27 ส.ค.61-ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(27 ส.ค.) เวลา 14.00 น. นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) จะเดินทางไปที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถนนแจ้งวัฒนะ เพื่อเรื่องต่อศาลให้พิจารณากรณีนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคเพื่อไทย นำเสนอข้อมูลการขาดทุนโครงการรับจำนำข้าวในเชิงคำถาม ว่าไม่มีการขาดทุน ทั้งๆที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้มีคำพิพากษาออกมาแล้ว นำไปสู่ความสับสนของประชาชนนั้น เป็นการกระทำละเมิดต่อศาลจากการบิดเบือนคำพิพากษาหรือไม่ 

ทั้งนี้ นพ.วรงค์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Warong Dechgitvigrom ในวันเสาร์ที่ 25 ส.ค.ที่ผ่านมา ระบุ "ตามที่นายเรืองไกร ได้นำเสนอข้อมูลการขาดทุนโครงการรับจำนำข้าวในเชิงคำถาม ว่าไม่มีการขาดทุน ทั้งๆที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้มีคำพิพากษาออกมาแล้ว นำไปสู่ความสับสนของประชาชน และมีผู้ไม่หวังดี นำข้อมูลดังกล่าวไปขยายผลในเพจ เพื่อให้เกิดความเข้าใจผิด และหวังผลทางการเมืองผมและทีมกฏหมายพรรคประชาธิปัตย์ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องยื่นให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้พิจารณาว่ามีการกระทำละเมิดต่อศาล จากการบิดเบือนคำพิพากษาหรือไม่ ไม่เช่นนั้นจะเป็นการเสียหายต่อกระบวนการยุติธรรมเป็นอย่างมาก ซึ่งจะไปยื่นเอกสารร้องเรียนในสัปดาห์หน้า"

จากนั้นวันอาทิตย์ที่ 26 ส.ค. นพ.วรงค์ได้โพสต์อีกครั้งระบุ "วันนี้ผมได้ปรึกษาทนายราเมศ ทีมกฏหมายพรรคประชาธิปัตย์ ในรายระเอียดที่จะไปยื่นหนังสือ ร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรณีของนายเรืองไกร ซึ่งทนายราเมศได้ร่างหนังสือเรียบร้อย ได้ข้อสรุปว่าพรุ่งนี้ วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม 2561เวลาประมาณ 14.00 น.ผมและทนายราเมศ จะไปยื่นหนังสือร้องต่อศาลครับ"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่นพ.วรงค์ โพสต์จะไปยื่นเรื่องต่อศาลเพื่อให้พิจารณากรณีของนายเรืองไกร ทางด้านนายเรืองไกร ก็ให้สัมภาษณ์สื่อตอนหนึ่งระบุว่า "ขอให้รีบกำหนดวันและรีบไปยื่นร้องศาลโดยเร็วที่สุด หากไปยื่นในนามพรรคประชาธิปัตย์ ขอให้ ส.ส.ของพรรคช่วยกันลงชื่อมาให้มากๆ ด้วย และหาก นพ.วรงค์ยื่นร้องศาลแล้ว ขอความกรุณาส่งสำเนาคำร้องมาให้ตนด้วยก็จะดีมาก อยากรู้เหมือนกันว่า นพ.วรงค์จะให้ความเห็นในฐานะอะไร และจะเอาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายอะไรไปยื่นฟ้องต่อศาล และหากจะอธิบายความเห็นอะไรก็ทำไปแต่อย่าพูดชี้นำเป็นพอ"