วิกฤติใหญ่เกิดแน่'พิภพ'ฟันธงเหตุ'ทักษิณ'ต้องการเผด็จศึกคล้ายสงครามยุค'นโปเลียน'


เพิ่มเพื่อน    


24ส.ค.61-นายพิภพ ธงไชย อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย  โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก Pibhop Dhongchai เรื่อง วิกฤติการเมืองไทย นับหนึ่งใหม่หลังวันเลือกตั้ง ระบุว่า เมื่อคืนไปออกรายการคนเคาะข่าว ที่ NEWS 1 ของคุณเติมศักดิ์ จารุปาน กับอาจารย์วันวิชิต บุญโป่ง อาจารย์หนุ่มไฟแรงจาก ม.รังสิต

ก่อนนั้นในค่ำวันจันทร์ก็ไปสังสรรค์กับนักเคลื่อนไหวทางการเมืองและนักสิทธิมนุษยชนกับนักสันติวิธีหลายกลุ่ม และได้อ่านบทสัมภาษณ์ของคุณจตุพร พรหมพันธุ์ว่า "วิกฤตกำลังจะเกิด เลือกตั้งก็ไม่จบ" ในแทบลอยด์ ไทยโพสต์

ดูผู้คนดูจะเห็นประเด็นตรงกัน เพียงแต่คาดการณ์กันว่า จะใหญ่โตแค่ไหน จะถึงกลับเลือดตกยางออกมากน้อยเพียงใดหรือไม่ ด้วยมองเหตุแห่งวิกฤตไม่ตรงกัน ทั้งผลที่ตามมาก็ไม่ตรงกัน

ผมเองชี้ให้เห็นว่า วิกฤตใหญ่ที่สุดของไทย เกิดเมื่อคราวเสียกรุงศรีอยุธยา ๗ เมษายน ๒๓๑๐ และการสร้างกรุงธนบุรีระยะแรก แต่หลังจากนั้นถึงมีวิกฤตการณ์มาเป็นระยะๆ ก็ไม่ใหญ่โตเท่าคราวเสียกรุง และยุคสร้างกรุงธนบุรี ผมเชื่อว่าจะเกิดวิกฤตทางการเมืองอีกรอบหลังเลือกตั้ง แต่น่าจะหลังนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ซึ่งจะไม่ใหญ่โตมากนัก

วิกฤตนั้นก็ยังมาจากเหตุเดิม คือตัว "ทักษิณ" ที่ยังไม่ยอมแพ้ และไม่มีเหตุให้ทักษิณต้องยอมแพ้เสียด้วย ยิ่งเห็นลู่ทางชนะการเลือกตั้ง เข้ามาต่อรองอำนาจทางการเมืองและผลประโยชน์ได้ใหม่ ก็ยิ่งฮึดสู้ เพราะ "สงคราม" ในความคิดของทักษิณยังจบไม่ลง คล้ายสมัยสงครามยุค "นโปเลียน" ต้องให้เกิดการเผด็จศึกแบบสงครามวอเตอร์ลู และนำไปสู่เกาะ Saint Helena เท่านั้น สงครามทักษิณจึงจะจบ

ที่ผมว่าจะไม่เกิดวิกฤตใหญ่ถึงเลือดนองท้องช้าง เพราะยุคสมัยนี้มีตัวควบคุม คือ กองทัพ กลุ่มทุนใหญ่ สถาบันกษัตริย์ และวัฒนธรรมไทย

สังคมไทยตั้งแต่ต้นรัตนโกสินทร์ ผ่านวิกฤตมาหลายครั้ง ความสามารถของสถาบันกษัตริย์ไทย ทรงใช้สติปัญญาฝ่าฟันมาได้โดยตลอด ทำให้วิกฤตไม่บานปลายกลายเป็นวิกฤตใหญ่ เช่น ประเทศเพื่อนบ้าน หรือประเทศอื่นใดในโลกใบนี้

ความคิดนี้ตรงกับ Kofi Annan ที่เคยกล่าวไว้ว่า “จริงๆแล้วประเทศไทยถือว่าโชคดีมาก เพราะความขัดแย้งในประเทศไทยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในโลกแล้วถือว่าเล็กน้อยมาก ประเทศไทยไม่มีความขัดแย้งที่รุนแรงในเรื่องอุดมการณ์ศาสนา ภาษา วัฒนธรรม เรามีปัญหาความเหลื่อมล้ำและความยากจนบ้าง แต่ก็เป็นประเด็นซึ่งอยู่ระหว่างการแก้ไขปรับปรุงและมีทิศทางที่ดีขึ้น คนไทยมีความภูมิใจในชาติ และยังโชคดีที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นศูนย์รวมจิตใจคนไทยมาช้านาน”

ครั้งหนึ่งผมเคยเป็นตัวแทนญาติวีรชนพฤษภา 35 ไปฟ้องคณะกรรมสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติ ที่เจนีวา เมื่อนำคำฟ้องไปเทียบกับประเทศอื่น ของยุคสมัยเดียวกัน เช่น อาร์เจนตินา ความรุนแรงและความตายของเรากลายเป็นเรื่องเล็กนิดเดียว

กลับมาที่การเมืองบ้านเรา เราต่างเห็นตรงกันว่าเกิดวิกฤตแน่ ไม่ใช่เพราะทักษิณไม่หยุด นักการเมืองที่ลอยหน้าลอยตาก็ไม่หยุดที่จะ "เขมือบแผ่นดิน" กันต่อไป ตัวตัดสินคือคนรุ่นใหม่ ที่ห่างเหินการเลือกตั้งไปร่วมสิบปี คนรุ่นนี้จะตัดสินใจทางการเมืองอย่างไร ยังเป็นที่สงสัย และมีตัวเลือกให้เขามากพอหรือไม่ ที่จะใช้ตัดสินใจเพื่อหาทางออกให้ประเทศไปจากคนรุ่นเก่า

ผมชี้ให้เห็นถึงคุณภาพของคนไทยส่วนหนึ่ง ที่ผ่านระบบการศึกษาแบบอ่านไม่คล่องเขียนไม่คล่อง คิดเลขไม่เก่ง และเป็นโรค "LD-Learning Disorder-โรคการเรียนรู้บกพร่อง" รวมแล้วถึง 30 % ที่จะโตพอไปใช้สิทธิออกเสียงทางการเมือง ที่นักการเมืองผู้ฉวยโอกาสจะใช้เป็นเหยื่อทางการเมือง แล้วชนชั้นกลางระดับล่าง ที่มองแต่ผลประโยชน์เฉพาะหน้า ทั้งสองกลุ่มต่างตกอยู่ภายใต้สังคมอุปถัมภ์ ที่ระบบการศึกษาและสื่อมวลชนไม่ได้ช่วยยกระดับจิตสำนึกทางการเมืองให้เป็นพลเมืองที่มีคุณภาพแต่อย่างใด นอกจากการเรียนรู้การเมืองจากการเลือกตั้ง ที่เต็มไปด้วยข้อมูลลวง หรือข่าวลวง-Fake News ในโลกสมัยใหม่

และยิ่งสังคมไทยไม่มี. “วัฒนธรรมการอ่านหนังสือ” ด้วยแล้ว ภูมิปัญญาจะเติบโตได้อย่างไร

สังคมในอนาคต จะเรียกกลุ่มคนเหล่านี้ว่า "ชนชั้นที่ไร้ประโยชน์-Useless Classโดยจะถูกควบคุมโดยกลุ่มชนชั้นสูง-Super Elite Class ที่ Yuval Noah Harari ว่าไว้ในโลกยุค AI (ดร.วรศักดิ์ กนกนุกุลชัย นำมาสรุปเสนอไว้)

ที่ผ่านมาไม่มีนักการเมืองกลุ่มใด หรือพรรคการเมืองใด ช่วยยกระดับสติปัญญาในเรื่องนี้เลย จนแม้แต่อาจารย์พุทธทาสภิกขุ ก็เคยเทศนาถึงสังคมประชาธิปไตยในบ้านเราอย่างน่าเป็นห่วงว่า “ขาดซึ่งสติปัญญา”

ที่กล่าวเข่นนี้ มิได้หมายที่จะไม่สนับสนุนการเลือกตั้ง แต่เราจะอดทนพอต่อผลการเลือกตั้ง และความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาล ที่เต็มไปด้วยการโกงกิน โดยอ้างว่ามาจาก "เสียงสวรรค์" ของประชาชนได้หรือไม่

วิกฤตจึงยังคงอยู่ต่อไป ไม่ว่าจะมาจากรัฐบาลทหาร หรือรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

ผมพูดเพิ่มเติมมากกว่าการพูดคุยในรายการคนเคาะข่าว และยังนึกทางออกไม่ได้ ถึงแม้จะมองเห็นอยู่ คือ “การปฏิรูปทุกด้าน” ตามที่กำลังเดินหน้ากันอยู่ แต่ที่ไม่มีความหวังกับนักการเมืองและพรรคการเมือง ด้วยไม่เห็นมีการชูธงการปฏิรูป นอกจากชู”พลังดูด” จะมีเพียงพรรคใหม่บางพรรค ที่ชูว่าจะเปลี่ยนแปลงบางเรื่อง ซึ่งเรื่องที่จะเปลี่ยนนั้น ก็เพียงเป็น”การตลาด” ที่ทักษิณเคยนำเสนอมาแล้ว โดยไม่เปลี่ยนไปถึงฐานรากของปัญหา ที่ลดความเหลื่อมล้ำ ลดการผูกขาดทางการค้า สร้างประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ กระจายอำนาจและกระจายงบประมาณออกไป กับปฎิรูปการศึกษาให้ถึงตัวเด็ก

ผมตั้งคำถามในวงสนทนาเมื่อคืนวันจันทร์ว่า สังคมทำสงครามกับทุนทักษิณ แต่ทุนอื่นใน ๑๐ ทุนยักษ์ของหัวขบวนในตลาดหุ้นนั้น เลวหรือดีกว่าทุนทักษิณ หรือเลวพอกัน และกลุ่มทุนนั้นเติบโตกว่า ๑๐ % ขณะที่ GDP ขยับไปไม่ถึง ๔ % (ในยุคทหารครองเมือง) ทุนเหล่านี้กลับแอบซ่อนอยู่นอกสนามรบ ปล่อยให้ “ทุนทักษิณ” เผชิญหน้าในสนามรบ อยู่ฝ่ายเดียว

หาไม่สังคมการเมืองก็จะอยู่กันแบบนี้ คนจนมากขึ้น คนรวยกระจุกตัว ครอบครองทรัพย์สินเกิน ๗๐ % ของทรัพย์สินในประเทศ

แล้ววิกฤตการเมือง วิกฤตสังคม ประเทศนี้จะหมดไปได้อย่างไร ?


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"