จ่อคลอดพรฎ.เลือกตั้ง 'ประยุทธ์'ขอให้ใจเย็นๆใครทาบทามต้องดูนโยบาย


เพิ่มเพื่อน    


    “ประยุทธ์” เผยพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งใกล้คลอดแล้ว ขอให้ใจเย็นๆ ย้ำยังไม่มีใครมาสู่ขอ หากทาบทามจริงก็ต้องดูนโยบายก่อน สุริยะเผยรอดูท่าทีบิ๊กตู่เพราะยังไม่ชัดว่าจะเล่นการเมืองต่อหรือไม่ เด็กเพื่อไทยเริ่มขู่ทหารวันหน้ากลับมาใหญ่อาจมีเช็กบิล “บิ๊ก พปชร.” สวนหมัด ”ดร.เหลิม-อดิศร” เจ็บ ชี้รู้ว่าคะแนนตกเลยต้องแว้งกัดไปทั่ว ย้อนบุญคุณใครเป็นคนชงชื่อให้นั่ง รมช.คมนาคม  พรรคการเมืองแห่ขายฝัน “จตุพร” ชูเบี้ยคนชรา 2,000 ตลอดชีพ
    เมื่อวันจันทร์ที่ 21 ม.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงการออกพระราชกฤษฎีกาการเลือกตั้งว่า "เดี๋ยวออกนะ ใจเย็น เดี๋ยวก็ออกแล้วนะ" และเมื่อถามว่ามีใครทาบทามหรือยัง พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า "ยัง สื่อจะมาทาบทามหรือไม่ แล้วสื่อมาถามจะอยากรู้อะไรนักหนา เดี๋ยวถ้ามีคนทาบทาม เขาก็บอกมาเอง แต่ตอนนี้ยังไม่มีใครทาบทาม  ส่วนจะตัดสินใจอย่างไรนั้น ก็เขายังไม่ทาบแล้วจะไปบอกท่าทีอะไร กำลังรอดูว่าใครจะมาทาบทาม ใช่หรือไม่ วันนี้จะมีพรรคไหนจะมาเชิญชวนก็ยังไม่รู้เหมือนกัน ถ้ามีการเชิญชวนมาก็ต้องดูนโยบายว่าเป็นอย่างไร ถ้านโยบายมันไม่ชัดเจนไม่ดี ก็ต้องบอกเขาว่าแล้วจะทำยังไงถ้าอยากจะให้ไปอยู่ ทำอย่างนี้มันไม่ได้ แล้วเขาจะฟังหรือไม่" เมื่อถามย้ำว่าหากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ทาบทาม พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า "แล้วบอกว่าจะไปหรือยังล่ะ สื่อก็เปิดกันไปเรื่อยเปื่อย"
    ถามอีกว่าถ้า พปชร.ได้เก้าอี้ ส.ส.ต่ำกว่า 100 ที่นั่งจะนำไปประเมินสถานการณ์และตัดสินใจด้วยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า "เป็นเรื่องของกลไกซึ่งมีอยู่แล้ว แล้วถามว่าจะทำอย่างไรจะได้ขึ้นมากกว่า 100 ที่นั่งหรือ ก็ทำไม่ได้เพราะเป็นเรื่องของประชาชน ครั้งนี้ประชาชนต้องเลือกและตัดสินใจให้ดีว่าจะเป็นพรรคไหน อย่าไปมองแค่ว่าจะให้อะไร เพราะนั่นคือความเสียหายของประเทศ เข้าใจกันหรือยัง ยังไม่เข็ดกันหรือ ยังไม่เข้าใจกันอีกหรืออย่างไรว่าอะไรคือความเสียหายของประเทศ อะไรคือความล้มเหลวของประเทศ สื่อยังมาถามอยู่แบบเดิม ขี้คร้านจะตอบ"     
    พล.อ.ประยุทธ์ยังกล่าวตอนหนึ่งในงานเปิดตัวโครงการโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล และพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือโครงการโรงเรียนคุณภาพประจำตำบลว่า ทุกคนต้องการให้บ้านเมืองสงบสุข  ดังนั้นบ้านเมืองไม่ว่าจะเดินไปข้างหน้าอย่างไรต้องสงบเงียบแบบนี้ ขอฝากทุกภาคส่วนทำงานเพื่อให้ประเทศเจริญก้าวหน้า วันนี้ทุกคนต้องช่วยกัน เพราะเรากำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่การเป็นประชาธิปไตยที่ทุกคนต้องการ ขอให้เป็นไปอย่างสงบสุขเรียบร้อย 
    "การเข้ามาเป็นรัฐบาลในวันหน้า เมื่อเข้ามาแล้วก็มีการทำงานในลักษณะเป็นสภา ต้องมีฝ่ายค้าน และรัฐบาลที่ต้องแก้ปัญหาควบคู่กันมา แต่ที่พูดมาทั้งหมดก็ไม่สามารถทำได้ หากไม่มีแนวทางแบบที่เริ่มต้นไว้ให้วันนี้ เราทำไว้หมดแล้วและเดินไปทีละขั้น มีคนมาพูดว่าเราจะทำให้ตรงนี้มันไปถึงแล้วยังตรงโน้น ถ้าเราไม่กลับมาดูหัวแม่เท้าตัวเอง มันไปไม่ได้หรอก มันเดินไม่ได้จะสะดุด เดินก็ต้องก้มมองปลายเท้าและเงยมองไปข้างหน้าว่าจะเดินไปยังไง ผมก็ฝากสื่อโซเชียลไว้ด้วย ผมไม่รู้จะโมโหไปทำไม  คนที่เขียนก็สนุก ชอบ สื่อก็ขายดีขึ้น แต่ปรากฏว่าประเทศชาติแย่ลง สุขภาพจิตผมก็แย่ ร่างกายผมก็แย่ตามไปด้วย ต่อไปนี้ผมจะไม่ให้ความสำคัญบอกไว้เลยตรงนี้ เพราะให้ความสำคัญมา 5 ปีแล้ว ไม่ได้อะไรขึ้นมา” นายกฯ ระบุ
ลั่น พ.ร.ฎ.ใกล้คลอด
    พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษก คสช.กล่าวว่า ในการประชุมสำนักเลขาธิการ คสช. พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะเลขาธิการ คสช.ได้ระบุถึงสถานการณ์บ้านเมือง โดยเชื่อว่าจะมีการประกาศ พ.ร.ฎ.เลือกตั้งในเร็วๆ นี้ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ซึ่งขณะนี้มีการออกมาแสดงความคิดเห็นและเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่ง คสช.จะยังคงดูแลการจัดกิจกรรมหรือการเคลื่อนไหวต่างๆ ให้เป็นไปอย่างเหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์ไม่ให้พัฒนาไปสู่การใช้ความรุนแรง 
    “ทุกหน่วยงานราชการต้องติดตามและมีความเข้าใจในข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการเตรียมการสู่การเลือกตั้ง ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐและสามารถชี้แจงข้อเท็จจริงต่างๆ ให้ประชาชนได้รับทราบ เพื่อสร้างความเข้าใจอันดีของสังคมให้เดินหน้าสู่การเลือกตั้งได้อย่างราบรื่น ตามเจตนารมณ์ของรัฐบาลและ คสช.”พ.อ.หญิง ศิริจันทร์กล่าว
    ด้าน พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มต่างๆ ที่อาจพัฒนาไปสู่ความรุนแรงว่า "คงไม่มี เนื่องจากทุกฝ่ายทราบดีว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นภายในเวลาที่กำหนด เพียงแต่จะช้าหรือเร็วต้องดูห้วงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งรัฐบาลเองไม่ได้ถ่วงเวลา ทุกฝ่ายตั้งใจให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว" 
    นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวเรื่องนี้ว่า เป็นสิทธิที่ทำได้ แต่ขอให้อยู่ในความสงบเรียบร้อย เพราะยังมีคนอีกจำนวนมากที่ชื่นชอบประเทศที่สงบเช่นนี้ ฉะนั้นการที่กลุ่มคนบางกลุ่มแสดงความเห็นต่างก็ทำได้ เพราะเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ แต่ขอให้อยู่ในกรอบกฎหมาย จึงขอความร่วมมือไปยังทุกกลุ่มให้ยึดแนวทางเช่นนี้
    นายพุทธิพงษ์ ในฐานะกรรมการบริหารพรรค พปชร.ยังกล่าวถึงความคืบหน้าในการเสนอชื่อนายกฯ ของพรรคตามที่ได้ปราศรัยบนเวทีเมื่อวันที่ 20 ม.ค.ที่บอกว่า พปชร.จะมีความชัดเจนในการเสนอชื่อนายกฯ ภายใน 14 วันด้วยว่า ได้ดูตามปฏิทินการเมืองแล้วว่าจะสามารถเสนอชื่อได้ในช่วงเวลาดังกล่าว เพราะหากมี พ.ร.ฎ.เลือกตั้งในสัปดาห์นี้ตามกระแสข่าวจริง ก็จะมีการรับสมัครเลือกตั้งประมาณวันที่ 4-8 ก.พ.นี้ ซึ่งพรรคการเมืองก็จะได้เสนอชื่อนายกฯ ในช่วงเวลานั้นเช่นกัน โดยเป็นการเปิดเผยพร้อมกันทุกพรรคการเมือง ไม่เพียงเฉพาะพรรค พปชร.เท่านั้น
    นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานยุทธศาสตร์ภาคอีสาน พรรค พปชร.กล่าวถึงการสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์นั่งเก้าอี้นายกฯ ต่อว่า "ตอนนี้ พล.อ.ประยุทธ์ยังไม่ได้แสดงจุดประสงค์ว่าจะทำการเมืองต่อไปหรือไม่ ในส่วนผู้บริหารพรรคเองก็คิดว่าถ้า พล.อ.ประยุทธ์ไม่ปฏิเสธก็จะเป็นหนึ่งในทางเลือกที่พรรคจะเสนอชื่อ แต่ก็ไม่ทราบว่า พล.อ.ประยุทธ์จะตอบรับหรือไม่ ส่วนหน้าตารัฐบาลต่อไปจะเป็นรัฐบาลผสมหรือไม่ เชื่อว่ารัฐธรรมนูญที่ออกแบบมาเพราะว่าในอดีตเคยมีพรรคใดพรรคหนึ่งได้คะแนนเสียงมาก แล้วก็กลายเป็นใช้เสียงข้างมากโดยไม่ฟังพรรคเสียงข้างน้อย ทำให้เกิดวิกฤติหลายครั้ง รัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็เลยพยายามให้มีระบบให้นับทุกคะแนน ซึ่งระบบนี้จะทำให้พรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งได้เสียงเกินครึ่งคงจะยากลำบาก เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะได้รัฐบาลผสมก็มีมาก ซึ่งก็เป็นผลดีที่ว่าต่างคนต่างก็ได้จะระดมความคิดที่จะช่วยเหลือพี่น้องประชาชน"
    ส่วนนายแสวง บุญมี รองเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวชี้แจงเรื่องพรรคการเมืองที่มีสิทธิ์ในการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ว่าต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองให้ครบถ้วนใน 4 ข้อหลัก ซึ่งขณะนี้มีพรรคการเมืองที่จัดตั้ง หรือเป็นพรรคการเมืองตาม พ.ร.ป.พรรคการเมือง 2550 ดำเนินการครบถ้วน 4 ข้อเพียง 2 พรรคเท่านั้น 
    ขณะเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ โดยกล่าวก่อนประชุมว่า ตอนนี้มีประเด็นทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยหลายอย่าง นำไปสู่การสร้างความเข้าใจผิดกับประชาชน จึงต้องหาวิธีปรับมาตรการทำให้ประชาชนเข้าใจแนวทางที่ถูกต้อง ทั้งเรื่องการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไปพร้อมกับการจัดสรรที่ดินทำกินให้ประชาชนตามแนวทางที่ถูกต้อง
    ต่อมาหลังประชุมเสร็จ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงกรณีพรรค พปชร.ชูนโยบายแปลงที่ดิน ส.ป.ก.4-01  เป็นโฉนดเพื่อให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ว่า สิ่งที่พูดถึงข้อห่วงใยในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายที่ดิน ไม่ได้พูดถึงความเป็นโฉนด แต่พูดถึงว่าจะทำอย่างไรต่อไป ซึ่งเอกสารสิทธิ ส.ป.ก.จะเป็นโฉนดไม่ได้ คำว่าโฉนดคือ โฉนด นส.3 และ นส.3ก มีเยอะแยะไปหมด ทั้งนี้ที่ดิน ส.ป.ก.ที่ให้ไปเพื่อให้เป็นที่ทำกิน ไม่มีโฉนดชุมชนหรือใดๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นสิทธิในการทำกินซึ่งให้ลูกหลานต่อได้ แต่ต้องทำการเกษตรเท่านั้น จึงให้ลองหาวิธีดูว่าพื้นที่ไหนไม่เหมาะสมกับการทำการเกษตร จะทำอย่างไรให้เกิดมูลค่าเพิ่ม แต่ถ้าบอกทุกพื้นที่เอาไปจำนำจำนองได้หมด มันก็ไปหมด วันหน้าก็ไปบุกรุกรอไว้บนเขาใช่หรือไม่ วันนี้กำลังแก้ปัญหาเรื่องนี้อยู่ ต้องรอ พ.ร.บ.ต่างๆ ออกมาอีกหลายตัว 
ย้ำโฉนดทองคำเป็นไปไม่ได้
    เมื่อถามว่าการที่พรรค พปชร.นำมาหาเสียงถือว่าทำไม่ได้จริงใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่าก็ต้องบอกกัน บางทีอาจไม่เข้าใจ ซึ่งบางอย่างแนวทางของรัฐบาลนี้ยังไม่ได้พูดออกไป เข้าใจหรือไม่  รัฐบาลกำลังคิดอยู่ เสาร์อาทิตย์ก็คิดทุกวันว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร และมาคิดตกเมื่อตอนเช้า เดี๋ยวกำลังสั่งการให้คณะกรรมการนโยบายที่ดินไปหาทาง ซึ่งต้องเอาเรื่องธนาคารที่ดินมาเกี่ยวข้องด้วย แต่การที่ไปพูดคำว่าโฉนดไม่ถูกต้อง ผิด มันต้องดูว่าพื้นที่ไหนเป็นที่ ส.ป.ก.ที่เกิดเป็นประโยชน์อย่างอื่นได้ เช่น ทำเป็นพลังงานได้หรือไม่ ต้องหาวิธีการว่าจะทำอย่างไรกัน ต้องดูกฎหมายอีกเยอะ อย่าไปพูดปากเปล่าไม่ได้
    “ผมไม่ได้พูดกับ 4 รัฐมนตรี แต่พูดเป็นภาพรวมออกไปกับสื่อ ไม่ว่าใครทั้งนั้นที่บอกว่าจะมาให้โฉนดให้อะไรต่างๆ มันเป็นไปไม่ได้ทั้งหมด ผมไม่ได้พูดกับพรรคนี้พรรคเดียว พูดกับทุกพรรค ก็เห็นหาเสียงกันแบบนั้นอยู่ไม่ใช่หรือ อย่าเอาผมไปตีกับเขา ไม่เอา” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
    นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า ยุคสมัยที่เปลี่ยนไปอาจต้องเพิ่มวัตถุประสงค์เกษตรกรรมให้กว้างขวางชัดเจน เช่นอาจหมายรวมถึงพื้นที่ป่าเศรษฐกิจ ป่าท่องเที่ยว  อุตสาหกรรมเกษตร หรือแปรรูปการเกษตรได้ และยังถ่ายโอนที่ดินไปสู่รุ่นลูกได้ แต่ต้องเป็นเกษตรกรและมุ่งหวังทำเกษตรกรรมเท่านั้น และควรมีการจัดตั้งธนาคารที่ดิน ส.ป.ก. บุคคลที่ไม่ประสงค์ทำการเกษตรสามารถโอนกลับมายังธนาคารที่ดิน ส.ป.ก.ได้ จากนั้นธนาคารจะพิจารณาจัดสรรให้บุคคลอื่นที่อยู่ในเงื่อนไขเพื่อทำการเกษตรต่อไป 
“โฉนดสามารถครอบครองได้ แต่ที่ดิน ส.ป.ก.ซึ่งเป็นที่หลวงที่ของรัฐไม่สามารถแปลงร่างให้คนอื่นเข้ามาครอบครองได้ คนที่เสนอแนวคิดนี้จะให้เป็นโฉนดทองคำทองเหลืองอะไร ถือว่าเลอะเทอะ โม้  เป็นความคิดที่บ้าบอ ไม่รู้คิดขึ้นมาได้อย่างไร” นายปลอดประสพกล่าว  
    วันเดียวกันยังคงมีการแสดงความคิดเห็นและการตอบโต้ทางการเมืองของพรรคการเมืองต่างๆ  รวมถึงการเดินสายแนะนำตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.และนโยบายของพรรคต่างๆ โดยคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณีนายสมศักดิ์  เทพสุทิน ประธานรณรงค์การหาเสียงพรรค พปชร.ระบุว่าหากเลือก พท.จะอยู่กับความขัดแย้งแบบเดิมนั้นว่า "ไม่เข้าใจว่าจะมีความขัดแย้งตรงไหน ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในอดีตก็เกิดขึ้นเพราะฝ่ายผู้มีอำนาจที่ทำให้มันเกิดขึ้น ซึ่งเห็นชัดแล้วว่ามีการแบ่งพวกแบ่งฝ่ายที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง โดยที่เขายังติดอยู่ในวังวนความขัดแย้ง พรรคไม่ไปเล่นเกมนี้กับเขา ยืนยันว่าเลือกเพื่อไทยไม่มีความขัดแย้ง จะได้ความสงบแบบมีคุณภาพ ทั้งคุณภาพชีวิตและคุณภาพเศรษฐกิจ ไม่ใช่ความสงบแบบกระเป๋าแฟบ ประชาชนคงจะเห็นว่า 4-5 ปีที่ผ่านมานี้คุณภาพชีวิตและสภาพเศรษฐกิจเป็นอย่างไร"
    นายสุชาติ ลายน้ำเงิน ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ลพบุรี พรรค พท.กล่าวว่า ที่ผ่านมามีข่าวตลอดว่าผู้สมัครของพรรคถูกบีบถูกอำนาจบางอย่างให้ไปสังกัดพรรคการเมืองอื่น ซึ่งทหารวันนี้พวกคุณมีอำนาจ วันนี้คุณชนะ ใช้อำนาจอย่างเต็มที่มากว่า 4 ปีแล้ว อยากให้ลองนึกถึงวันแพ้บ้างจะเป็นอย่างไร ได้คำนึงถึงที่ยืนในสังคมเอาไว้บ้างหรือไม่ ที่พูดไม่ได้หมายความว่าหากพรรคกลับมามีอำนาจจะมารังแกข้าราชการหรือทหาร ซึ่งไม่มีอยู่แล้ว นักการเมืองไม่ทำอย่างนั้น มีแต่จะให้ ไม่เคยรังแก เพียงแต่อยากให้ทหารกลับเข้ากรมกอง เลิกยุ่งการเมือง ปล่อยให้ กกต.ทำตามกฎหมาย 
    นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ประธานคณะกรรมการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง พรรค พปชร.กล่าวถึงการตัดสินใจมาร่วมงานกับ พปชร.ตั้งแต่แรกว่า ต้องการก้าวข้ามความขัดแย้ง เพราะ พปชร.เป็นทางสายกลางและสามารถต่อยอดนโยบายของรัฐบาลได้ 
ย้อน 'เหลิม-อดิศร' เจ็บ
    เมื่อถามถึงกรณีเป็นเป้าถูกพาดพิงพร้อมกับนายสุริยะมาโดยตลอด นายสมศักดิ์ระบุว่า เข้าใจว่านายสุริยะเป็นแกนนำหาเสียง และตนเองก็ออกมาลงพื้นที่ตั้งแต่เริ่มต้น ก็เป็นธรรมดาที่ต้องมีการตัดกำลัง พปชร. ซึ่งสิ่งที่ฝั่งตรงข้ามพูดก็มีแต่เรื่องทำลายล้างทางการเมือง แต่พรรคจะพูดนโยบายที่เป็นประโยชน์กับประชาชนเป็นหลัก
    ด้านนายสุริยะกล่าวถึงกรณี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง หัวหน้าทีมปราศรัยพรรคเพื่อไทย (พท.) ปรามาสว่าถ้า พปชร.ได้ ส.ส.เกิน 150 คนจะให้ไปยื่นด่าหน้าบ้านว่า ร.ต.อ.เฉลิมนิสัยก็เป็นแบบนี้ที่สร้างความขัดแย้ง ตนเองไม่ไปด่าหรอก แต่ขอเสนอให้ ร.ต.อ.เฉลิมเสนอนโยบายแข่งกัน อย่าด่ากัน เพราะไม่เป็นประโยชน์ ส่วนสิ่งที่ตั้งเป้าหมาย 150 คน เนื่องจากคิดว่ารัฐบาลปัจจุบันมีการดูแลประชาชน โดยเฉพาะภาคอีสานเป็นอย่างดี ซึ่งพรรคจะนำนโยบายที่ดีมาต่อยอด จึงเชื่อว่าจะได้ใจประชาชน
    เมื่อถามว่านายอดิศร เพียงเกษ อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ออกมาระบุว่านายสุริยะไม่เข้าใจการเมืองภาคอีสาน นายสุริยะตอบว่าไม่เป็นไร ถ้าเขาเข้าใจก็ไปอธิบายภาคอีสาน ตนเองก็จะอธิบายในแบบของตน ไม่ไปต่อล้อต่อเถียงด้วย ซึ่งถ้าคะแนนเสียงเขาดีอยู่คงไม่มาต่อล้อต่อเถียงกับตนเอง เพราะเขารู้ว่ากระแสไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด 
    ถามถึงกรณีถูกนายอดิศรต่อว่าด้วยถ้อยคำที่เหยียดหยามและรุนแรง นายสุริยะยืนยันว่าไม่ถือสา เพราะเคยบวชมาแล้ว และที่นายอดิศรบอกว่าตนเองสติดีอยู่หรือไม่ อยากบอกว่านายอดิศร ซึ่งทราบดีตอนพรรคไทยรักไทยเป็นคนเสนอชื่อนายอดิศรกับนายทักษิณ ชินวัตรให้เป็น รมช.คมนาคม 
“นายอดิศรมักไปตีกอล์ฟกับพี่ชายผม และบอกว่าสนิทสนมกับผม เคยทำงานร่วมกัน สมัยเป็นรัฐมนตรี นายอดิศรยังเคยให้พี่ชายของผมต่อสายคุยกันและชื่นชมผมเป็นอย่างดี ซึ่งผมไม่เข้าใจว่าเมื่อเราอยู่กันคนละพรรค นายอดิศรก็พูดสิ่งตรงข้าม แต่ขอยืนยันว่าไม่โกรธไม่เกลียด แต่ไม่อยากเสียเวลามาตอบโต้กับคนแบบนี้" นายสุริยะระบุ 
    ส่วนกรณีป้ายหาเสียงของพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ถูกทำลายในพื้นที่เขตเลือกตั้งที่ 3 จ.บุรีรัมย์นั้น นายภัทรพงศ์ ศุภักษร ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรค อนค.ยอมรับว่าทีมงานค่อนข้างกลัว แต่ตนเองไม่หวั่นเพราะตั้งใจมาทำงานด้านนี้อย่างเต็มที่ 
การเมืองพาเหรดขายฝัน
    สำหรับความเคลื่อนไหวการเดินสายหาเสียงของพรรคการเมืองต่างๆ นั้น พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ โฆษกพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวว่า พรรคได้ส่งซิงเกิลเพลงของพรรคในชื่อเพลงทลาย ซึ่งเป็นแนวแรป มีแนวคิดว่าพรรคจะทลายทุกข้อจำกัดเพื่อทำสิ่งมีประโยชน์ให้แก่พี่น้องประชาชน ผ่านนโยบายต่างๆ ของพรรค และเชื่อว่าเป็นอีกช่องทางหนึ่งให้พี่น้องเข้าใจนโยบายของพรรคมากขึ้น
    ที่ตลาดริมคลองบ้านสีรา ต.บาโหย อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ พร้อมคณะได้ลงพื้นที่พบปะและให้กำลังใจชาวบ้าน รวมทั้งรับฟังปัญหาและนำเสนอนโยบายพรรคว่า "หากพรรคได้บริหารประเทศ ยุคทองของยางพาราจะกลับมา" ต่อมาในช่วงบ่ายพรรคประชาชาติได้ไปเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ที่โรงแรมโฆษะ จ.ขอนแก่น โดยนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคระบุว่า พรรคจะส่งผู้สมัครทุกจังหวัดในภาคอีสาน แต่ไม่ทุกเขต เนื่องจากยังอยู่ในกระบวนการสรรหาผู้สมัครที่พรรคต้องมั่นใจและไว้ใจที่สุด 
    “พรรคตั้งใจทำให้ภาคอีสานดีขึ้น เป็นนโยบายของพรรคที่จะใช้ในการหาเสียง เริ่มจากเรื่องปัญหาปากท้อง การพัฒนาด้านการเกษตร การจัดการระบบน้ำเพื่อให้ภาคอีสานมีน้ำใช้ได้ทั้งปี ซึ่งลงทุนไม่กี่แสนล้านบาท อีกทั้งคนอีสานมีความขยันอดทน ถ้าเราใส่สิ่งที่เค้าสามารถประกอบอาชีพได้ในทุกฤดูกาล อีสานก็จะทำนาได้ปีละ 3 ครั้งเหมือนประเทศที่พัฒนาแล้ว เพราะคนอีสานนั้นต้องการเรื่องน้ำมากกว่ารถไฟความเร็วสูง” นายวันมูหะมัดนอร์ระบุ
    ด้านพรรคเพื่อชาติ (พ.พ.ช.) นำโดยนายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ หัวหน้าพรรค และคณะได้ลงพื้นที่ภาคอีสานเป็นวันที่ 3 โดยเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ที่ จ.มหาสารคาม โดยนายจตุพร พรหมพันธุ์  กองเชียร์ พ.พ.ช.กล่าวว่า ขอให้เลือกพรรคเพื่อชาติเพราะพรรคไม่มีทางเป็นอื่น และต่อไปจะเป็นกำลังที่สำคัญ เป็นประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาชาติ หาทางออกให้กับชาติ และสำคัญที่สุดคือเลือกพรรคเอาไว้ปราบเผด็จการ และทำให้คนไทยหายจน เพราะเป็นพรรคของคนจน เป็นพรรคของพี่น้องผู้รักประชาธิปไตย เป็นพรรคของคนที่ต้องการสร้างชาติ
“นโยบายของพรรคมีหลากหลายมากมาย ซึ่งมีนโยบายหนึ่งที่น่าสนใจเหมาะกับไทยที่กำลังจะเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย เราจะมีประชาชนผู้สูงวัยเป็น 1 ใน 5 ของประชาชนทั้งหมด ซึ่งพรรคเห็นความสำคัญ จึงมีนโยบายในเรื่องเงินผู้สูงอายุ จากเดิมคิดเป็นขั้นบันได แต่พรรคคิดใหม่ผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปได้เงินเท่ากันหมด คนละ 2,000 บาทตลอดชีพ” นายจตุพรกล่าว
    ส่วนที่สำนักงาน กกต. นายก้องภพ วังสุนทร หัวหน้าพรรคผึ้งหลวง เข้ายื่นหนังสือถึง กกต.ขอเปลี่ยนชื่อพรรคจากเดิมชื่อพรรคร่วมพัฒนาชาติไทย ที่จดทะเบียนไว้เมื่อปี 2557 อีกทั้งเปลี่ยนแปลงหัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรค และนโยบายพรรค พร้อมระบุว่าจะส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งครบ 350 เขตทั่วไป โดยจุดแข็งของพรรคคือนโยบายพลิกงบพัฒนาประเทศ 8 แสนล้านบาท ซึ่งเดิมรัฐบาลจะจัดสรรเพียง 10% หรือ 8 หมื่นล้านบาทให้ชุมชน แต่พรรคจะจัดสรรงบ 90% หรือกว่า 7 แสนล้านบาทส่งตรงไปให้ชุมชน
    “นอกจากนี้ยังกำหนดยุทธศาสตร์ทำงานการเมืองใหม่ โดยจะไม่มีนักการเมืองรุ่นเก่าหรืออดีต ส.ส.อยู่ในพรรคเรา ไม่แน่ผลการเลือกตั้งอาจจะมีการเซอร์ไพรส์” นายก้องภพกล่าว.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"