คิดถึงความตาย...คิดถึงสังคมไทย


เพิ่มเพื่อน    

      ช่วงระยะนี้...เห็นข่าวใครต่อใครร่วงผล็อย ไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี กันไปเป็นรายๆ ตั้งแต่พระเอกรุ่นเก่าอย่าง โอ วรุฒ ศิลปินเพื่อชีวิตฉบับของจริง-ของแท้ มงคล อุทก ไปจนอภิมหาปราชญ์ อภิมหานักวิชาการ อย่างอาจารย์ ชัยอนันต์ สมุทวณิช เล่นเอาอดรู้สึกโหวงๆ เหวงๆ ขึ้นมามิได้ แต่ก็นั่นแหละ...ทุกสรรพสิ่งย่อมเป็นไปตามกฎธรรมชาติ เป็นไปตามหลักอนิจจัง วัตตะ สังขารา อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้...

                                                              -------------------------------------------------------

      แต่ขณะที่มีข่าวทำนองนี้ออกมาเป็นระยะ...สิ่งที่น่าคิด น่าสนใจ อยู่พอประมาณ ก็คือ ธรรมชาติของสังคมไทย ที่น่าจะยังพร้อมเสมอ ในการแสดงออกถึงความเคารพ ความอำลา-อาลัย ต่อผู้ที่จากไป ไม่ว่าผู้นั้นจะเคยมีแง่บวก-แง่ลบ ขณะยังมีชีวิตอยู่ไปในลักษณะไหน หรือไปตามมาตรฐานรสนิยมของใครต่อใครก็แล้วแต่ แต่เมื่อต้องจากกันไปตามวัฏสงสาร จะด้วยความรู้สึกแห่งความเป็นเพื่อนร่วมวัฏสงสาร หรือด้วยความรู้สึกใดๆ ก็ตาม การคิดถึงผู้ที่จากไปใน แง่บวก คิดถึงสิ่งดีๆ ที่บุคคลเหล่านั้นได้เคยกระทำเอาไว้ มากกว่าที่จะคิดถึง แง่ลบ หรือแง่ที่ตัวเองไม่ถูกใจ ไม่ชอบใจ ดูจะเป็นสิ่งที่ผู้คนหลายต่อหลายสังคม พร้อมให้ความยอมรับมิใช่น้อย ยิ่งโดยเฉพาะ สังคมไทย ของหมู่เฮาด้วยแล้ว ความรู้สึกทำนองนี้ออกจะหนักแน่น มั่นคง หรือออกจะเป็นมาตรฐานอย่างเป็นพิเศษ...

                                                                  -----------------------------------------------------

      พูดง่ายๆ ว่า...ไม่ว่าจะเคยทะเลาะ เบาะแว้ง กันในเรื่องส่วนตัว เรื่องการบ้าน การเมือง แต่ถ้าลองต้องลา-ละ-สละจากกันไปแล้วโดยเด็ดขาด อะไรที่เคยเป็นเหตุปัจจัยให้ต้องทะเลาะ ต้องขัดแย้งกันและกัน เป็นอันแทบไม่ต้องหยิบมารื้อฟื้น ให้เป็นความหลังอันเจ็บปวด รวดร้าว อีกต่อไป มีแต่หันมาร่วมสวด ภาวนา อธิษฐาน แผ่ส่วนบุญ ส่วนกุศล ให้แก่กันและกันไปตามสภาพ เหมือนไม่เคยได้ขึ้งโกรธ ถือโทษ ระหว่างกันและกันเอาเลยก็ยังได้ อันนี้นี่แหละ...ที่อาจถือเป็น ธรรมชาติของสังคมไทย ซึ่งยังไม่ถึงกับเลือนหาย หมดสิ้นสภาพลงไปง่ายๆ แม้การทะเลาะ เบาะแว้ง กันในทางการเมืองระยะหลังๆ มันจะหนักหน่วง ร้อนแรง รุนแรง ไปในระดับไหนก็ตาม...

                                                                   ------------------------------------------------------

      ส่วนจะถือเป็นเรื่องดี-ไม่ดี...อันนั้น คงต้องว่าไปตาม รสนิยม ของใคร-ของมันเอาเองก็แล้วกัน แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...มันน่าจะมีส่วนช่วยให้ความขัดแย้ง แตกต่างใดๆ ก็ตาม ไม่ถึงกับก่อให้เกิดความโกรธเกลียด เคียดแค้น อาฆาต พยาบาท จองเวร-จองกรรม ระดับ ผีไม่เผา-เงาไม่เหยียบ หรือไม่ถึงกับเตลิดเปิดเปิงไปไกลถึงขั้นนั้น ไม่ว่าใครเป็น เผด็จการ ใครเป็น ประชาธิปไตย ใครเป็น เหลือง เป็น แดง ก็เถอะ แต่ถ้าลองตายไปแล้ว ลา-ละ-สละจากโลกนี้ไปแล้ว หรือแม้กระทั่ง ล้างมือไปแล้ว ไม่คิดเกี่ยวข้อง เอาความ กับความขัดแย้งใดๆ อีกต่อไป บรรดาผู้ที่ยังอยู่ข้างหลังทั้งหลาย ก็ดูจะพร้อม อโหสิกรรม พร้อมคิดถึงสิ่งดีๆ ที่บุคคลนั้นๆ ได้เคยกระทำเอาไว้ มากกว่าที่จะคิดฟื้นฝอยหาตะเข็บ หาเรื่อง หาราว ให้ต้องเมื่อยเนื้อ เมื่อยตัว โดยใช่เหตุ...

                                                                ----------------------------------------------------------

      และจะด้วยลักษณะพิเศษทำนองนี้ หรือไม่ อย่างไร ก็มิอาจสรุปได้...ที่ทำให้บรรดาความขัดแย้งในสังคมไทย มันไม่ถึงกับเกิดอาการแตกแยก แตกหัก อย่างชนิดต่อไม่ติด แม้ว่าใครต่อใครพยายามหยิบเอา ความแตกต่าง นานาชนิด ไม่ว่าในเรื่องแนวคิด วิธีคิด อุดมการณ์ อุดมคติ หรือแม้แต่ ความแตกต่างทางชนชั้น เอาเลยถึงขั้นนั้น มาใช้เป็นเงื่อนไขในการสร้างความขัดแย้งเพื่อนำไปสู่ ผลประโยชน์ ใดๆ ก็ตามที แต่สุดท้าย...อะไรต่อมิอะไรกลับหนักไปทาง ตึ๋งหนืดๆ ด้วยความรู้สึกประนีประนอม ยอมความ ที่มันยังแทรกอยู่ในส่วนลึกๆ ของความเป็นไทย หรือความเป็นคนไทย มาโดยตลอด...

                                                                 -------------------------------------------------------------

      เรียกว่า...ระดับที่เคยแค้นแสนแค้น ชนิดแทบอยู่ร่วมแผ่นดินเดียวกันไม่ได้ แต่แวบเดียวเท่านั้น...เมื่อไหร่ที่ผู้ซึ่งตัวเองเคยแค้นต้องตายไป หรือต้องลา-ละ-สละ วางมือจากสิ่งที่ตัวเองเคยกระทำลงไป แบบเบ็ดเสร็จ เด็ดขาด บรรดา ทวยไทย ทั้งหลาย คงไม่คิดจะแบกความแค้นนั้นๆ ให้ต้องหนักอก หนักใจ ตัวเองอีกต่อไป ไม่ต้อง เบิ่งตาจนหางตาฉีกขาด เหมือนหนังจีนกำลังภายในประเภท ลูกผู้ชายอีกสิบปีล้างแค้น...ยังไม่สาย อะไรทำนองนั้น การโค่นล้ม ทำลาย กันในแบบ ถอนราก-ถอนโคน หรือการปฏิวัติ แบบ พลิกฟ้า-คว่ำดิน มันจึงยากซ์ซ์ซ์ที่จะเกิดในสังคมไทยได้ง่ายๆ เหมือนอย่างสังคมอื่นๆ....

                                                                ----------------------------------------------------------------

      ขนาด ท่านปรีดี กับ จอมพล ป. ที่ว่ากันว่า...เคยแค้นแสนแค้นกันมาโดยตลอด แต่พอต่างฝ่ายต่างเลิกแล้ว แก่แล้ว กลับกลายเป็น ผู้หลัก-ผู้ใหญ่ ที่ต่างมีมิตรจิต-มิตรใจ ต่อกันและกันไปด้วยกันทั้งคู่ จอมพลถนอม ที่ตัดสินใจลาออก ทั้งๆ ที่จะยื้อ จะสร้างเรื่อง สร้างราว ต่อไปในแบบไหนก็ได้ ก็กลับมาจบชีวิตในแผ่นดินเกิด ได้อย่างสงบ-สว่าง-สะอาด โดยไม่มีใครคิดจะไปถือสา หาความ กันอีก แม้กระทั่ง นายใหญ่ ของเราก็เถอะ ถ้าลองตัดสินใจวางมือ ลาออก ขณะที่ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังใกล้เละเป็นโจ๊กเข้าไปทุกที ป่านนี้...คงไม่ต้องร่อนเร่ พเนจร เป็นสัมภเวสี เผลอๆ...อาจไม่ต้องเจอกับคดีใดๆ เอาเลยก็ไม่แน่ แต่ก็อย่างว่า...ด้วยเหตุเพราะยังไม่ เข้าถึง-เข้าใจ ต่อความเป็นไทย หรือสังคมไทยอย่างแท้จริง เลยหนีไม่พ้นต้องเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า ต่อความพยายามปลุกเร้าความแตกต่าง แตกแยก อย่างชนิดต้องสู้ตาย หรือต้องสู้จนตายไปในข้างใด ข้างหนึ่ง นั่นแล...

                                                                ----------------------------------------------------------

      ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Anon... To be angry is to punish myself for anothers fault.- ความโกรธแค้น...คือการลงโทษตัวเอง สำหรับความผิดของผู้อื่น...

                                                                  ---------------------------------------------------------


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"