รับมือ'สังคมสูงวัย'


เพิ่มเพื่อน    

    ประเทศไทยเข้าสู่สังคมประชากรสูงวัย โดยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นของประชากรวัย 60 ปีขึ้นไปเป็นประชากรวัยพึ่งพิง การเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างอายุของประชากรดังกล่าวนับเป็นประเด็นท้าทายสำคัญ สะท้อนถึงความจำเป็นที่ประเทศไทยจะต้องตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างการมีอายุขัยที่ยืนยาวกับสุขภาพที่ดีขึ้น ซึ่งมีนัยสำคัญอย่างยิ่งต่อโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้เจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน 
    หลายประเทศทั่วโลกได้เริ่มก้าวข้ามจากการพิจารณาเพียงสังคมสูงวัยไปสู่การเน้นเรื่อง “เศรษฐกิจอายุวัฒน์” (Longevity Economy) และ “การปันผลอายุวัฒน์” (Longevity Dividend) โดยการบรรลุเศรษฐกิจอายุวัฒน์นั้นมีหัวใจสำคัญอยู่ที่การปันผลอายุวัฒน์ นั่นคือ โอกาสทางเศรษฐกิจอันยั่งยืนจากการที่คนในสังคมมีสุขภาพดีตลอดช่วงชีวิตอย่างยืนยาว ซึ่งการที่ประเทศจะได้รับประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากการเป็นสังคมสูงวัยที่มีสุขภาพดี จำเป็นต้องมีการเตรียมการเพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจนั้น โดยจะต้องเตรียมประชากรให้เป็นผู้มีสุขภาพดีทั้งก่อนวัยเกษียณและหลังเกษียณ เช่นเดียวกับที่ประเทศไทยเองจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีคิด มุมมอง วิถีปฏิบัติ เพื่อเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสทางเศรษฐกิจในอนาคตอย่างยั่งยืน สามารถก้าวพ้นกับดักของมิติแห่งวัยพึ่งพิงที่จะต้องเผชิญหากปราศจากการปรับตัวอย่างเหมาะสมและทันการณ์
    ศ.ดร.เกื้อ วงศ์บุญสิน เมธีวิจัยอาวุโส สกว. รองผู้อำนวยการ สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ให้ข้อมูลว่า     จากข้อมูลสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ.2553 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ประเทศไทยมีประชากรทั้งสิ้น 63.8 ล้านคน โดยมีผู้สูงอายุประมาณร้อยละ 13.2 ผลการคาดประมาณประชากรไทยในระหว่างปี พ.ศ.2553-2583 ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พบว่าจำนวนประชากรในประเทศไทยจะเพิ่มขึ้นเป็น 66.2 ล้านคนในปี พ.ศ.2573 จากนั้นจะลดลงเป็น 63.9 ล้าน
    คนในปี พ.ศ.2583 ประชากรวัยแรงงาน (อายุ 15-59 ปี) และประชากรวัยเด็ก (อายุแรกเกิด-14 ปี) มีสัดส่วนลดลงเป็นร้อยละ 55.1 และร้อยละ 12.8 ตามลำดับในปี พ.ศ.2583 ในขณะที่สัดส่วนผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นร้อยละ 32.1 เนื่องจากภาวะเจริญพันธุ์ของสตรีไทยลดต่ำลงอย่างมากและรวดเร็วอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับพัฒนาการทางการแพทย์และนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งอำนวยให้ประชากรมีอายุยืนยาวขึ้น 


    เป็นที่น่าสังเกตว่า ปัจจุบันผู้คนในเขตเมืองของไทยมีลักษณะคล้ายกับประเทศจีน นั่นคือ 1 คน ดูแลพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย และทวด โดยในอนาคตสังคมไทยจะมีครัวเรือน 5 วัยเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นภาพสถานการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจึงเป็นภาพที่น่าจะใช้ในการวางแผนเรื่องการลดจำนวนครอบครัวข้ามวัย เพื่อให้บุตรได้อยู่ใกล้ชิดกับพ่อแม่ ขณะเดียวกันก็เอื้อต่อการอยู่ร่วมกับปู่ย่าตายายไปด้วย 
    ศ.ดร.เกื้อชี้ว่า จะมีต่อผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยอธิบายว่า ถึงแม้ว่าประชากรทั้งหมดของไทยในปี พ.ศ.2583 จะมีจำนวนใกล้เคียงกับเมื่อปี พ.ศ.2553 (63.8 ล้านคน) แต่การลดจำนวนและสัดส่วนของประชากรวัยแรงงานจาก 42.7 ล้านคน (ร้อยละ 67) ในปี พ.ศ.2553 เป็น 35.2 ล้านคน (ร้อยละ 55.1) ในปี พ.ศ.2583 น่าจะส่งผลกระทบต่อปัจจัยการผลิตและการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาควบคู่กับประเด็นด้านคุณภาพของประชากร ซึ่งในปัจจุบันนั้น การขาดแคลนทั้งปริมาณและคุณภาพของกำลังแรงงานด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และวิชาชีพในหลายสายวิชาชีพสำคัญๆ นอกเหนือจากภาพรวมของการขาดแคลนกำลังคนในเชิงคุณภาพ ความไม่สมดุลในตลาดแรงงานของกลุ่มผู้มีการศึกษา และความแตกต่างด้านคุณภาพของกำลังแรงงานที่สำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษา แรงงานไทยส่วนใหญ่ในระดับปริญญาตรีสำเร็จการศึกษาด้านสังคมศาสตร์ ถึงแม้ว่ามีการปรับตัวสูงขึ้นด้านผลิตภาพแรงงานในช่วงที่ผ่านมา และพอจะดูแลผู้สูงอายุได้ระดับหนึ่ง แต่ในภาพรวมผลิตภาพแรงงานยังคงเพิ่มขึ้นช้าเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน และรายได้ไม่ได้สูงกว่าการบริโภคเท่าใดนัก 
    ความจริงแล้วรายได้และการบริโภคควรจะห่างกันมากๆ เพื่อจะได้มีเงินออมสำหรับอนาคตของตนเอง รวมทั้งเกื้อหนุนกลุ่มประชากรที่อยู่ในวัยศึกษาและประชากรสูงวัย ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการบริโภคมากกว่ารายได้ ทำให้เกิดการขาดดุลรายได้การบริโภค โดยข้อมูลในปี พ.ศ.2554 พบว่าตลอดช่วงอายุของประชากรมีการขาดดุลรายได้ประมาณ 1.3 ล้านล้านบาท และปี พ.ศ.2583 จะขาดดุลเพิ่มเป็น 1.8 ล้านล้านบาท กล่าวได้ว่า ตลอดช่วงอายุของคนไทยเราแต่ละคนจะติดลบหรือขาดดุลรายได้ประมาณ 27,000 บาทโดยเฉลี่ย
    ประชากรสูงวัยนั้นจัดว่าเป็น ‘วัยพึ่งพิง’ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านงบประมาณที่ค่อนข้างสูงเกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาลและการฟื้นฟูภายหลังการเจ็บป่วย เนื่องจากเป็นวัยที่มีอัตราการเจ็บป่วยและภาวะทุพพลภาพสูงกว่าวัยอื่น ดังนั้นการบรรลุเป้าหมายในการพัฒนาสังคมและความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต จึงไม่เพียงแค่การปรับตัวของครอบครัวหรือชุมชน บทบาทของภาครัฐนับว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งในการบริหารจัดการ เพื่อให้ประเทศก้าวสู่โอกาสใหม่ของเศรษฐกิจอายุวัฒน์ และได้รับประโยชน์จากการเป็นสังคมสูงวัยที่มีสุขภาพดีหรือการปันผลอายุวัฒน์ โดยจะต้องมีมาตรการที่ดีเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนประชากรที่มีแนวโน้มของสัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น
    การมีสุขภาพดีนั้นไม่จำกัดเพียงสุขภาพทางกาย หากยังครอบคลุมถึงมิติอื่นๆ ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางสมองและจิตใจ ปราศจากภาวะทุพพลภาพ จึงจะจัดว่าเป็นผู้สูงอายุที่ประสบความสำเร็จ ดังนั้นการเตรียมการเพื่อให้เป็นผู้สูงอายุที่มีสถานะสุขภาพดีจึงต้องเตรียมการตั้งแต่ก่อนวัยสูงอายุ ซึ่งนอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อตนเองในระดับปัจเจกบุคคลแล้ว ยังเป็นการเอื้อต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอีกด้วย
    นอกจากนี้ ความมั่นคงทางการเงินในระดับครัวเรือนยังเป็นปัญหาหนึ่งที่สำคัญมากของประเทศ ความไม่มั่นคงทางการเงินตั้งแต่ก่อนเข้าสังคมสูงวัยจะทวีปัญหามากยิ่งขึ้นในอนาคตเมื่อเป็นสังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์ การจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 เพื่อการขับเคลื่อนประเทศระหว่าง พ.ศ.2560-2564 ได้เชื่อมโยงแผนยุทธศาสตร์ชาติในระยะ 20 ปีของรัฐบาล ซึ่งครอบคลุมหลายด้านรวมถึงการผลักดันให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง ท่ามกลางปัญหาท้าทายสำคัญในช่วงทศวรรษหน้า โดยเฉพาะการก้าวสู่สังคมสูงวัย
    ทั้งนี้ การนำอัตราพึ่งพิงมาพิจารณาผลกระทบต่อความเป็นไปทางเศรษฐกิจหรือโอกาสการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ในกรณีของประเทศไทย การคาดการณ์ทางเศรษฐกิจควรพิจารณาว่าจะทำอย่างไรให้ประชากรกลุ่มวัยเด็กที่กำลังเคลื่อนไปสู่วัยแรงงานเป็นประชากรที่มีคุณภาพในอีก 20 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายอย่างมาก.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"