ความเคลื่อนไหวของพรรคประชาธิปัตย์ในการหยั่งเสียงเลือกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เกือบโค้งสุดท้าย เรียกว่าฝุ่นตลบทั่วพรรค

        โดยเฉพาะการแข่งขันระหว่างทีมผู้สมัครหมายเลข 1 “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และผู้สมัครหมายเลข 2 “นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม” เพราะต่างฝ่ายต่างโจมตีกันเองว่ามีการทุจริต โกงผลโหวต

        ยกตัวอย่างเช่น ตามข้อมูลของทีมงาน “อภิสิทธิ์” ระบุว่า ฝ่ายผู้สมัครหมายเลข 2 มีการคัดลอก Source Code ซึ่งหากนำไปแก้ไขจะทำให้สามารถเพิ่มคะแนนให้ตัวเองได้ อีกทั้งยังอ้างข้อมูลจากพื้นที่จังหวัดต่างๆ ว่า มดงานของทีม นพ.วรงค์เล่นจริงเจ็บจริง ไม่มีออมมือ ดั่งคำพูดที่ นพ.วรงค์ ระบุย้ำอยู่เสมอว่า

       “เราพร้อมสู้ทุกรูปแบบ ทุกวิธีการ” 

        ขณะเดียวกัน ทีม “หมอวรงค์” ก็มีความกังวลใจหลายต่อหลายอย่างกับการหยั่งเสียงครั้งนี้ โดยเฉพาะกับ “ศิริโชค โสภา” ผู้ใกล้ชิด “อภิสิทธิ์” ผู้สมัครหมายเลข 1 ตั้งแต่รู้ว่าบริษัทที่จัดหาเครื่องลงคะแนนและเขียนโปรแกรมแอปพลิเคชันในการหยั่งเสียงครั้งนี้ คือ บริษัทที่ “ศิริโชค” เป็นผู้จัดหามา เพราะ “ศิริโชค” อาจสอดแทรก Source Code โกงคะแนนก็เป็นได้

        จนนำมาซึ่งการขอดูเพื่อตรวจสอบ Source Code และลืมตั้งเวลาไทม์โซนเครื่องลงคะแนน “Raspberry Pi” ให้ตรงตามเวลาประเทศ นี่คือสิ่งที่กองหนุน “เดอะมาร์ค” พยายามอธิบาย

        ทว่าตัวแทนไอทีของหมายเลข 2 ชี้แจงยืนยันว่าไม่ได้ตรวจสอบหรือแก้ไขใดๆ ทั้งสิ้นจนลืมตั้งเวลาไทม์โซน แต่ผิดที่บริษัทเอกชน ซึ่ง “ศิริโชค” เป็นผู้จัดหามาต่างหาก 

        ดังนั้นเพื่อเป็นมาตรการและป้องกันการโกงผลโหวตด้วยระบบไอที ทางคณะกรรมการการเลือกตั้งหยั่งเสียงหัวหน้าพรรค (กกต.พรรค) จึงเห็นตามข้อเสนอของ “อภิสิทธิ์” ให้นับหัวผู้มาใช้สิทธิ์ในหน่วยเลือกตั้ง เพื่อเป็นการรีเช็กตรวจสอบอีกทางหนึ่ง

        ว่ากันว่า “ทีมหมอวรงค์” ค้านเรื่องนี้ โดยอ้างว่าจะทำให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบในการแข่งขัน หรือรู้ผลคะแนนของผู้สมัครแต่ละคน และจะทำให้วันสุดท้าย วันที่ 9 พ.ย. อาจมีการขนคนซึ่งผิดเจตนารมณ์ของการทำไพรมารีโหวตได้   

        นี่คือตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ ของความวุ่นวายในการโกงของการหยั่งเสียงเลือกหัวหน้าพรรค ซึ่ง กกต.พรรคก็จะต้องตรวจสอบว่ามูลทั้งหมดที่ว่านี้เป็นความจริงหรือไม่

        อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า ความเคลื่อนไหวตั้งแต่เริ่มมีการหยั่งเสียงเลือกตั้ง เกิดความวุ่นวายจนเกิดผลกระทบภาพลักษณ์ของพรรค และทำให้การโหวตครั้งนี้ขาดความน่าเชื่อถือ จึงเริ่มมีเสียงพูดภายในพรรคว่าอาจมีความเป็นไปได้ที่จะให้ผลไพรมารีโหวตหัวหน้าดังกล่าว เป็นเพียงข้อมูลประกอบการพิจารณาของที่ประชุมใหญ่ในการเลือกหัวหน้าพรรค หรือหมายความว่าไม่ต้องเคร่งครัดกับผลการหยั่งเสียงที่มาจากสมาชิกพรรคก็ได้

       หากแนวโน้มเป็นเช่นนี้จริง คงต้องเริ่มศึกภายในอีกรอบ ชิงไหวชิงพริบวัดกำลังกันอีกครั้งว่า ใครจะสามารถขอเสียงจากองค์ประชุมได้มากกว่ากัน.