สัญญาณตั้งรับ “พลังประชารัฐ” ส.ว.ลากตั้งฉุด “บิ๊กตู่” อยู่ไม่ยืด


เพิ่มเพื่อน    

  

      มีปรากฏการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในระยะใกล้เคียงและต่อเนื่องกัน ส่งผลต่อการได้ไปต่อบนตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลังเลือกตั้งของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา การประกาศอย่างเต็มปากเต็มคำ “ผมเป็นนักการเมืองเต็มตัว” ที่สวนสาธารณะหนองบึงกาฬและบึงสวรรค์ ต.บึงกาฬ จ.บึงกาฬ ท่ามกลางประชาชนชาวบึงกาฬราวครึ่งหมื่น เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม เป็นท่าทีที่ยืนยันว่า พร้อมจะกลับมาเป็นนายกฯ ต่ออีก 1 สมัย

                "ผมมาวันนี้ ถ้าเป็นนักการเมืองเต็มตัว ตอนนี้ผมจะบอกว่าไม่ใช่ก็ไม่ได้ เพราะผมบริหารประเทศ ถ้าเป็นนักการเมืองจะดีใจ เพราะมีคนมารับเยอะ เรียกลุงตู่ ลุงตู่ รู้ไหมว่าผมเป็นทุกข์ แต่ผมยอมเป็นทุกข์ ยอมตายจากตรงนี้....”

                “บิ๊กตู่” เคยพูดว่าตัวเองเป็นนักการเมืองมาแล้วครั้งสองครั้ง แต่ดูเหมือนการวางตัว ทั้งการพูด การกระทำยังประดักประเดิด ดูไม่เนียนตาอยู่ไม่น้อย แม้ว่าจะพยายามปรับตัว ภาพของการเป็นทหารมาแต่เดิมบดบังภาพนักการเมืองที่พยายามจะสร้างขึ้นใหม่ นายกรัฐมนตรีจากการรัฐประหารและยังเป็นหัวหน้า คสช.ที่มีมาตรา 44 เป็นอาวุธ ซึ่งมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด จึงไม่ใช่ภาพความเป็น “นักการเมือง” ที่ชาวบ้านอยากเห็น

                การประกาศเป็นนักการเมืองเต็มตัวของ บิ๊กตู่ เกิดขึ้นหลังออกคำสั่งปลดล็อคทางการเมืองด้วยการยกเลิกคำสั่ง คสช. 9 ฉบับได้เพียง 1 วัน โดยคำสั่งมีผลวันที่ 11 ธันวาคม เปิดให้พรรคการเมืองและประชาชนทำกิจกรรมทางการเมือง ก่อนออกคำสั่งปลดล็อก 1 วัน เมื่อ 10 ธันวาคม "ธีรยุทธ บุญมี" นักวิชาการชื่อดังได้ทิ้งระเบิดเข้าใส่คล้ายกับจะทดสอบแรงต้านทานของ พล.อ.ประยุทธ์ และพลพรรคในศูนย์กลางอำนาจ

                 “พล.อ.ประยุทธ์คงจัดตั้งรัฐบาลหน้าขึ้นได้ แต่ความชอบธรรมจะต่ำ...”

                การทิ้งบอมบ์ของธีรยุทธ ประสานเสียงเข้ากับกระแสโจมตีจากนักการเมืองที่เรียกตัวเองว่า “ฝ่ายประชาธิปไตย” และอีกหลายฝ่ายอย่างพอดิบพอดี กรณีบิ๊กตู่สั่งให้ กกต.พิมพ์บัตรเลือกตั้งโดยไม่ต้องใส่โลโก้และชื่อพรรคการเมือง ให้ใส่เพียงชื่อผู้สมัครในแต่ละเขตตามหมายเลขของผู้สมัคร ซึ่งแม้จะอยู่จังหวัดเดียวกัน พรรคเดียวกัน แต่ได้เบอร์ไม่เหมือนกัน ทำให้บิ๊กตู่เสียคะแนนไปไม่น้อย ในส่วนของ กกต.ต้องถอยกรูด ออกมายอมรับจะทบทวนเรื่องนี้

                หลังโซ่ตรวนที่พันธนาการสิทธิเสรีภาพสื่อ การแสดงออกต่างๆ พร้อมกับเล่นงานคนฝั่งตรงข้ามตลอด 4 ปีกว่า เกือบ 5 ปีเต็ม นับแต่ คสช.ก่อรัฐประหาร ใช้มาตรา 44 เป็นอาวุธกำราบปราบปรามในหลายๆ รูปแบบได้รับการปลด ก็ถูกท้าทายจากคนแดนไกลทันที

                "ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี มีการโพสต์ภาพลงเฟซบุ๊กชู 3 นิ้ว มีข้อความในภาพสรุปถึงรัฐธรรมนูญที่จำกัดสิทธิของประชาชน ดังนั้นต้องร่วมกันแก้รัฐธรรมนูญฉบับถ่วงความเจริญ ตามติดมาด้วย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง หัวหน้าคณะกรรมการรณรงค์หาเสียงพรรคเพื่อไทย เปิดแถลงข่าวแสดงความมั่นใจว่า พรรคเพื่อไทย พรรคไทยรักษาชาติ พรรคเพื่อชาติ และพรรคอนาคตใหม่ จะได้คะแนนเสียงรวมกันเกือบ 300 คะแนน และได้จัดตั้งรัฐบาล แถมยังปูดข่าวแกนนำกลุ่มสามมิตร และหัวโจกบ้านริมน้ำ ต่อรองตำแหน่งรัฐมนตรี

                ลีลาการเมืองแบบเก่าถูกนำมาเขย่าเพื่อข่มขวัญพรรคพลังประชารัฐ วาทกรรมของนักการเมือง ผ่านช่องทางการสื่อสารต่างๆ โดยนักการเมืองเป็นผู้กำหนดเนื้อหา ประเด็นและกิจกรรมต่างๆ ปรากฏขึ้นแล้ว และจากนี้ไปจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ไปจนถึงวันเลือกตั้ง 24 กุมภาพันธ์ 2562

                ขั้วการเมืองแบ่งเป็น 2 ขั้วใหญ่ จะไม่มีใครยอมใคร ขั้วที่หนึ่ง ไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ พรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำ ขั้วที่สอง เอา พล.อ.ประยุทธ์ พรรคพลังประชารัฐ เป็นแกนนำ

                พรรคประชาธิปัตย์ นั้นเอาแน่ไม่ได้ว่าจะอยู่ขั้วไหน แม้จะมีความพยายามจับไปอยู่ขั้วทหาร

                ส่วนพรรคระดับกลาง พรรคภูมิใจไทย วางสถานะให้เป็นตัวแปรทรงพลังของจริง มิใช่ตัวเติมแต้มอย่าง พรรคชาติไทยพัฒนา, พรรคชาติพัฒนา ที่พร้อมจะเข้าร่วมรัฐบาลกับทั้ง 2 ขั้ว

                อย่างไรก็ตาม พรรคที่ไม่เอา คสช.จะถูกสร้างภาพขึ้นมาว่าเป็นประชาธิปไตย ทำตัวเป็น “พรรคเทพ” เหมือนหลังเหตุการณ์นองเลือดพฤษภาทมิฬเมื่อปี 2535 เป็นฝ่ายรุกทางการเมือง กำหนดวาระ ประเด็นเพื่อให้ปรากฏเป็นข่าวสารออกสื่อต่างๆ เพื่อหาคะแนนนิยมจากประชาชน

                อีกฝ่ายก็จะกลายเป็น “พรรคมาร” ถูกสร้างภาพว่าต้องการสืบทอดอำนาจ คสช. เอาเปรียบการเลือกตั้ง ใช้ ส.ว.เป็นเครื่องมือ

                แต่ละวัน ตั้งแต่เช้าตรู่ไปจนค่ำมืดและดึกดื่น ขั้วที่เรียกตัวเองว่าเป็นประชาธิปไตยจะดาหน้ากันออกมาให้ข่าว ขย่ม ถล่มโจมตีฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์ ในทุกประเด็น เป็นฝ่ายรุกทางการเมือง ใช้การสื่อสารการตลาดที่เหนือชั้นกว่าเป็นเครื่องมือ

                ประเด็นโจมตี หนีไม่พ้นเรื่องราวเหล่านี้ อาทิ ความล้มเหลวในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ, ปัญหาปากท้องชาวบ้าน, ล้มเหลวการปฏิรูป, กดขี่ ข่มเหง จำกัดสิทธิ เสรีภาพ, มุ่งสืบทอดอำนาจไปอีก 4 ปี, รัฐธรรมนูญเผด็จการ ดีไซน์มาให้ พปชร., สืบทอดอำนาจ, เอาเปรียบการเลือกตั้ง ฯลฯ

                ในขณะที่พรรคฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์ และ คสช. แทบหาคนออกมาตอบโต้ไม่ได้ เพราะกระบวนการประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลและ พปชร.ยังมั่ว ตั้งแต่ภายในและภายนอก ยิ่งบทบาทกองโฆษก พปชร. โดยเฉพาะ กอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ กำลังลาลาลอย ล่องไปในอวกาศ สนุกสนานกับอำนาจรัฐมนตรีใช่หรือไม่ ไม่มีเวลาทำหน้าที่กระบอกเสียง และจัดกระบวนการทำงานภายในพรรคให้เป็นระบบ ถือเป็นการเสียโอกาสที่จะสื่อสารและสร้างความรับรู้แก่พี่น้องประชาชนเพื่อสร้างการยอมรับ และสลัดคราบไคลทหารออกไป  

                อีกทั้ง 4 รัฐมนตรี ยังมีแนวโน้มจะพลิกลิ้นอยู่ในตำแหน่งเสนาบดีถึงวันเลือกตั้ง เพื่อเป็นเกาะกำบัง 1 นายกฯ 1 หัวหน้า คสช. ไม่ต้องถูกเรียกร้องให้ลาออก โดยมีรุ่นใหญ่ "สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ" แกนนำกลุ่มสามมิตรออกมาอุ้มท่ามกลางข้อครหาขัดเจตนารมณ์ รธน. และทำให้มาตรฐานการเมืองต่ำตมลงไปหลายสิบปี จุดแข็งมีเพียง พล.อ.ประยุทธ์  ใช้อำนาจออกมาตรการและใช้งบประมาณเพื่อหาเสียง หาคะแนนนิยมให้กับพรรคพลังประชารัฐ ไม่นับข้อครหาใช้อำนาจเงินดูดและคดีความบังคับ ส.ส.เข้ามาสังกัดใช่หรือไม่ 

                นอกจากนี้ ในส่วนของ ส.ว.250 คน ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นพวก คสช. ของบิ๊กตู่ จะแต่งตั้งใครเข้ามาบ้าง การเลือกกันเองของผู้สมัคร ส.ว.ระดับอำเภอเริ่มแล้ววันที่ 16 ธันวาคม จากนั้นวันที่ 22-27 ธันวาคม จะเป็นการเลือกกันเองในระดับจังหวัดและระดับประเทศตามลำดับ เพื่อให้ได้ 200 คน ใน 10 กลุ่มอาชีพ กกต.จะส่งรายชื่อให้ คสช.เลือกให้เหลือ 50 คน เพื่อแต่งตั้งเป็น ส.ว.

                สำหรับ ส.ว.ประเภทที่ คสช.จะตั้งกรรมการคัดเลือก 9-12 คน ไปออกหลักเกณฑ์ วิธีการเพื่อคัดเลือกไว้ไม่เกิน 400 คนนั้น ไม่รู้ว่าจะตั้งกรรมการเมื่อใด และเป็นใครบ้าง มีข่าวออกมาทางสื่อว่าจะไม่มีการเปิดให้สมัคร แต่จะใช้กลวิธีเป็น “แมวมอง” คณะกรรมการคัดเลือกเองแบบเงียบๆ แล้วปกปิดรายชื่อไว้ จากนั้นจะส่งให้ คสช.คัดเหลือ 194 คน เพื่อรวมกับ 6 ตำแหน่ง ด้านความมั่นคง รวมเป็น 200 คน เพื่อแต่งตั้งเป็น ส.ว.

                ที่มาของ ส.ว.เช่นนี้ย่อมหนีไม่พ้นกับการถูกเรียกขานว่า “ส.ว.ลากตั้ง” ที่ภารกิจแรกคือการโหวตเลือกนายกฯ ซึ่งก็แน่นอนว่า ต้องโหวตเลือก พล.อ.ประยุทธ์ การเป็นนายกฯ ของ พล.อ.ประยุทธ์ ด้วยการโหวตของ ส.ส. และ ส.ว. ให้ได้ไม่น้อยกว่า 376 เสียง นั้นไม่ยากเกินไป แต่การเป็นรัฐบาลบริหารประเทศให้รัฐบาลมีเสถียรภาพ ให้ครบเทอม 4 ปี ยากยิ่งกว่าเป็นหลายเท่า

                 รัฐธรรมนูญกำหนดให้ ส.ว.มีอำนาจหน้าที่ในการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ    

                  ถ้าหาก คสช.หลับหูหลับตาเลือกเอาแต่พวกพ้อง เหมือนกับที่เลือกคนมาเป็น สนช. ซึ่งกว่าครึ่งเป็นทหาร คนเหล่านี้กำลังวิ่งเต้นเพื่อให้ได้เป็น ส.ว.

                สมมติว่า ได้ ส.ว.ลากตั้งที่อ่อนหัดทางการเมือง พูดจาไม่รู้เรื่อง อภิปรายไม่เป็น ไม่รู้เรื่องรัฐธรรมนูญ ไม่เข้าใจการปฏิรูปและยุทธศาสตร์ชาติ ไม่เชื่อมโยงกับสังคมให้สมกับการเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย มีเพียงหน้าที่เดียวคือตรายางหรือฝักถั่ว 

                สุดท้าย ส.ว.ก็จะเป็นตัวฉุดรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ให้ดิ่งเหวเร็วขึ้น...หมดความชอบธรรมที่จะอยู่ในอำนาจต่อไป.

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"