปัญหาเดิมๆ บ้านเมืองก็จะกลับมาอยู่ในภาวะที่เป็นแบบนี้อีก
      “สำหรับ ปชป.ผมก็บอกว่าตอนนี้อยากให้คนจะอยู่พรรคคิดเรื่องทิศทางประเทศ ตกผลึกร่วมกันว่าเราจะพาประเทศไปทางไหน ที่เรานำเสนอเป็นหลัก ถ้าเราทำได้เราก็เป็นรัฐบาล และเราก็หวังว่าจะเป็นรัฐบาล และเราจะสู้เพื่อให้ได้เป็นรัฐบาล แต่ถ้าแนวทางนี้ประชาชนไม่สนับสนุน เราทำไม่ได้ก็เป็นเรื่องที่เราพึงยอมรับ ผมอยากให้เราเป็นแบบอย่าง เป็นตัวอย่างของพรรคการเมืองว่าการเมืองต้องไปแบบนี้” นายอภิสิทธิ์กล่าว
      ด้านนายสามารถ แก้วมีชัย อดีต ส.ส.เชียงราย พท.กล่าวถึงกรณี ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ว่าที่หัวหน้าพรรค รปช.วิเคราะห์สถานการณ์การเมืองหลังเลือกตั้ง โดยเฉพาะกรณี รปช.จะถูกเทียบเชิญเข้าร่วมรัฐบาล และเมื่อถึงตอนนั้น พท.ไม่อยู่แล้วว่า ถ้าหากให้วิเคราะห์คำพูดของหม่อมเต่ามีอยู่ 2 กรณีคือ  1.พรรคส่งผู้สมัครทั่วประเทศแล้วและไม่ได้ ส.ส.แม้แต่คนเดียว และ 2.ถูกฝ่ายตรงข้ามใช้กลยุทธ์ทุกวิถีทางยุบ พท. ซึ่งประการแรกเป็นไปไม่ได้เพราะเสียงของพรรคยังขายได้ในทุกพื้นที่ ส่วนประเด็นที่สองแสดงว่าหม่อมเต่าไปล่วงรู้หรือทราบเกี่ยวกับความพยายามของผู้มีอำนาจในบ้านเมืองหรือถึงได้ฟันธงแบบนี้ 
      “แสดงว่าผู้มีอำนาจในบ้านเมืองกำลังเตรียมการทำลายพรรคเพื่อไทยที่ไม่ใช้ระบอบประชาธิปไตย เหมือนครั้งที่แล้ว และวันนี้ก็มาตั้งพรรคการเมืองลอยหน้าลอยตา ดังนั้นหม่อมเต่าเป็นผู้ใหญ่ไม่ควรพูดออกมาในลักษณะอย่างนี้ ควรคำนึงถึงสมาชิกและประชาชนผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่มาระบายความรู้สึก ซึ่งพรรคเราไม่ได้สนใจ กังวลใจหรือหวั่นไหวใดๆ ทั้งสิ้น แต่จะทำทุกอย่างดำเนินการตามกฎหมายบ้านเมืองอย่างเคร่งครัด และปฏิบัติตามระบอบประชาธิปไตย เพราะเสียงในพื้นที่ของพรรคยังแน่นปึ้ก และเมื่อนั้นพรรคเพื่อไทยอาจจะอยู่ แต่หม่อมเต่าอาจไม่อยู่ก็ได้” นายสามารถกล่าว  
'ตุ๊ดตู่' เตรียมเดินสาย
      พราหมณ์ศักดิ์ระพี พรหมชาติ แกนนำคนเสื้อแดงและประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) สกลนคร กล่าวถึงความเคลื่อนไหวของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช.ว่า  นายจตุพรอยากเดินทางไปเยี่ยมเยียนพี่น้องเสื้อแดงที่ยังถูกคุมขังในเรือนจำจากเหตุการณ์ชุมนุมการเมืองเมื่อปี 2552 เป็นต้นมาในหลายจังหวัด เพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเราไม่ทิ้งกัน โดยทั้งนายจตุพรและคณะแกนนำจะเดินทางไปพร้อมกัน แต่ยังไม่ได้ไปในเร็ววันนี้ ต้องรอให้นายจตุพรพักฟื้นร่างกายสักระยะค่อยหารือกันอีกครั้งว่าจะเริ่มเดินทางไปในช่วงวันเวลาใด 
      “ไม่กังวลหากฝ่ายความมั่นคงจะมองเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งไม่ใช่ เราเพียงอยากจะเดินทางไปร่วมให้กำลังใจพี่น้องเสื้อแดงที่ถูกคุมขังในเรือนจำเท่านั้น ไม่มีนัยทางการเมือง และตั้งแต่นายจตุพรออกมาจากเรือนจำ ได้เน้นย้ำแล้วว่าจะไม่จัดรายการทางช่องพีซทีวี เพื่อไม่ให้บางหน่วยงานนำมาเป็นข้ออ้างในการหาเหตุมาปิดอีก แต่จะไปจัดรายการผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์แทน” พราหมณ์ศักดิ์ระพีกล่าว
      เขายังทำนายดวงชะตาของนายจตุพรอีกว่า ช่วงปีที่แล้วที่นายจตุพรถูกคุมขังถือว่าดวงตกต่ำอย่างที่สุดไปแล้ว และในอีก 5 ปีนี้ดวงจะดีขึ้นเรื่อยๆ และจะดีมากตอนเข้าปีที่ 6 ชะตานายจตุพรก็เหมือนลูกฟุตบอล เมื่อตกถึงพื้นเหมือนดวงที่ตกลงอย่างมากแล้วย่อมกระเด้งขึ้น เหมือนดวงที่จะเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ  นั่นเอง โดยได้แนะนำให้นายจตุพรทำบุญ 9 วัด ปล่อยนกปล่อยปลา และร่วมสร้างสิ่งก่อสร้างที่เป็นสาธารณกุศลจะช่วยในเรื่องดวง 
วันเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.กล่าวถึงการเป็นประธาน
      สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ในปี 2562 หลังจาการ์ตาโพสต์ สื่ออินโดนีเซียวิจารณ์ว่าไทยเป็นรัฐบาลรัฐประหารไม่เหมาะกับตำแหน่งประธานอาเซียน ว่าในปีหน้านี้เราจะเป็นประธานอาเซียน แต่ยังไม่ทราบว่าใครจะเป็นรัฐบาลเหมือนกัน เพราะการประชุมอาเซียนจะเกิดขึ้นภายหลังเลือกตั้งตามระบบของเรา ดังนั้นอย่ามากังวลอะไรว่าใครจะเป็นหรือไม่เป็นรัฐบาล ไม่ต้องมาต่อต้านในวันนี้ และต้องเข้าใจว่าคนที่ต่อต้านก็เขียนกันไปเรื่อย
“ขอฝากกับทุกคนไปด้วย เพราะการประชุมอาเซียนจะเกิดขึ้นในไทยตามวาระ ส่วนใครจะเป็นรัฐบาลนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ขอว่าอย่าเอามาปนเปกัน เพราะถ้าเราสามารถสร้างความเข้มแข็งในอาเซียนและกลุ่มประเทศแม่น้ำโขงได้ก็เป็นเรื่องดี และหลายประเทศก็เสนอเราควรเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬา แค่ 2-3 ประเภทก็ได้เพื่อให้เกิดความเข้มแข็ง” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
หงุดหงิดสื่ออินโดฯ
      ในช่วงบ่าย พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์อีกครั้ง ภายหลังมอบโอวาทแก่คณะเจ้าหน้าที่และนักกีฬาไทยที่จะเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 18 ในกรณีนี้อย่างอารมณ์หงุดหงิดว่า จะชี้แจงทำไม ชี้แจงอะไร ชี้แจงกับใคร ใครว่าอะไร คนที่ออกมาวิจารณ์นั้นคือใคร จาการ์ตาโพสต์คือใคร เป็นประเทศอินโดฯ หรืออย่างไร ประเทศอินโดฯ เป็นผู้พูด หรือรัฐบาลอินโดฯ พูด เพราะถ้าเป็นแค่สื่อ สื่อก็ต้องไปชี้แจงกันเอง ไม่เกี่ยวกับตนเอง สื่อคือสื่อ จบ ขอคำถามเรื่องอื่น
      “ประเทศไทยก็ตั้งใจอยู่แล้วที่จะจัดการประชุม สื่อไม่อยากให้มีการประชุมอาเซียนหรืออย่างไร ถ้าอยากให้มีการประชุมก็อย่าต่อความยาวสาวความยืด เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่เป็นเรื่องของคนบางคน  เรื่องของสื่อบางสื่อ ต้องไปดูเจตนาว่าเขาเขียนเพื่ออะไร แล้วเราจะไปเป็นเครื่องมือให้เขาไปทำไม ผมถามหน่อยว่าที่ตั้งคำถามขึ้นมานี้ แล้วมันจะได้อะไร” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์แสดงอารมณ์หงุดหงิดก่อนพูดกับผู้สื่อข่าวว่า “ต่อไป ขอคำถามอื่น มีคำถามอะไรอีกไหมที่จะสร้างความขัดแย้งได้อีก ว่ามา”
      ในช่วงท้าย พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงกรณีกองกำกับการ 1 กองบังคับการตำรวจสันติบาล 1 จัดทำใบลงทะเบียนสำหรับช่างภาพสื่อมวลชน ที่มีข้อกำหนดเกี่ยวกับมารยาทในการถ่ายภาพว่า “เรื่องคำนับหรือไม่คำนับผม เป็นเรื่องของท่าน ไม่ได้ดีใจหรือเสียใจกับการคำนับของทุกท่าน เพราะเป็นการให้เกียรติซึ่งกันและกัน” จากนั้นได้กล่าวขอบคุณและเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า จังหวะนั้นผู้สื่อข่าวได้ถามถึงเหตุผลที่ทำให้วันนี้อารมณ์ไม่ดี พล.อ.ประยุทธ์กล่าวพร้อมเดินขึ้นตึก โดยไม่หันมามองทางผู้สื่อข่าวว่า  “จะเป็นอะไร ก็เป็นของฉัน”.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"