8 ต.ค.61- พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีกลุ่มวัยรุ่นยกพวกตีกันใช้อาวุธปืนยิง และมีนักท่องเที่ยวต่างชาติถูกลูกหลงบาดเจ็บ และเสียชีวิต บริเวณลานจอดรถ ห้างเซ็นทารา วอเตอร์เกท พาวิชเลี่ยนว่า เหตุเกิดช่วงเวลา 20.30  น.วันที่ 7 ต.ค. พนักงานสอบสวน สน.พญาไท รับแจ้งมีกลุ่มวัยรุ่นยกพวกตีกันและใช้อาวุธปืนเป็นอาวุธยิงใส่กัน และมีผู้ถูกกระสุนปืนได้รับบาดเจ็บ เหตุเกิดบริเวณลานจอดรถ ห้างเซ็นทารา วอเตอร์เกท พาวิชเลี่ยน แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กรุงเทพฯ  พนักงานสอบสวนจึงได้รายงานผู้บังคับบัญชาทราบ พร้อมด้วย พล.ต.ต.คัชชา ธาตุศาสตร์ รรท.รองผบช.น. พล.ต.ต.เสนิต สำราญสำรวจกิจ ผบก.น. 1  ในที่เกิดเหตุทีนักท่องเที่ยวชาวอินเดียเสียชีวิต 1 ราย และเจ้าหน้าที่ได้ช่วยเหลือนำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล จากการตรวจสอบเป็นนักท่องเที่ยวชาวอินเดีย 1 คน ชาวลาว 1 คน ส่วนอีก 2 คน เป็นคนไทย  ส่วนกลุ่มวัยรุ่นที่ก่อเหตุได้พากันหลบหนีไป ต่อมานักท่องเที่ยวที่มีอาการสาหัสชาวอินเดียได้เสียชีวิตลง พนักงานสอบสวนร่วมกับแพทย์ชันสูตรพลิกศพ  เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน พร้อมเจ้าหน้าที่ส่วนที่เกี่ยวข้อง ตรวจสถานที่เกิดเหตุ  เก็บปลอกกระสุนปืน ไว้เป็นพยานหลักฐาน สอบสวนปากคำพยาน  เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน ลงพื้นที่หาเบาะแสหรือข้อมูลของคนที่ก่อเหตุและตรวจสอบไล่กล้องวงจรปิดตามเส้นทางที่ใช้หลบหนี

จากการสอบสวนเบื้องต้นก่อนเกิดเหตุมีกลุ่มวัยรุ่นทะเลาะวิวาทและไล่ยิงกันในซอยข้างห้างเซ็นทาราฯ และใช้อาวุธปืนยิงกัน โดยขณะนั้นมีนักท่องเที่ยวชาวอินเดียซึ่งมาเป็นกรุ๊ปทัวร์ รอขึ้นรถอยู่บริเวณลานจอดรถของห้างซึ่งตรงกับซอยที่วัยรุ่นก่อเหตุทะเลาะวิวาท ทำให้ถูกลูกหลง ขณะนี้อยู่ระหว่างติดตามผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีโดยเร็ว 

รอง โฆษก ตร. กล่าวว่า คดีนี้เป็นคดีอุกฉกรรจ์ สะเทือนขวัญ มีประชาชนและนักท่องเที่ยวได้รับผลกระทบจำนวนมาก  พนักงานสอบสวนและฝ่ายสืบสวนกำลังเร่งรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อนำตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดี โดยขณะนี้ได้รับรายงานว่าทาง ฝ่ายสืบสวนตำรวจนครบาล และ ฝ่ายสืบสวน บก.น. 1  บูรณาการในการสืบสวนหาตัวคนร้ายที่ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฎหมายให้ได้โดยเร็ว  

"ได้รายงานให้พล.ต.อ.จักรทิพย์  ชัยจินดา ผบ.ตร. รับทราบแล้ว    ท่านได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่ได้ตรวจตรา อาวุธปืน และสิ่งผิดกฎหมาย ประกอบกับ จัดทำข้อมูลท้องถิ่น เพื่อเป็นการป้องกันเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้น  พร้อมทั้งคาดโทษท้องที่หากเกิดเหตุในลักษณะดังกล่าวอีก เพราะจะทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน และภาพลักษณ์ของประเทศ รวมทั้งให้พนักงานสอบสวนต้องรวบรวมพยานหลักฐาน ด้วยความรอบครอบ รวดเร็ว เป็นธรรม อาศัยพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์และพยานหลักฐานที่เชื่อมโยงกับผู้ที่ก่อเหตุเป็นสำคัญ เน้นย้ำเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนต้องเร่งคลี่คลายคดี ติดตามจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุทุกคนดังกล่าวมารับโทษตามกฎหมายอย่างถึงที่สุด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชน"รองโฆษก ตร.กล่าว