จ่อฟันกลุ่มสามมิตร ‘บิ๊กป๊อก’ชี้ชุมนุมเกิน5คนปชป.-พท.จวกศรีธนญชัย


เพิ่มเพื่อน    

  “สามมิตร” มีหนาว! บิ๊กป๊อกสวนทาง “บิ๊กป้อม-บิ๊กตู่” ลั่นเอาผิดหากชุมนุมเกิน 5 คน “ปชป.-พท.”  ประสานเสียงเตือนจัดการไม่ดีระวังมีเลียนแบบ “จตุพร” วิเคราะห์อย่าทำตัวกระต่ายตื่นตูม ช่วงนี้แค่ชกลมโหมโรง เพราะเลือกตั้งมีหรือไม่ยังไม่มีใครกล้าฟันธง พร้อมมองไกลหลายช็อต “เพื่อไทย” ชนะ แต่โจทย์สำคัญจะรักษาอำนาจและชัยชนะอย่างไรจึงสำคัญกว่า! 
    เมื่อวันพฤหัสบดี กระแสความเคลื่อนไหวของกลุ่มสามมิตรในการเดินสายพบปะประชาชน รวมทั้งการดูด ส.ส. ยังคงเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ โดยเฉพาะกรณีการชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน ซึ่งเป็นคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ยังมีผลบังคับใช้อยู่ โดยนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวในเรื่องนี้ว่า ไม่ทราบรายละเอียด เรื่องนี้เป็นเรื่องของ คสช. แต่กำลังขอข้อเท็จจริงมาดู เพราะเห็นมีหลายกลุ่มที่ร้องผ่านสื่อในเรื่องนี้ แต่ไม่ได้ร้องมาที่ตนเอง ส่วนจะดำเนินการอย่างไรต่อไปนั้น ไม่สามารถตอบได้ และต้องขอดูข้อเท็จจริงก่อน 
ถามถึงกรณีนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) นำกลุ่มสามมิตรไปเทียบกับกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง นายวิษณุตอบว่า ต้องดูที่เนื้อหาว่าเขาเรียกร้องอะไร แต่การชุมนุมเกิน 5 คนถือเป็นอีกประเด็นที่มีการดำเนินคดีกับกลุ่มคนอยากเลือกตั้งนั้น เข้าใจว่า คสช.คงเห็นว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าวเข้าข่าย และไม่ว่าจะเป็นกลุ่มใดก็ตาม ถ้าพูดอะไรที่มีเนื้อหาไม่ส่อไปในทางสร้างความขัดแย้ง ก็คงไม่มีใครไปจับ
ด้าน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กล่าวว่า ถ้าใครจะเคลื่อนไหวอะไร ต้องเป็นไปตามกฎหมาย โดยยังยืนยันแบบนี้ ทั้งนี้ คสช.ยังไม่พูดคุยถึงเรื่องนี้ ซึ่งในส่วนของกลุ่มสามมิตรนั้น หากเคลื่อนไหวหรือชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน เท่ากับว่าเป็นการขัดคำสั่ง คสช. ซึ่ง คสช.ต้องดำเนินการเอาผิดกับคนกลุ่มนี้ ถ้าถามตอนนี้ คสช.ก็ต้องดำเนินการ เพื่อความสงบเรียบร้อย
    ขณะที่นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกกลุ่มสามมิตรยืนยันว่า การเดินทางไปรับฟังปัญหาของพี่น้องประชาชนในแต่ละพื้นที่นั้น ดำเนินการตามกฎหมาย และระเบียบกฎเกณฑ์ทุกอย่าง ไม่ได้เป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองหรือสร้างความวุ่นวาย โดยพร้อมให้ คสช.และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตรวจสอบ เพราะเรามีเจตนาที่บริสุทธิ์ ซึ่งกลุ่มสามมิตรจะยังคงเดินทางลงพื้นที่รับฟังปัญหาและช่วยเหลือชาวบ้านต่อไป เพราะขณะนี้พี่น้องคนยากคนจน คนชนบท ได้ประสานงานมายังกลุ่มสามมิตรเป็นจำนวนมากจากหลายจังหวัด 
    ด้านนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงกรณีกลุ่มสามมิตรออกมาระบุว่าหากใครเห็นว่าเสียเปรียบก็สามารถออกเดินสายอย่างกลุ่มสามมิตรได้ว่า ถ้าใช้ตรรกะนี้ ต้องระมัดระวัง เดี๋ยวจะมีกลุ่มการเมืองอีกเยอะที่อยากทำกิจกรรมทางการเมือง เรื่องนี้ควรตรงไปตรงมาดีกว่า ทุกคนก็รู้ว่ากลุ่มสามมิตรเป็นกลุ่มการเมืองที่พร้อมแปรสภาพเป็นพรรคการเมือง และประกาศสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช.เป็นนายกฯ ต่อ แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะบอกว่าไม่รู้จักก็ตาม 
เตือนคุมไม่ดีเสียหาย
“คำสั่งห้ามของ คสช.ไม่ได้มีแค่พรรคการเมือง แต่ห้ามบุคคลใดก็ตามที่ชุมนุมกันเกิน 5 คนทำกิจกรรมที่ส่อไปในทางการเมืองด้วย การที่กลุ่มสามมิตรเดินทางไปหานักการเมืองเก่าๆ ในหลายจังหวัด ใครก็มองออกว่าไปทำกิจกรรมทางการเมือง หรือภาษาปัจจุบันเรียกว่าไปดูด ดังนั้นจึงควรตรงไปตรงมา อย่าไปใช้ตรรกะที่บิดเบี้ยว เมื่อกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด มันจะผิดไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเป็นงูกินหาง แล้วจะเกิดผลเสียหายกับผู้มีอำนาจเอง”
       นายวิทยา แก้วภราดัย อดีต ส.ส.ปชป. กล่าวเช่นกันว่า เรื่องนี้รัฐบาลต้องระมัดระวัง เพราะเป็นเรื่องบอบบาง ถ้าไม่พยายามคุมกรอบให้ดี ก็จะมีคนอาศัยแนวความคิดดังกล่าวนี้ไปทำบ้างก็จะปัญหา จะเป็นช่องทางให้เกิดผลประโยชน์ต่อคนบางกลุ่ม และไม่เป็นธรรมกับคนบางกลุ่ม
    ส่วนนายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณีนายสมศักดิ์ระบุการเดินสายพบประชาชนทำได้ เพราะไม่ใช่พรรคการเมือง หากใครจะทำก็ให้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคว่าเป็นการหาช่องทางเลี่ยงกฎหมายแบบศรีธนญชัย และประชาชนสามารถใช้วิจารญาณได้ โดยส่วนตัวมองว่าการเดินสายเป็นการชุมนุมทางการเมือง ฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. เพราะในคำสั่งไม่ได้แยกว่าอะไรพรรคการเมืองทำไม่ได้ กลุ่มการเมืองทำได้ เพราะสาระคือเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองหรือไม่ 
“ที่นายสมศักดิ์บอกว่าให้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคนั้น เป็นศรีธนญชัย พรรคเพื่อไทยคงไม่ทำแบบนั้น เพราะเราทำอะไรตรงไปตรงมา เช่นเรามองว่าการแถลงข่าววิจารณ์ผลงานรัฐบาลเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่การชุมนุมทางการเมืองเราก็ทำไป แต่เมื่อ คสช.มองว่าเป็นการชุมนุมทางการเมือง เราก็สู้คดีไป” นายชูศักดิ์กล่าว
    นายสมคิด เชื้อคง อดีต ส.ส.อุบลราชธานี พท.กล่าวเช่นกันว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ระบุถึงกลุ่มสามมิตรสามารถเดินสายพบประชาชนได้ เพราะไม่ใช่พรรคการเมืองนั้น คนเขารู้ทั้งประเทศว่าคือกลุ่มการเมือง ไปเตรียมผู้สมัครทั้งนั้น เป็นการพูดแบบเอาสีข้างเข้าถู หาเหตุจะเจาะช่องทางให้คนที่พยักหน้าให้กันทำกิจกรรมได้ โดยไม่ต้องสนใจคำสั่ง คสช.ที่ห้ามชุมนุมเกิน 5 คน ใช้สถานที่ราชการอ้างว่าไปฟังความเดือดร้อนประชาชน แต่มันหน้าที่อะไรของกลุ่มการเมือง หากเป็นเช่นนี้ แปลว่าวันนี้ไม่ต้องมีรัฐบาลฟังความเดือดร้อนชาวบ้านแล้วใช่หรือไม่
      "คนกลุ่มอื่นที่เรียกร้องการเลือกตั้ง ทำไมบอกชุมนุมเกิน 5 คนก็ใส่คดีให้เขา นักวิชาการบางแห่งประชุมกัน ยังถูกห้ามว่าเกิน 5 คน ผมไม่ได้หวังว่าคนมีอำนาจจะห้ามคนพวกนี้ แต่อยากบอกประชาชนว่า ดูเอาเถิดว่าคนที่มีอำนาจพูดอะไร ทำอะไรไว้ ส่วนการที่นายสมศักดิ์บอกว่าใครอยากทำแบบเขาก็ให้ลาออกจากการเป็นสมาชิกก็ทำได้ พวกผมไม่ทำแบบนั้นครับ เพราะพวกผมตีสองหน้าไม่เป็น" นายสมคิดกล่าว
นายธนกรตอบโต้เรื่องนี้ว่า กลุ่มสามมิตรไม่ได้ตีสองหน้า ถ้าการเป็นคนกลางเดินทางไปรับฟังปัญหาความเดือดร้อนแล้วส่งต่อให้รัฐบาลหาทางช่วยเหลือแก้ไขเรียกว่าการตีสองหน้า อย่างน้อยก็คงดีกว่าเล่นการเมืองแบบตีหน้าเดียว ที่มองเห็นแค่ประโยชน์ของพวกพ้องตัวเองโดยไม่สนใจความเดือดร้อนของประชาชน จะสนใจความเดือดร้อนของชาวบ้านเฉพาะเวลาเขาเข้าคูหากาคะแนนให้เท่านั้นหรือ ที่สำคัญหากไม่คิดทำก็ไม่ควรมาขวางคนอื่น
ขณะเดียวกัน นายสมศักดิ์ได้เดินทางมาให้กำลังใจ ทีม ฒ.สามมิตร ซึ่งลงแข่งขันเตะฟุตบอลกับทีมวีไอพี ทบ. ที่สนามหญ้าหน้ากองบัญชาการกองทัพบก โดย พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก ผู้เล่นในทีมวีไอพี ทบ. ไม่ได้ลงสนาม เนื่องจากติดภารกิจลงพื้นที่ จ.อุดรธานีกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม และเดินทางกลับมาถึง กทม. แต่ติดภารกิจต่อเนื่อง
วันเดียวกัน นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวถึงกระแสการเคลื่อนไหวดูด ส.ส.และ นปช.ของกลุ่มสามมิตรว่า ไม่มีผลใดๆ เราต้องกล้าฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง แต่ท้ายที่สุดก็จะไปรู้กันในวันเลือกตั้ง ส่วนคนที่ไปก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้พกความเป็นแกนนำอะไรออกไป เพราะแกนนำไม่ใช่สมบัติติดตัว มันก็อยู่ที่วัตรปฏิบัตินั้นๆ เพราะประชาชนเขาไม่ได้มาหลงที่รูป รส  กลิ่นและเสียงอะไร แต่เขามาร่วมเป็นร่วมตาย เพราะศรัทธาและเชื่อมั่นในการต่อสู้นั้นๆ ซึ่งในทางการเมืองถ้าคิดแบบนักเลือกตั้งก็มองเห็นว่าไม่มีผลอะไร แต่ในฐานะนักประชาธิปไตย จะเห็นว่ามันจะนำพาซึ่งความเสื่อม ซ้ายเสื่อม ขวาเสื่อม คนมันจะไม่มีทางออก
ชี้แค่ช่วงโหมโรง
       “แทนที่พรรคการเมืองจะทำตัวเป็นที่พึ่งที่หวัง แต่ละเลงกันจนเละเป็นส่วนใหญ่ ทั้งที่พอไปถามทุกคนว่าเลือกตั้งวันไหน ก็ไม่มีใครรู้สักคน ดังนั้นคุณจะรีบเละกันไปทำไม ไอ้ที่เดินสารพัด ลองถามกันดูว่าจะได้ผู้แทนกันสักกี่คน มันไม่ใช่สาระสำคัญเรื่องคะแนนเสียง เรื่องคณิตศาสตร์ แต่ว่าการหยิบยกประเด็นเหล่านี้มาใช้อธิบายความเวลาที่ต้องการทำอะไรขึ้นมาเป็นเรื่องสำคัญกว่า เป็นการแต่งตัวที่นำไปสู่สิ่งที่เราไม่ปรารถนา นั่นเป็นเรื่องใหญ่กว่า” นายจตุพรกล่าว
        เมื่อถามว่า เชื่อว่าการเลือกตั้งในปี 2562 จะเกิดขึ้นได้หรือไม่ นายจตุพรกล่าวว่า ไม่มีใครตอบได้สักคน ไม่มีพรรคการเมืองไหนคิดว่าจะมีด้วยซ้ำ เราเช็กดูรู้ว่าพรรคการเมืองเขาเตรียมการ หรือกำหนดการเลือกตั้งจริงหรือเปล่า คือที่เดินอยู่ในปัจจุบันส่วนใหญ่เผาหลอกกันทั้งนั้น เพราะในแวดวงการเมืองไม่ได้มีความลับอะไร แต่ละพรรคการเมืองไม่มีใครขยับจริง เช็กกันได้ แม้กระทั่งที่เคลื่อนๆ ทำให้เกิดภาพกระทบในวันข้างหน้าทั้งหลายก็เป็นการเผาหลอกทั้งนั้น ส่วนกลุ่มสามมิตรนั้นก็ทำเหมือนขึงขัง แต่พอไปดูในแก่นแท้นั้น มันไม่ใช่ คือในแวดวงการเลือกตั้งมันมองเห็นสนามกันออก ชี้ได้เลยว่าคนไหนจะได้ คนไหนจะตก ไม่มีอะไร ที่ดูเหมือนว่าจะมีอะไร แต่ในสายตาของคนที่อยู่ในสนามการเลือกตั้งจะเห็นว่ามันไม่มีอะไรเลย แล้วก็การขยับอะไรเราก็รู้กันหมดว่ามันไม่ใช่
      ถามถึงอดีต ส.ส.และคนเสื้อแดงเดินทางไปพบกับนายทักษิณและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ซึ่งมีการประกาศสงคราม นายจตุพรกล่าวว่า เชื่อว่าไม่มีอะไร เพราะว่าในทางปฏิบัติจริงๆ คือ 1.การเลือกตั้งยังไม่เกิดขึ้น 2.การอธิบายความในขณะนั้นๆ ก็อาจพูดในบริบทหนึ่ง และเนื้อหาในความเป็นจริงคือการเลือกตั้งยังไม่เกิด และโจทย์ใหญ่มันไม่ได้อยู่ที่การเลือกตั้ง โจทย์ใหญ่มันอยู่ที่หลังเลือกตั้งว่าจะรักษาอำนาจและชัยชนะนั้นได้อย่างไร 
“ถ้าเราเข้าใจโจทย์มันจะเห็นว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่การเลือกตั้ง แต่ปัญหาอยู่ที่หลังเลือกตั้ง ขณะนี้ก็ยังไม่ได้มีอะไร มันเป็นเพียงการพูด ยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่จะแข่งขันอะไร อีกฝ่ายหนึ่งดูดอีกฝ่ายหนึ่งก็ต้องปลุกปลอบเป็นธรรมดา การเลือกตั้งนั้นยังไม่มีใครรู้ หลากหลายเรื่องราวในเวลานี้จึงเป็นการชกลมเสียมากกว่า” นายจตุพรกล่าว
ส่วนนายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายทักษิณอาจทำให้พรรคเข้าข่ายถูกยุบพรรคหรือไม่ ว่านายทักษิณพูดออกไป เพราะห่วงประชาชนที่เดือดร้อน หากมองตามข้อกฎหมายแล้วอาจไม่เข้าข่ายยุบพรรค แต่หากจะใช้อำนาจยุบพรรคก็สามารถทำได้ แต่ต้องมีเหตุผลชี้แจงกับประชาชน ซึ่งช่วงใกล้การเลือกตั้ง พรรคจะเปิดตัวนโยบายทักษิโณมิกส์ใหม่ เป็นนโยบายด้านเศรษฐกิจแบบใหม่ ที่มีฐานแนวความคิดจากนายทักษิณ แต่ไม่ได้ครอบงำหรือควบคุมโดยนายทักษิณ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ยังกล่าวถึงท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่อาจลงเล่นการเมืองและยังเดินหน้าลงพื้นที่ แต่นักการเมืองและพรรคการเมืองไม่สามารถทำได้ ว่าพรรคปฏิบัติตามกฎหมาย ส่วน กกต.ต้องเป็นกลางและดูด้วย ขณะเดียวกันสังคมไม่ควรจะยอมรับการกระทำที่หลีกเลี่ยงกฎหมาย เพราะเราทุกคนต้องการการเลือกตั้งที่เสรีและมีความเป็นธรรม เพื่อความเชื่อมั่นของประเทศ
    ส่วนที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) นายพิชัย พร้อมนายนรินทร์พงศ์ จินาภักดิ์ ทนายความ เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.อธิลักษณ์ หวังสิริวรกุล รอง ผกก.(สอบสวน) กก.3 บก.ปอท. เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาตามความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากกรณีโพสต์เฟซบุ๊กว่ามีการสั่งแบนนิตยสารไทม์ฉบับหน้าปก พล.อ.ประยุทธ์ โดยนายพิชัยระบุว่าไม่ได้เป็นคนทำเอง แต่มีแฟนคลับส่งมาให้ จึงได้โพสต์ภาพหน้าปกลงในเฟซบุ๊กด้วยความสุจริตใจ ซึ่งตนเองถูกออกหมายเรียกมาแล้ว 11 ครั้ง ทั้งที่เป็นการให้ข้อมูลที่เป็นจริงและเป็นประโยชน์กับสังคม และรัฐบาล คสช.น่าจะนำไปพิจารณาแก้ไขปรับปรุงการบริหารประเทศมากกว่ามาเสียเวลาเอาผิด.
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"