สามมิตรลดกระแส! สมศักดิ์หวั่นทหารถูกโจมตี/ชี้ใครคุมโซเชียลชนะ


เพิ่มเพื่อน    

 "สมศักดิ์" ป้องทหารสองมาตรฐานไฟเขียว "สามมิตร" เดินสาย อ้างทุกอย่างทำตามหลักเกณฑ์ เหน็บพรรคอื่นก็ทำแต่ไม่เป็นข่าว ยอมขอผ่อนคลายการเคลื่อนไหว ขู่คนร้อง กกต.หากไม่ผิดจะมีปัญหา "สรอรรถ” ซัดสามมิตรเคลื่อนไหวการเมืองชัดเจน ชุมนุมเกิน 5 คน จี้ คสช.-กกต.จัดการ "ธิดาแดง" ตอก "สมศักดิ์" ดาวฤกษ์จริงต้องมีอุดมการณ์ไม่ย้ายพรรค-ขายตัว "กุนซือบิ๊กป้อม" ฟันธงหมดยุคปลาทูซื้อเสียง ชี้ใครคุมโซเชียลฯ ชนะเลือกตั้ง แนะให้ดูใครจัดทัพขนานใหญ่

     เมื่อวันศุกร์ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มสามมิตร กล่าวถึงการดำเนินการของกลุ่มสามมิตรหลังจากมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงการเดินสายลงพื้นที่ ว่า ทุกอย่างเป็นไปตามหลักเกณฑ์ โดยที่ผ่านมานายดร งามธุระ ที่ปรึกษากฎหมายกลุ่มสามมิตร ได้ตอบคำถามสื่อมวลชนไปหมดแล้วว่าสามารถทำอะไรได้แค่ไหน และอย่างไร ตนเป็นผู้ปฏิบัติคนหนึ่ง ก็เชื่อในแนวทางของนักกฎหมาย เรามีเจตนาที่บริสุทธิ์เพื่อไปรับฟังปัญหาของชาวบ้าน เพราะปกติทุกพรรคการเมืองก็ปฏิบัติแบบนี้กันอยู่แล้ว แต่อาจจะไม่ได้เป็นข่าว  แต่กลุ่มสามมิตรอาจจะเป็นข่าวบ่อย อาจจะทำให้เป็นที่รำคาญของคนที่ยังทำอะไรไม่ถูก และไม่ได้ออกมา หากไปไหนมาไหนแล้วไม่ได้ผิดกฎเกณฑ์อะไรต่างๆ  ทางเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ว่าอะไร
    "สื่อมวลชนเขียนให้ว่ากลุ่มสามมิตรทำงานมีผลงานในลักษณะแบบนั้น แต่เราก็ไม่ได้บอกว่าเราไปดูดเขา อาจทำให้กระทบกระเทือนใจการเมืองอื่นๆ ได้ ที่พรรคการเมืองต่างๆ มองว่าทหารไฟเขียวให้กลุ่มสามมิตรมากเกินไปในการทำกิจกรรม เขาอาจจะมองแบบนั้น แต่ความจริงไม่ใช่ เพราะทุกพรรคการเมืองทำงานเหมือนกันหมด แต่อาจจะไม่เป็นข่าวเหมือนกับกลุ่มสามมิตรเวลาเคลื่อนไหวต่างๆ ที่ผ่านมาเราพยายามดูกฎเกณฑ์ระเบียบทั้งหมดให้อยู่ในกรอบ" นายสมศักดิ์ กล่าวถึงการลงพื้นที่ แต่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไปดูดนักการเมือง 
    นายสมศักดิ์กล่าวว่า ตอนนี้เรายังไม่มีพรรคการเมือง ตนเป็นนักการเมืองที่ไม่เคยบอกว่าจะหยุดเล่นการเมือง ส่วนกลุ่มสามมิตรจะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เป็นนายกฯ ต่อหรือไม่ ตนไม่ทราบ ขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่ในกลุ่มสามมิตร เราอยากสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรและชาวบ้าน เราไม่ได้เรียกเรตติ้ง สิ่งใดที่เหมาะสม และเปิดโอกาสให้เราทำได้เราก็จะทำไปเรื่อยๆ ส่วนความเป็นไปได้ระหว่างกลุ่มสามมิตรกับพรรคพลังประชารัฐ เรายังไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใด และไม่ได้ปิดกั้นอะไรทั้งสิ้น เรื่องพรรคการเมืองเรายังไม่อยากพูดถึง เพราะพูดถึงเขาจะเดือดร้อนกันไปเปล่าๆ
    ผู้สื่อข่าวถามว่า คนในกลุ่มสามมิตรเคยอยู่พรรคไทยรักไทยมาก่อน และวันนี้มาตั้งกลุ่มสามมิตร จะเกิดรอยร้าวกับพรรคเพื่อไทยหรือนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ หรือไม่ นายสมศักดิ์กล่าวว่า พวกเราเป็นนักคิด และเป็นเรื่องนโยบายที่จะทำให้เกิดประโยชน์สังคมเราก็ทำตามแนวทางที่วางไว้ เดิมทีเราเคยอยู่พรรคไทยรักไทย ทุกคนมีความเก่งและมีนโยบายหลายอย่าง แต่วันนี้คนที่คิดนโยบายไม่ได้อยู่ร่วมกันแล้ว ต่างคนต่างแยกย้าย เมื่อตนมาอยู่ตรงนี้ก็คิดว่ายังทำประโยชน์ให้กับสังคมชนบทได้ ส่วนที่บางคนคิดว่ากลุ่มสามมิตรจะกรุยทางให้พรรคพลังประชารัฐ เพราะมีความสนิทสนมกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ นั้น ตนก็ไม่รู้ว่าสนิทแบบไหน เพราะเจอนายสมคิดเมื่อเดือน ธ.ค.ปี 61 และล่าสุดผ่านมา 6 เดือน เพิ่งมาเจอกันอีก
    เมื่อถามว่า คิดอย่างไรกับนักการเมืองคนรุ่นใหม่ เช่นนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ นายสมศักดิ์กล่าวว่า ตอนนี้ถ้าเป็นคนหนุ่มนายธนาธรก็มาแรง แต่ถ้าจะเป็นถึงนายกฯ หรือไม่ตนก็ไม่ทราบ แต่ครั้งนี้เราไม่ได้สนับสนุนนายธนาธร ส่วนเด็กปั้นหน้าใหม่ของกลุ่มสามมิตร ยอมรับว่าตอนนี้มีหลายคนที่เป็นคนใหม่ เปรียบเสมือนเป็นดาวฤกษ์ ที่มีแสงในตัวเอง เราจะเน้นดาวฤกษ์แม้เป็นดวงเล็กมีอายุมากหรือน้อยก็พิจารณาต่อไป
    "ความพร้อมอยู่ที่ว่าเรากำหนดวันเลือกตั้งเมื่อใด เพราะตอนนี้ทางรัฐบาลและ คสช.ยังไม่ได้ปล่อยให้พรรคการเมืองเดินหน้าไป เราต้องดูกฎหมาย และตอนนี้พรรคการเมืองยังทำกิจกรรมไม่ได้ กลุ่มสามมิตรจะตัดสินใจเดินหน้าเมื่อถึงเวลาสมบูรณ์แล้ว เราจะไม่ผลีผลาม เพราะตอนนี้ถือว่าเรามีความคล่องตัวมากกว่า เพื่อไปรับฟังปัญหา แต่เราไม่ได้สัญญาว่าจะให้ และช่วยรัฐบาลบ้าง แต่จะช่วยนำเสนอนโยบายที่ดีๆ เพื่อต่อยอดต่อไป" แกนนำกลุ่มสามมิตรกล่าวถึงเวลาที่จะตัดสินใจเดินหน้าทางการเมืองอย่างเป็นรูปธรรม 
ยอมเดิมเกมซอฟต์ลง
    ถามอีกว่า มองการทำงานของ พล.อ.ประยุทธ์อย่างไร นายสมศักดิ์ปฏิเสธที่จะตอบคำถาม ระบุแค่ว่าจะไปวิพากษ์วิจารณ์ผู้ใหญ่ได้อย่างไร เมื่อถามต่อว่าอ่านใจนายทักษิณ ชินวัตร ออกหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า "ท่านรักประชาชน ดังนั้นท่านต้องปล่อยให้ตนทำงาน เพราะประชาชนยังมีหนี้อยู่"
    ต่อมา ที่สนามศุภชลาศัย ภายหลังนายสมศักดิ์ เป็นประธานการแข่งขันฟุตบอลการกุศล โดย Asean Para Sports Federation (APSF) ได้ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ระบุการเคลื่อนไหวของกลุ่มสามมิตรอาจเข้าข่ายผิดกฎหมายว่า หากอะไรที่จะก่อให้เกิดความยุ่งยาก สร้างความร้าวฉานแกประชาชน เรายินดีที่จะชะลอ แต่เรายังจะเดินทางไปรับฟังความคิดเห็นของชาวบ้านตามกฎเกณฑ์ระเบียบที่มีอยู่ อย่างกรณีที่เคยบอกว่าจะเปิดเผยว่าจะมีบิ๊กเซอร์ไพรส์ 2 เรื่อง หากเปิดเผยแล้วผิด เราก็จะยังไม่เปิด เพราะไม่ควรสวนทางระเบียบกฎเกณฑ์ที่ได้มีการวางเอาไว้ แต่ไม่ใช่ว่าเราจะไม่เคลื่อนไหว เพราะเราจะเคลื่อนไหวให้ถูกต้องตามระเบียบกฎเกณฑ์ หลีกเลี่ยงในสิ่งที่ล่อแหลม
     เมื่อถามว่า การเดินสายพบประชาชนของกลุ่มสามมิตร เพื่อสะท้อนปัญหาของประชาชน ดูเหมือนกับว่าสามมิตรเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับรัฐบาล แกนนำกลุ่มสามมิตรกล่าวว่า เราเพียงทำหน้าที่เสมือนไปรษณีย์ เพราะเรื่องเหล่านี้ต่างเป็นหน้าที่ของผู้แทนอยู่แล้ว ซึ่งที่ผ่านมานักการเมืองหลายกลุ่มก็ทำเช่นนี้ เพียงแต่ไม่เป็นข่าว แต่ถ้าการเป็นข่าวของสามมิตรนั้นก่อให้เกิดปัญหา ถูกมองว่าเกิดความได้เปรียบเสียเปรียบ เราก็จะพยายามหลีกเลี่ยงการเป็นข่าว เช่น พยายามไม่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน หรือสัมภาษณ์ให้น้อยลง เราบอกหลายครั้งแล้วว่าเราไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกับใคร เราแค่เดินเพื่อสะท้อนปัญหาชาวบ้าน
     ถามว่า สามมิตรจะชัดเจนในเดือนหน้าเลยหรือไม่ว่าจะสังกัดพรรคใด นายสมศักดิ์กล่าวว่า คงไม่จำเป็นที่จะต้องบอกว่าวันไหน เรายังไม่ได้คุยกับผู้ก่อตั้งพรรคพลังประชารัฐเลย ส่วนนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์  ก็ได้คุยกันแค่เมื่อครั้งเดินทางไปประชุม ครม.สัญจรที่จังหวัดสุโขทัยเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ถึงวันนี้ก็ยังไม่ได้พบกันเลย เพราะถ้าเป็นเรื่องการเมือง นายสมคิดจะไม่ค่อยคุย
     “นิสัยของนักการเมือง ก็จะต้องไปพบชาวบ้านอยู่แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ไปพบชาวบ้าน จะบอกว่าพรรคโน้นพรรคนี้ไม่ไปพบชาวบ้านคงไม่ได้ เขาไปพบ แต่ไม่เป็นข่าว ส่วนเราก็อาจไปพบแล้วสะท้อนปัญหาได้เร็ว และเข้าใจง่ายก็เท่านั้น หลายพรรคการเมืองก็วิพากษ์วิจารณ์เรา แต่เราคงไม่ไปวิพากษ์วิจารณ์แข่งกับเขา เราพยายามหลีกหนี ข้อกล่าวหาที่ว่าการเมืองน้ำเน่า จึงไม่พยายามยุ่ง ต่อล้อต่อเถียง” นายสมศักดิ์ กล่าว 
    ส่วนที่จะมีใครร้องเรียนต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่มสามมิตรหรือไม่ นายสมศักดิ์กล่าวว่า ส่วนตัวไม่ทราบ เพราะหากร้องเรียนแล้วสามมิตรไม่ผิด ผู้ที่ร้องก็จะมีปัญหา ส่วนที่มองว่ากำลังใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายเคลื่อนไหวตนไม่ใช่นักกฎหมาย ไม่รู่ว่ามีช่องโหว่ แต่คิดว่าการแสดงออกถึงความรักความสามัคคีของคนในชาติคงไม่ใช่ความผิด และเมื่อมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ เราก็จะผ่อนคลายการเคลื่อนไหว รอจนกว่าทุกอย่างจะชัดเจน แต่ทุกคนก็ต้องทำงาน เพราะอยู่เฉยๆ คงไม่ได้
ภท.จี้ กกต.-คสช.จัดการ
    นายสรอรรถ กลิ่นประทุม ประธานที่ปรึกษาพรรคภูมิใจไทย (ภท.) เปิดเผยผ่านรายการ ‘ริงไซด์การเมือง’ ถึงความเคลื่อนไหวทางการเมืองในขณะนี้ว่า  การเคลื่อนไหวของกลุ่มสามมิตรถือว่าประสบความสำเร็จ เพราะสามารถช่วงชิงพื้นที่ข่าวได้ในระดับหนึ่ง และยังทำให้พรรคการเมืองตื่นตัวพอสมควรในการตรวจสอบลูกพรรคของตัวเอง ตนมองเป็นเรื่องธรรมดาที่หลังจากการปฏิวัติรัฐประหารแล้วจะมีกลุ่มการเมืองออกมาสานต่อ หรือรองรับงานของคณะปฏิวัติ ดังนั้นกลุ่มสามมิตรจึงถูกหลายฝ่ายจับตามองว่ามีความได้เปรียบเสียเปรียบเกิดขึ้น เพราะสามารถเคลื่อนไหวได้เพียงกลุ่มเดียวในขณะที่พรรคการเมืองไม่สามารถขยับตัวได้
    “จะอ้างว่าไม่ใช่พรรคการเมืองไม่ได้ เพราะพฤติกรรมของกลุ่มสามมิตรเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองชัดเจน เพราะขัดกฎหมายการชุมนุมเกิน 5 คน ดังนั้นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้ง กกต.และ คสช.ต้องพิจารณาว่าผิดกฎหมายหรือผิดคำสั่งของ คสช.หรือไม่” นายสรอรรถกล่าว
    นายสรอรรถกล่าวต่อว่า ประเทศไทยไม่มีการเมืองมานานกว่า 7-8 ปี ส่งผลให้นักการเมืองต้องทำกิจกรรมในพื้นที่ แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ เพราะทุกครั้งที่นักการเมืองลงพื้นที่ จะมีเจ้าหน้าที่ทหารออกติดตามและห้ามทำกิจกรรม มีแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ทหารที่ไปเจรจากับผู้นำชาวบ้านว่าห้ามเชิญ ส.ส.มาร่วมงาน ด้วยเหตุผลว่าเกรงจะเกิดความวุ่นวาย ซึ่งนักการเมืองก็ทำตาม แต่ในความเป็นนักการเมืองนั้น ต้องพบปะประชาชนในพื้นที่ ต้องลงพื้นที่ตลอด และเชื่อมั่นว่าประชาชนรู้กติกาการเลือกตั้ง รู้ว่าเขาจะเลือกใคร ส่วนที่กลุ่มสามมิตรประกาศว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าจะได้ส.ส.ประมาณ 200 คนนั้น ไม่รู้ว่านับมาจากฐานไหน เพราะหากนับจากทุกพรรคในตอนนี้ จำนวน ส.ส.จะเกินกว่า 500 คนแล้ว ทั้งๆ ที่จำนวน ส.ส.เขตมีเพียง 350 คนเท่านั้น
    ประธานที่ปรึกษาพรรค ภท.เชื่อว่า ในปี 2562 คสช.จะจัดให้มีการเลือกตามโรดแมปที่ พล.อ.ประยุทธ์ประกาศ ประกอบกับสภานิติบัญญัติแห่งชาติยอมถอยการแก้ไขประเด็นผู้ตรวจการเลือกตั้ง รวมทั้งเสียงสะท้อนจากประชาชนว่าต้องการการเลือกตั้ง ดังนั้นไม่น่าจะมีเหตุผลอะไรที่ทำให้การเลือกตั้งเลื่อนออกไปอีก เชื่อว่าทุกพรรคจะเดินหน้าต่อสู้ทางการเมือง คงยังไม่มีพรรคใดจับมือกับใครก่อนทราบผลการเลือกตั้ง กติกาการเลือกตั้งและหลังการเลือกตั้งจะไม่เปลี่ยนไป คือพรรคที่ได้คะแนนเสียงอันดับหนึ่งเป็นผู้นำในการจัดตั้งรัฐบาล ทุกพรรคต้องเคารพกติกานี้ เว้นเสียแต่พรรคอันดับหนึ่งจัดตั้งไม่ได้ก็ต้องเปิดโอกาสให้พรรคลำดับถัดไป 
    "คงไม่สามารถบอกได้ว่าเราจะไปร่วมหรือไม่ร่วมกับพรรคการเมืองใด เพราะเราไม่อยู่ในฐานะผู้เลือกแต่เป็นผู้ถูกเลือกมากกว่า สำคัญที่สุดคือนโยบายของพรรคต้องมีการนำมาต่อยอด ซึ่งในการทำงานเป็นรัฐบาลผสมนั้น ต้องมีการเฉลี่ยนโยบายของทุกพรรค อย่างไรก็ดี เชื่อว่านโยบายของแต่ละพรรคไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ดังนั้นก่อนจับมือตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้ง ก็ต้องมีการพูดคุยกันก่อน" นายสรอรรถกล่าว
    นางธิดา ถาวรเศรษฐ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ว่า เนื่องมาจากคำพูดของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน ที่บอกให้คนอื่นเอาอย่างตัวเอง คือกล้าออกจากพรรคมาตั้งกลุ่ม และคนที่ไม่กล้าออกมาก็เป็นพวกดาวเคราะห์ แต่คนที่กล้าออกจากพรรคนั้นคือดาวฤกษ์ น่าจะเข้าใจความหมายของดาวฤกษ์และดาวเคราะห์ไม่ถูก โดยเฉพาะการที่บอกว่าตัวเองเป็นดาวฤกษ์ จะเข้าใจว่าคือคนที่มีฐานเสียงของตัวเอง และนักการเมืองดาวเคราะห์คือคนที่ไม่มีฐานเสียงของตัวเอง ต้องไปอาศัยพรรค เป็นคำพูดที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง และค่อนข้างที่จะดูหมิ่นประชาชน
ดาวฤกษ์จริงไม่ขายตัว
    "ถ้าในความหมายที่เป็นดาวฤกษ์คือมีฐานเสียงของตัวเอง กล้าออกจากพรรค แล้วฐานเสียงของตัวเองคืออะไร ไม่ได้เกี่ยวกับอุดมการณ์ กับแนวทางนโยบายเลยหรือ หรือเป็นการผูกพันกับบุคคลซึ่งอาจจะด้วยคุณงามความดี ด้วยความสัมพันธ์ ด้วยความช่วยเหลือ แปลว่าฐานเสียงของท่านเป็นเรื่องอันเนื่องมาจากผลประโยชน์ ถ้าเช่นนั้นคนอื่นเขาอาจจะให้ผลประโยชน์มากกว่าท่านก็ได้ และนี่เป็นการดูหมิ่นประชาชนหรือเปล่า"
    นางธิดากล่าวว่า นักการเมืองที่เป็นดาวฤกษ์จะต้องเริ่มต้นตั้งแต่มีอุดมการณ์ทางการเมืองว่าตัวเองเข้ามาทำงานการเมืองเพื่ออะไร มีแนวทาง ทิศทางและอุดมการณ์ต้องการการเมืองในระบอบไหน นักการเมืองที่เป็นดาวฤกษ์จะมีแสงจากตัวเอง ต้องเป็นแสงที่มีอายุยาวนานถาวรไม่สามารถเปลี่ยนได้ง่ายๆ เช่น เคยอยู่กับพรรคการเมืองหรือรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แล้วออกไปสนับสนุนพรรคการเมืองหรือรัฐบาลที่มาจากระบอบอื่นไม่ได้
    "การเมืองประเทศไทยนั้น แม้จะสะบักสะบอม แต่หลังรัฐธรรมนูญ 2540 เป็นต้นมา ประชาชนเขาไม่ใช่แค่เลือกดาวเป็นดวงๆ นะ เขาเลือกเป็นกาแล็กซีเลย หมายความว่าเขาเลือกพรรค ด้วยเหตุนี้พรรคการเมืองสองพรรคจึงเป็นพรรคขนาดใหญ่ ประชาชนจะรู้ว่าแนวทางของพรรคประชาธิปัตย์ ของพรรคเพื่อไทยเป็นอย่างไร"
    แกนนำ นปช.กล่าวอีกว่า นักการเมืองดาวฤกษ์ต้องเป็นนักการเมืองที่มีคุณภาพ ยึดมั่นอุดมการณ์ ไม่สามารถแปรเปลี่ยน-ถูกดูดเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ยกตัวอย่าง คุณเตียง ศิริขันธ์ ส.ส.สกลนคร, คุณทองอินทร์ ภูริพัฒน์ ส.ส.อุบลราชธานี, คุณถวิล อุดล ส.ส.ร้อยเอ็ด และคุณจำลอง ดาวเรือง ส.ส.มหาสารคาม ซึ่งมักจะวางแผนเคลื่อนไหวทางการเมืองด้วยกันเสมอ สุดท้ายก็ทำงานเสรีไทย ทั้ง 4 ท่านเป็นผู้แทนราษฎรที่ได้รับความนิยมมาก และก็ถูกสังหารโดยเจ้าหน้าที่รัฐ นี่เป็นตัวอย่างนักการเมืองพันธุ์ดาวฤกษ์ สำหรับนายสมศักดิ์ เป็นดาวเคราะห์เพราะว่าไม่มีแนวความคิดทางการเมือง ไม่มีอุดมการณ์ ย้ายพรรคไปย้ายพรรคมา
     "สรุปว่าดาวฤกษ์จริงไม่ขายตัว ไม่ว่าจะเป็นอำนาจเงินหรืออำนาจของคดีความหรืออื่นใดก็ตาม  และดาวฤกษ์จริงนั้นเป็นอุดมการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ จะมีฐานเสียงหรือไม่ ไม่สำคัญ แต่ประชาชนที่ตื่นตัวเขาจะรู้ แล้วก็เป็นฐานเสียงที่แน่นอน แต่ถ้าฐานเสียงแบบเอาเงินไปซื้อ คนที่มีเงินมากกว่าก็ซื้อได้" นางธิดากล่าว
    นายไพศาล พืชมงคล กรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ) โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก วิเคราะห์สถานการณ์แข่งขันทางการเมือง ว่า สมรภูมิเลือกตั้งเปลี่ยนไปแล้ว 1.ผลการเลือกตั้งของสหรัฐ ที่ปู่ทรัมป์ชนะเลือกตั้งท่วมท้น และผลเลือกตั้งมาเลเซียที่ปู่มหาเธร์ชนะท่วมท้นนั้น อาจจะเป็นต้นแบบให้แก่การขับเคี่ยวในสมรภูมิเลือกตั้งของไทยต่อไปนี้ด้วย 2.สมรภูมิเลือกตั้งเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย จากที่เคยใช้ปลาทูซื้อเสียง ก็เปลี่ยนมาเป็นเงินซื้อเสียง และล่าสุดการใช้โซเชียลมีเดียในการได้มาซึ่งคะแนนนิยม กำลังกลายเป็นพลังหลักในสมรภูมิเลือกตั้งที่ทำให้ ทั้งปู่ทรัมป์และปู่มหาเธร์ชนะเลือกตั้ง 
    3.ทั้งทรัมป์และมหาเธร์ใช้ Social Media ที่เข้าถึงประชาชนกว่าครึ่งประเทศอย่างรวดเร็วต่อเนื่อง และสามารถพลิกสถานการณ์จากที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ และจากมาตรการเข้มของมาเลเซียและสหรัฐได้ 4.ประเทศไทยมีประชากร 70 ล้านคน แต่มีผู้ใช้สมาร์ทโฟนถึงร้อยล้านเครื่อง และสถิติปรากฏว่าผู้ถือสมาร์ทโฟนได้ใช้สมาร์ทโฟนวันละ 4 ชั่วโมง ดังนั้นใครสามารถใช้ Social Media เข้าถึงได้ ก็มีโอกาสชนะเลือกตั้ง
     "ประเทศไทยผ่านการต่อสู้กับอำนาจรัฐสามานย์มาแล้ว 13 ปีเต็ม ประชาชนชาวไทยในวันนี้ไม่ใช่ประชาชนชาวไทยในยุคเอาปลาทูไปซื้อเสียงหรือใช้เงินไปเดินซื้อเสียงอีกแล้ว ความก้าวหน้าคืออนาคต           ความล้าหลังจะถูกทอดทิ้งในประวัติศาสตร์ ดูสิดู ดูให้ชัดๆ ว่าใครกำลังจัดทัพโซเชียลมีเดียอย่างขนานใหญ่ในสมรภูมิเลือกตั้งครั้งหน้า?" นายไพศาลระบุ. 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"