เปิดคำชี้แจง 'ชำนาญ' 9 ประเด็นโต้ 'สืบพงษ์ กับพวกยื่นถอดพ้นก.ต.


เพิ่มเพื่อน    

24 ก.ย. 61 - นายชำนาญ รวิวรรณพงษ์ ประธานแผนกคดีล้มละลายในศาลฏีกา และกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมผู้ทรงคุณวุฒิ (ก.ต.) ในศาลฎีกา เผยแพร่เอกสารคำชี้แจงจำนวนรวม 13 หน้า แบ่งเป็น 9 ประเด็น กรณีที่ถูกกลุ่มผู้พิพากษาเข้าชื่อกันจำนวน 1,734 ราย ขอให้ถอดถอนนายชำนาญพ้นจากตำแหน่ง ก.ต. โดยกล่าวหาว่ามีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ซึ่งวันนี้ (24 ก.ย.) เป็นวันครบกำหนดตามกรอบเวลาที่ให้ส่งคำชี้แจง ก่อนการลงมติถอดถอนหรือไม่ถอดถอนโดยผู้พิพากษาทั่วประเทศ โดยนายชำนาญได้ยื่นเอกสารคำชี้แจงนี้ผ่านผู้อำนวยการสำนักคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม เป็นผู้แทนรับหนังสือดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป

คำชี้แจงของนายชำนาญมีเนื้อหาสรุปได้ ดังนี้ 1.หลังวิกฤติที่ ก.ต. 2 คน แย่งกันเป็นประธานศาลฎีกา เป็นเหตุให้ผู้พิพากษา 11 คน ถูกไล่ออกจากราชการ ผมเป็นคนนำหลักสำคัญที่ว่า “ข้อเท็จจริงที่เป็นผลร้ายต่อผู้พิพากษาที่ถูกกล่าวหาไม่ว่าในทางใด ต้องให้ผู้พิพากษานั้นรู้ข้อเท็จจริงโดยถูกต้อง ครบถ้วน และต้องให้โอกาสผู้พิพากษานั้นชี้แจงอย่างเต็มที่” การลงมติที่ขัดกับหลักการดังกล่าว ย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นเหตุให้ ก.ต.ซึ่งเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องถูกดำเนินคดีมาแล้วหลายคน มติ ก.ต.จึงต้องถูกตรวจสอบได้ ซึ่งผมผลักดันมาโดยตลอด เพื่อเป็นหลักประกันความเป็นอิสระของผู้พิพากษาอย่างแท้จริง

2.ก.ต.ยังคงฝ่าฝืนหน้าที่ต้องฟังความ 2 ฝ่าย ดังกรณีของนายศิริชัย วัฒนโยธิน (อดีตประธานศาลอุทธรณ์ ซึ่งมติ ก.ต.เสียงข้างมากไม่เห็นชอบให้ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานศาลฎีกาตามลำดับอาวุโส: ผู้สื่อข่าวเพิ่มเติม) ที่โต้แย้งว่าการพิจารณาแต่งตั้งตำแหน่งประธานศาลฎีกาเมื่อปีที่ผ่านมาไม่ชอบ เนื่องจากมีเพียงบัตรสนเท่ห์และเป็นเรื่องที่อนุ ก.ต.หยิบยกขึ้นมาเอง การพิจารณาของอนุ ก.ต.และ ก.ต.ยังไม่เปิดโอกาสให้ชี้แจงอย่างเต็มที่ จนปัจจุบันก็ยังไม่มีผลสรุปว่านายศิริชัยกระทำผิดตามที่ถูกกล่าวหา แต่ผลของการกระทำเป็นเหตุให้นายศิริชัยไม่ได้ดำรงตำแหน่งประธานศาลฎีกา

3.หลังวิกฤติ ก.ต. ที่ ก.ต.ฝ่ายชนะรังแกผู้พิพากษาที่อยู่ข้างฝ่ายแพ้ ผมจึงเสนอให้มี ก.ต.บุคคลภายนอก เพื่อตรวจสอบและคานอำนาจ แต่ปรากฏว่า ก.ต.บุคคลภายนอกไม่ได้ทำหน้าที่สมดังเจตนารมณ์ ดังกรณีนายศิริชัยที่ถูกกล่าวหาว่าโอนสำนวนโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จนถึงปัจจุบันยังไม่ปรากฏว่ามีสำนวนใดเป็นเช่นนั้น ก.ต.บุคคลภายนอกจึงไม่จำเป็นและไม่มีประโยชน์ที่จะมีอีกต่อไปในโครงสร้าง ก.ต. จึงต้องมีการสังคายนาวิธีปฏิบัติหน้าที่ของ ก.ต.และอนุ ก.ต. โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีการแต่งตั้งประธานศาลฎีกา เพราะเป็นเรื่องง่ายที่จะแกล้งกล่าวหากัน ไม่ใช่หนทางสุภาพบุรุษ

4.แม้ผมจะเป็นคนวางหลักการฟังความ 2 ฝ่าย และหลักข้อเท็จจริงที่เป็นผลร้ายต้องแจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบและมีโอกาสชี้แจงอย่างเต็มที่ แต่ในการพิจารณาความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งรองประธานศาลฎีกาของผมเมื่อวันที่ 6 ส.ค. 2561 ทั้งอนุ ก.ต. และ ก.ต.กลับไม่ยึดถือหลักการดังกล่าว แม้อนุ ก.ต.จะเห็นว่าผมเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งรองประธานศาลฎีกา แต่ในการพิจารณา ก.ต.และอนุ ก.ต.ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ปกปิดข้อเท็จจริงที่เป็นผลร้ายต่อผม ไม่ได้แจ้งและให้ผมชี้แจงข้อเท็จจริงที่ น.ส.มณี สุขผล ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน ซึ่งถูกร้องเรียนกล่าวโทษว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ นายพัลลอง มั่นดี ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา และนายสืบพงษ์ ศรีพงษ์กุล อธิบดีผู้พิพากษาภาค 2 ยื่นหนังสือถึงประธานศาลฎีกาและให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จต่ออนุ ก.ต.ที่เป็นผลร้ายต่อผมในการไต่สวนเพื่อแต่งตั้งผมให้ดำรงตำแหน่งรองประธานศาลฎีกา

“ผมแจ้งให้ ก.ต.ทราบว่าเป็นการไต่สวนโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ดำเนินการไต่สวนให้ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ ก.ต.ยังคงฝ่าฝืน ผมจึงแจ้งว่าจะดำเนินคดีทั้ง ก.ต.และอนุ ก.ต. แต่สุดท้ายผมเห็นว่าหากดำเนินคดี ก.ต. ซึ่งรวมทั้งประธานศาลฎีกาด้วย เพียงเพื่อตำแหน่งรองประธานศาลฎีกา จะทำให้ภาพลักษณ์ของศาลยุติธรรมเสียหาย ผมจึงตกลงกับประธานศาลฎีกาว่า หากประธานศาลฎีกาโอนคดีตามที่โจทก์ขอให้โอนคดีจากศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา เพราะผู้พิพากษาศาลจังหวัดฉะเชิงเทราร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตั้งแต่นายสืบพงษ์ อธิบดีผู้พิพากษา ภาค 2 นายวราวุธ ถาวรศิริ รองอธิบดีผู้พิพากษาภาค 2 นายพัลลอง มั่นดี ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา น.ส.มณี สุขผล และองค์คณะกับเจ้าของสำนวนใหม่ ตามบันทึกเหตุการณ์การปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษาศาลจังหวัดฉะเชิงเทราเมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2561 ของผู้รับมอบอำนาจโจทก์ ที่ผมได้แจ้งให้ ก.ต.ทราบด้วยแล้ว ผมจะไม่ดำเนินคดีกับ ก.ต.” นายชำนาญ ระบุ

5.การให้ความเป็นธรรมเบื้องต้นในการบันทึกคำเบิกความพยานให้ถูกต้องครบถ้วนเป็นหน้าที่สำคัญของผู้พิพากษา แต่ น.ส.มณี ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนคดีนี้ ปฏิบัติผิดแผกแตกต่างจากผู้พิพากษาอื่น ผมจึงร้องเรียนนายสืบพงษ์ในวันที่ 25 มิ.ย. 2561 และเป็นที่มาของการแต่งเรื่องเท็จในครั้งนี้ของ น.ส.มณี, นายพัลลอง เพื่อปกปิดการกระทำของ น.ส.มณี ในวันนัดสืบพยานจำเลยวันที่ 22 มิ.ย. 2561 และเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อปกปิดการกระทำของนายสืบพงษ์กับพวกที่กระทำต่อเนื่องมาในวันที่ 3 ส.ค. 2561

6.คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยฐานยักยอกทรัพย์บริษัท ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกภรรยาของผมกับโจทก์และจำเลยในคดีดังกล่าวเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดา เป็นคดีที่ภรรยาผมมีส่วนได้เสียโดยตรง หากขึ้นสู่ศาลฎีกา ผมไม่อาจพิจารณาพิพากษาคดีได้เพราะเป็นผู้มีส่วนได้เสียในคดี ผมจึงไม่ใช่เป็นเพียงสามีของพี่โจทก์เท่านั้นดังที่นายสืบพงษ์กับพวกบิดเบือน โดยการนัดสืบพยานจำเลยวันที่ 22 มิ.ย. 2561 ทนายโจทก์ได้ถามค้านจำเลย น.ส.มณี บันทึกคำเบิกความด้วยเสียงเบาจนทนายโจทก์ไม่สามารถรู้ได้ว่าบันทึกอย่างไร ตรงและครบถ้วนในสาระสำคัญหรือไม่ เมื่อเสร็จการพิจารณาและฟังคำเบิกความ ทนายโจทก์บอกผมว่า น.ส.มณีไม่บันทึกคำเบิกความที่จำเลยตอบคำถามค้าน และบันทึกคำเบิกความไม่ตรงกับที่จำเลยเบิกความ

25 มิ.ย. 2561 ทนายโจทก์ได้ขอคัดถ่ายสำเนาคำเบิกความของจำเลยมาให้ ผมอ่านแล้วปรากฏว่าเป็นดังที่ทนายโจทก์แจ้ง เช่น ทนายโจทก์ถามค้านจำเลยว่า ที่จำเลยอ้างว่าขายที่ดินได้รับค่าตอบแทนเป็นเงิน 50 ล้านบาทนั้น มีโฉนดที่ดินหรือมีหลักฐานใดมาแสดง จำเลยตอบว่า “ให้ทนายโจทก์ไปหาเอง” แต่ น.ส.มณี ก็ไม่บันทึก ทั้งที่รู้ว่าเป็นประเด็นสำคัญในคดีเกี่ยวกับแหล่งที่มาของเงิน การที่จำเลยตอบให้ไปหาเองแสดงให้เห็นว่า จำเลยไม่มีหลักฐานที่มาของเงินที่จะนำมาซื้อที่ดินนี้ แต่ปรากฏว่า น.ส.มณี ไม่ยอมบันทึกคำถามและคำเบิกความดังกล่าว

เมื่ออ่านจบผมได้โทรศัพท์ถึงเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ว่าโจทก์จะร้องเรียนผู้พิพากษา แจ้งเพียงชื่อ น.ส.มณี ยังไม่ได้แจ้งรายละเอียดเนื่องจากจะส่งเป็นหนังสือ หลังจากนั้นนายสืบพงษ์โทรศัพท์หาผม แก้ตัวแทน น.ส.มณี ขอว่าอย่าร้องเรียน และจะส่งรองอธิบดีผู้พิพากษาภาค 2 มาร่วมพิจารณาคดีด้วย ต่อมาผมปรึกษาภรรยาและโจทก์ว่า คดีของครอบครัว อย่าให้ผู้พิพากษาต้องเดือดร้อนเลย ปล่อยให้เป็นเวรกรรมของเขาไปเอง วันรุ่งขึ้นผมโทรศัพท์บอกนายสราวุธ (เลขาธิการสำนักงานศาลฯ) ว่าจะไม่ร้องเรียนแล้ว ไม่ต้องการให้ผู้พิพากษาต้องมาเดือดร้อนเพราะเรื่องของครอบครัวผม

วันที่ 2 ก.ค. 2561 วันนัดสืบพยานจำเลยต่อ นายสืบพงษ์ไม่ส่งรองอธิบดีผู้พิพากษาภาค 2 มาร่วมพิจารณาคดี น.ส.มณี ก็ปฏิบัติเช่นเดิมอีก ทนายโจทก์ว่าความได้ประมาณ 1 ชั่วโมง จึงขออนุญาตออกไปนอกห้องพิจารณา เพราะเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะว่าความต่อไป ผมขอให้ทนายโจทก์ว่าความต่อ แต่ทนายโจทก์ยืนยันไม่ยอมว่าความ และขอให้ผมดำเนินคดีแก่ น.ส.มณี แต่สุดท้ายก็ยอมกลับมาว่าความต่อ เมื่อเสร็จการพิจารณาคดีช่วงเช้า ทนายโจทก์โกรธผมที่ไม่ดำเนินการใดๆ แก่ น.ส.มณี ทั้งที่เป็น ก.ต. เห็นการปฏิบัติหน้าที่ในลักษณะนี้ ทั้งอธิบดีฯ ก็ไม่ส่งรองอธิบดีฯ มาดูแลตามที่บอก ช่วงบ่ายทนายโจทก์ยืนยันว่าขอถอนตัว ให้ผมหาทนายสำหรับคดีนี้ใหม่

จากนั้นในช่วงบ่าย ไม่มีการพิจารณาคดี ผมและผู้รับมอบฉันทะนั่งรอรับคำสั่งเกี่ยวกับการถอนทนายและวันนัด ระหว่างนั้นนายพัลลอง, น.ส.มณี และ น.ส.ตรีทิพย์ วิเศษจินดา ลงมา นายพัลลองให้หน้าบัลลังก์โทรศัพท์ตามทนายโจทก์ให้กลับมาว่าความต่อ หน้าบัลลังก์ออกไปโทรศัพท์ กลับมาบอกนายพัลลองว่าทนายโจทก์บอกขอถอนตัวแล้วไม่กลับมา ทนายจำเลยไม่คัดค้าน นายพัลลองให้เลื่อนคดีไป ต่อมา 3 ส.ค. 2561 โจทก์มอบฉันทะให้ยื่นคำร้องคัดค้าน น.ส.มณี ว่าโจทก์ได้ร้องเรียนการปฏิบัติหน้าที่ และจะขอให้ท่านประธานศาลฎีกาโอนคดีไปศาลอื่น แต่ น.ส.มณี ยังคงออกนั่งพิจารณาคดีร่วมกับ น.ส.ตรีทิพย์ และนายวราวุธ และในวันที่ 31 ก.ค. 2561 น.ส.มณี, นายพัลลอง, นายสืบพงษ์ และ น.ส.ตรีทิพย์ มาให้ถ้อยคำต่ออนุ ก.ต.เป็นปฏิปักษ์ต่อผม

เมื่อโจทก์คัดค้าน น.ส.มณี จึงถอนตัว เปลี่ยนผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนและองค์คณะใหม่ พร้อมด้วยนายวราวุธขึ้นพิจารณาคดี ได้สั่งคำร้องของโจทก์ว่า ไม่มีเหตุที่จะอนุญาตให้ทนายโจทก์ถอนตัว ทั้งยังว่าโจทก์ประวิงคดี ให้งดการถามค้าน ให้ทนายจำเลยถามติง และนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 27 ก.ย. 2561 ทั้งที่เพิ่งเปลี่ยนผู้พิพากษาและทั้งสามท่านเพิ่งรับสำนวน หากตรวจสำนวนก็จะรู้ว่าโจทก์ไม่เคยประวิงคดี มีคำถามค้านที่จะถามจำเลยอีกมาก โจทก์ฟ้องจำเลยอีกหลายคดี ไม่มีเหตุที่จะต้องประวิงคดี มีแต่จะต้องเร่งให้เสร็จโดยเร็ว เป็นเหตุให้โจทก์ต้องขอให้ประธานศาลฎีกาโอนคดีและขอให้สอบสวนการกระทำของนายสืบพงษ์กับพวก

7.นายสืบพงษ์รู้อยู่แล้วว่า น.ส.มณี ถูกกล่าวหาปฏิบัติหน้าที่ไม่ถูกต้องตั้งแต่วันที่ 25 มิ.ย. 2561 มีหน้าที่ต้องตรวจสอบและแก้ไข กลับเพิกเฉยเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ สนับสนุนการแต่งเรื่องอันเป็นความเท็จ ทั้งยังเสนอตัวมาให้ถ้อยคำต่ออนุ ก.ต. โดยที่อนุ ก.ต.ไม่ได้เชิญ ผิดปกติวิสัยของอธิบดีผู้พิพากษาทั่วไป ยิ่งกว่านั้นยังส่งนายวราวุธมานั่งพิจารณาคดีในวันที่ 3 ส.ค. 2561 ทั้งที่ในวันที่ 2 ก.ค. 2561 ไม่ส่งมาตามที่เสนอกับผม ยังให้ น.ส.มณี กับ น.ส.ตรีทิพย์ ขึ้นพิจารณาคดีพร้อมกับนายวราวุธทั้งที่รู้ว่าโจทก์ร้องเรียนการปฏิบัติหน้าที่ของ น.ส.มณี และให้ถ้อยคำต่ออนุ ก.ต.เป็นปฏิปักษ์ต่อผม ไม่เพียงแต่ขัดต่อจิตสำนึก แต่ยังขัดต่อจริยธรรมของคนเป็นผู้พิพากษา

เรื่องที่นายสืบพงษ์กับพวกแต่งขึ้นว่า นายชำนาญพูดด้วยเสียงอันดังว่า ถ้าไม่บันทึกผมจะร้องเรียน ผมจะตั้งกรรมการสอบถึงไล่ออกเชียวนะ ผู้พิพากษาจึงบันทึกคำพยานไปตามที่นายชำนาญโต้แย้งและพิจารณาคดีต่อไปนั้นเป็นเท็จ เพราะภายหลังทนายโจทก์ขอถอนตัว เนื่องจากปัญหาในการบันทึกคำพยานของ น.ส.มณี หากผมลุกขึ้นโต้แย้งจน น.ส.มณี ยอมจดบันทึกตามที่ต้องการ ก็ไม่มีเหตุที่ทนายโจทก์ต้องถอนตัว ทั้งการกระทำตามที่แต่งเรื่องขึ้นต้องถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรง แสดงอำนาจบาตรใหญ่ น.ส.มณี หรือองค์คณะจะต้องรีบรายงานให้ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลทราบในทันที แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีการรายงาน

“เพิ่งจะมาทำรายงานเสนอนายสืบพงษ์ ในวันที่ 12 ก.ค. 2561 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่จำเลยยื่นหนังสือร้องเรียนต่อผู้พิพากษาหัวหน้าศาล ทั้งในหนังสือร้องเรียนของจำเลยดังกล่าว ก็ไม่มีการร้องเรียนว่ามีการกระทำตามที่ น.ส.มณี รายงาน ซึ่งเป็นเรื่องร้ายแรงกว่าเรื่องที่จำเลยร้องเรียน ไม่น่าเชื่อและไม่มีเหตุที่จำเลยจะไม่ร้องเรียนเรื่องร้ายแรงเช่นนี้ต่อประธานศาลฎีกา” นายชำนาญ ระบุ

นอกจากนั้น เรื่องที่แต่งขึ้นนี้ น.ส.มณี เองก็เห็นว่าร้ายแรงมากจนทนไม่ได้ เหตุใดจึงไม่ลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาลหรือรีบรายงานให้ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลและอธิบดีฯ ทราบในทันทีที่เกิดเหตุ เช่นเดียวกับที่นายพัลลองและนายสืบพงษ์ได้รับหนังสือร้องเรียนของจำเลยและหนังสือรายงานคดีของ น.ส.มณี เมื่อวันที่12 ก.ค. 2561 ก็รีบส่งเรื่องถึงท่านประธานศาลฎีกาในวันเดียวกัน และรีบโทรศัพท์แจ้งเลขาธิการสำนักประธานศาลฎีกาทันที แต่ น.ส.มณี ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปถึง 10 วัน

ส่วนที่แต่งเรื่องว่าขอคุยกับผู้พิพากษาหัวหน้าศาลนอกห้องพิจารณานั้น เป็นเรื่องร้ายแรงและหยามเกียรติของนายพัลลองซึ่งเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าศาล หากเป็นเรื่องจริงนายพัลลองต้องรีบรายงานและต้องลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาล ในชีวิตผมไม่เคยกระทำเช่นนี้เด็ดขาด ทั้งหนังสือร้องเรียนของจำเลยก็ไม่ปรากฏว่ามีข้อเท็จจริงดังกล่าว เพียงแค่ทนายจำเลยเห็นผมยืนอยู่กับหัวหน้าศาลท่านหนึ่งบริเวณที่จอดรถในศาล ก็ยังนำมาร้องเรียนต่ออธิบดีผู้พิพากษาภาค1

ที่แต่งเรื่องว่า ผมเป็นกรรมการสอบผู้พิพากษาคดีศูนย์เหรียญก็เป็นความเท็จ เพราะ ก.ต.ไม่อาจเป็นกรรมการสอบข้อเท็จจริงหรือสอบสวนวินัยใครได้ เนื่องจากต้องเป็นคนลงมติในชั้นสุดท้าย และที่แต่งเรื่องว่านายชำนาญแถลงเป็นการบิดเบือน เพราะทนายโจทก์ขอถอนตัว จึงไม่มีการพิจารณาคดีในช่วงบ่าย ไม่มีการแถลงอะไรทั้งสิ้น นายพัลลองให้หน้าบัลลังก์ออกไปโทรศัพท์ตามทนายโจทก์กลับมา ทนายโจทก์ไม่กลับมา นายพัลลองจึงหันมาพูดคุยกับผมลักษณะคุยหารือกัน เพราะรู้ว่าผมมีส่วนได้เสียในคดี ไม่ใช่การแถลงคดี การตอบคำถามจึงไม่ใช่การก้าวก่ายแทรกแซงการพิจารณา นายสืบพงษ์และ น.ส.มณี รู้อยู่แล้วว่าผมมีส่วนได้เสียในคดี แต่บิดเบือนข้อเท็จจริงว่าผมใช้อำนาจเหนือผู้พิพากษาและไม่ใช่คู่ความในคดีแต่เข้ามาเกี่ยวข้อง

ส่วนที่แต่งว่าผมมีพฤติการณ์ไม่เคารพผู้พิพากษานั้น จากคำให้การของผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนเดิม (ซึ่งโยกย้ายตามวาระก่อนชุด น.ส.มณี: ผู้สื่อข่าวเพิ่มเติม) ต่ออนุ ก.ต. กล่าวชัดเจนว่า เวลาผมไปฟังการพิจารณาคดีไม่เคยแสดงตน จะนั่งฟังอย่างเดียว ไม่ได้แทรกแซงการสืบพยานหรือการพิจารณา เมื่อผู้พิพากษาขึ้นนั่งพิจารณาคดี ผมลุกขึ้นทุกครั้งทำความเคารพ ไม่เคยชี้หน้าหรือตำหนิผู้พิพากษาในบัลลังก์ และไม่เคยโต้แย้งเกี่ยวกับการบันทึกคำเบิกความ ผมให้ความเคารพและให้เกียรติยศผู้พิพากษา ไม่เคยแสดงตน ไม่เคยก้าวก่ายหรือยกตนข่มท่านใดๆ ทั้งสิ้น

8.การร้องเรียนในเรื่องนี้มีข้อน่าสงสัย โดยที่ น.ส.มณี แต่งเรื่องขึ้นโดยทำเป็นบันทึกรายงานนายสืบพงษ์วันเดียวกับที่จำเลยในคดียื่นหนังสือร้องเรียนต่อประธานศาลฎีกา  โดยเป็นวันเดียวกันกับที่ทนายจำเลยยื่นคำแถลงร้องเรียนที่ศาลจังหวัดฉะเชิงเทราอีกฉบับ ทั้งที่ทนายจำเลยติดว่าความในคดีอื่นที่โจทก์ฟ้องในศาลแขวงสมุทรปราการ จึงน่าแปลกใจว่า วันเดียวกันมีหนังสือร้องเรียนเรื่องเดียวกันถึง 3 ฉบับ และยังพบพิรุธว่า เมื่อเทียบคำต่อคำในบันทึกของ น.ส.มณี และคำแถลงทนายจำเลย ประมาณ 10 บรรทัดเหมือนกันเกือบ 100% ซึ่งเป็นเรื่องน่าแปลกที่ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนกับจำเลยสามารถจดจำได้ตรงกันแทบไม่ผิดเพี้ยน ทั้งที่ระยะเวลาผ่านไป 10 วัน และตรงกับที่ น.ส.มณี บันทึกไว้ในคำเบิกความจำเลยแทบจะไม่มีข้อตำหนิ ทั้งที่ยังอยู่ระหว่างทนายโจทก์ถามค้าน ซึ่งตามกฎหมายจำเลยไม่สามารถขอคัดถ่ายคำเบิกความได้

9.ภายหลังโจทก์ขอโอนคดี มีผู้พิพากษาระดับสูงในภาค 2 นำหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาของจำเลยมาลงเผยแพร่ในไลน์กลุ่มผู้พิพากษา โดยไม่เกรงกลัวความผิด ไม่สมควร ทั้งมีข้อสงสัยว่าหนังสือของจำเลยในคดีมาอยู่ที่ผู้พิพากษาได้อย่างไร การกระทำของบุคคลกลุ่มนี้ เริ่มจากการแต่งเรื่องเท็จ จากนั้นเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จทางโซเชียลมีเดีย โดยตรวจพบที่มาจากผู้พิพากษากลุ่มหนึ่งในภาค 2 ปลุกระดมชวนเชื่อว่ามีเหตุการณ์ตามที่แต่งเรื่องเกิดขึ้นจริง จากนั้นให้ถ้อยคำต่ออนุ ก.ต.ขัดแย้งกันเองเป็นพิรุธ เมื่ออนุ ก.ต.มีมติเห็นว่าผมเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งรองประธานศาลฎีกา ก็ให้ข่าวต่อสื่อมวลชนกดดันการลงมติ ก.ต. และล่ารายชื่อถอดถอน ทั้งที่ข้อเท็จจริงยังไม่มีการยุติว่ามีการกระทำเกิดขึ้นจริงหรือไม่ หรือนายสืบพงษ์, น.ส.มณีกับพวกปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบตามที่โจทก์ร้องเรียน การกระทำผิดเช่นนี้ผิดวิสัยผู้พิพากษา เสื่อมเสียเกียรติยศเกียรติศักดิ์ของตุลาการ

นายชำนาญ ระบุทิ้งท้ายว่า การกระทำที่นายสืบพงษ์กับพวกที่แต่งเรื่องขึ้นเป็นเรื่องร้ายแรง ผู้พิพากษาต้องกระทำในสิ่งถูกต้อง และหาอาจอ้างการกระทำไม่ถูกต้องมาบิดเบือนสร้างความชอบธรรมว่าตนกระทำสิ่งที่ถูกต้องได้ เพราะสิ่งสำคัญที่สุดของการเป็นผู้พิพากษาคือ “จิตสำนึก” หากรู้ว่าสิ่งที่กระทำไม่ถูกต้องยังฝ่าฝืนกระทำลงไป ก็ไม่ควรปล่อยไว้ให้เป็นเยี่ยงอย่าง เพราะจะทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนและเสื่อมเสียแก่องค์กรนี้

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"