ต่างชาติใช้บริการ"สปา-นวด" มากถึง75% คนไทยยังน้อยควรต้องเพิ่มเป็น50%


เพิ่มเพื่อน    

7ก.ย.61-นายกสมาคมส่งเสริมธุรกิจบริการผู้สูงอายุ เผย รัฐบาลส่งเสริมนโยบาย ผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางด้านสุขภาพนานาชาติ Medical Hub เพื่อสร้างรายได้แก่ประเทศ ชี้ การเข้ารับบริการธุรกิจเพื่อสุขภาพและความงาม ในปี 2560 ที่ผ่านมา ผู้ใช้บริการส่วนใหญ่ประมาณ 75 % เป็นชาวต่างชาติ มีคนไทยเพียง 25 %  ซึ่หากให้ยั่งยืนควรรณรงค์ให้คนไทยเข้ารับบริการเพื่อมากขึ้น เป็น 50%  ด้าน สบส.เผย มี พ.ร.บ.สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ.2559 ควบคุมการให้บริการของสถานประกอบการเพื่อสุขภาพเพื่อให้เป็นไปอย่างมีมาตรฐาน

 

ที่กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ มีการแถลงข่าว เรื่อง “แนวทางการขับเคลื่อนมาตรฐานธุรกิจบริการสุขภาพเพื่อเป็นศูนย์กลางบริการเพื่อส่งเสริมสุขภาพ (Wellness Hub) อย่างยั่งยืน” โดย นพ.ฆนัท ครุธกูล  นายกสมาคมส่งเสริมธุรกิจบริการผู้สูงอายุ กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีชาวต่างชาติเข้ามาเป็นจำนวนมาก เนื่องจากการแพทย์และการบริการธุรกิจเพื่อสุขภาพและความงาม ทั้งสปา การนวดเพื่อสุขภาพ และธุรกิจดูแลผู้สูงอายุ ของประเทศไทยเป็นที่ยอมรับ ดังนั้น การยกระดับและผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางด้านสุขภาพนานาชาติ Medical Hub ที่รัฐบาลกำลังผลักดันให้เกิดขึ้นเป็นอีกทางหนึ่งที่จะสร้างเม็ดเงินให้กับประเทศ ซึ่งประเทศไทยได้เปรียบในการเป็นศูนย์กลางทางด้าน Medical Hub ของภูมิภาค จากราคาที่เหมาะสมในการให้บริการ บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง เทคโนโลยีที่ทันสมัย และมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม แต่ทั้งนี้พบว่าผู้ใช้บริการส่วนใหญ่ในการเข้ารับบริการธุรกิจเพื่อสุขภาพและความงาม ในปี 2560 ที่ผ่านมา ประมาณ 75 % เป็นชาวต่างชาติ มีคนไทยเพียง 25 %  ซึ่งหากจะให้มีความยั่งยืนควรต้องรณรงค์ให้คนไทยเข้ารับบริการเพื่อเพิ่มสัดส่วนคนไทย ให้ได้ร้อยละ 50/50 เพราะหากเจอเหตุการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น ไข้หวัดนก สึกนามิ และล่าสุดเรือทัวร์จีนคว่ำจนทำให้มีนักท่องเที่ยวเสียชีวิตหลายราย นักท่องเที่ยวก็จะหายไปในช่วงนั้น ซึ่งจะทำให้ผู้รับบริการหายไป

“ที่ผ่านมาการยกระดับและผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางด้านสุขภาพนานาชาติ Medical Hub ของรัฐบาลมีคณะทำงานจากหลายหน่วยงาน เช่น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จนทำให้การทำงานมีปัญหาติดขัดบ้างในช่วงแรก แต่ขณะนี้จากการที่มีการตั้งคณะทำงานร่วมของกระทรวงต่างๆ โดยมี สบส.เป็นตัวกลาง ก็ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น มีชาวต่างชาติและชาวไทยมาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจะเห็นว่ารายได้ทางด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและธุรกิจทางด้านสุขภาพ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ทุกฝ่ายก็ต้องร่วมกันผลักดันให้เกิดความยั่งยืน โดยการแก้ไขร้านนวดแฝง และขับเคลื่อนโดยอัตลักษณ์ความเป็นไทย”นพ.ฆนัท กล่าว.

 นพ.ภัทรพล จึงสมเจตไพศาล ผู้อำนวยการกองสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ว่า การยกระดับและผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางด้านสุขภาพนานาชาติ Medical Hubของรัฐบาลนั้นมีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการให้การสนับสนุนเพื่อพัฒนาศักยภาพตั้งแต่ต้นทางสู่ปลายทางโดยการพัฒนาที่ต้นทางนั้น สบส.ซึ่งเป็นตัวกลางในการประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆ มี พ.ร.บ.สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ.2559 ควบคุมการให้บริการของสถานประกอบการเพื่อสุขภาพเพื่อให้เป็นไปอย่างมีมาตรฐาน ทั้ง ธุรกิจสปาเพื่อสุขภาพ ธุรกิจนวดเพื่อสุขภาพ หรือธุรกิจดูแลผู้สูงอายุ ที่ผู้ประกอบการ ต้องมาขอขึ้นทะเบียน  โดยในสถานประกอบการที่ได้รับการขึ้นทะเบียนนั้นผู้ที่ทำการนวดได้จะต้องผ่านหลักสูตรที่ สธ.กำหนด โดยต้องผ่านการอบรมอย่างน้อย 150 ชม. และร้านนวดที่ผ่านการขึ้นทะเบียนขอยืนยันว่าผู้นวดเป็นคนไทย 100 % ส่วนประเด็นการนวดแอบแฝงนั้น เช่น สปาพริตตี้ ร้านนวดที่ใช้หญิงสาวต่างๆนั้น จะเป็นความรับผิดชอบของตำรวจในการเฝ้าระวัง ซึ่งหากพบก็จะมีการประสานมาที่ สบส. ซึ่งก็จะลงไปตรวจ โดยจะมีโทษปรับไม่เกิน 5 หมื่นบาท จำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ ตาม พ.ร.บ.สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ซึ่งจากการลงพื้นที่ตรวจสอบ เฉลี่ยแล้ว จะพบร้านนวดแฝงประมาณ 10 ราย ในแต่ละปี

จากข้อมูลตั้งแต่ ม.ค.-พ.ย. พ.ศ.2560มีธุรกิจด้านสุขภาพจำนวน 4,099 ราย โดยมีการจัดตั้งใหม่จำนวน 610 ราย เพิ่มขึ้นจากปี 2559 จำนวน 62 ราย โดยธุรกิจการดูแลผู้สูงอายุคิดเป็น 11 % ของธุรกิจด้านสุขภาพ โดยมีการจัดตั้งใหม่เพิ่มขึ้น 1.35 เท่า เมื่อเทียบกับปี 2559.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"