อดีตคนสื่อ-ผู้ประกาศข่าว สู่โฆษกพรรคเพื่อชาติ


เพิ่มเพื่อน    

        เป็นอีกหนึ่ง อดีตคนสื่อ-แวดวงสื่อสารมวลชน ที่เข้าสู่ถนนการเมือง-การเลือกตั้งในรอบนี้ สำหรับ เดียร์-เกศปรียา แก้วแสนเมือง อดีตผู้ประกาศข่าวสถานีโทรทัศน์สปริงนิวส์ ซึ่งด้วยตำแหน่ง โฆษกพรรคเพื่อชาติ ที่มีกองเชียร์พรรคคือ จตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช., ยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตประธานรัฐสภา จึงทำให้หลายคนคุ้นหน้าคุ้นชื่อของ เดียร์-เกศปรียา เป็นอย่างดี กับการออกมาให้ความเห็น-ทัศนะการเมืองในช่วงที่ผ่านมา หลังจากเริ่มเปิดตัวลงการเมืองอย่างเป็นทางการเมื่อช่วง พ.ย.-ธ.ค.2561

เกศปรียา-โฆษกพรรคเพื่อชาติ เล่าว่า หลังจบการศึกษา จนมาเป็นผู้ประกาศข่าว ทำงานด้านสื่อ ซึ่งถือเป็นความภูมิใจสูงสุดในชีวิต พ่อแม่ก็ภูมิใจมากแล้วเราก็ภูมิใจมาก เพราะเรามองว่าอาชีพสื่อมีเกียรติ เป็นอาชีพในฝัน มีส่วนช่วยเหลือ ขับเคลื่อนสังคม ช่วยเหลือปัญหาประชาชน สะท้อนปัญหาชาวบ้านสู่สังคม เราภูมิใจมากตอนเป็นสื่อ ส่วนความสนใจทางด้านการเมือง ก่อนหน้านี้สมัยเรียนตอนเด็กๆ ครอบครัวและเพื่อนๆ ก็มองว่า การเมืองเป็นเรื่องอันตราย ไม่มีใครอยากยุ่งการเมือง บอกว่าการเมืองน่าเบื่อ ซึ่งเมื่อมองย้อนกลับไปก็รู้สึกว่า เราถูกปลูกฝังมาผิดๆ เพราะปัญหาต่างๆ ในสังคมจะพบว่ามีความเชื่อมโยงกับการเมืองเกือบทั้งสิ้น  

...ประสบการณ์ในการเป็นผู้ประกาศข่าวก็ทำอยู่ประมาณ 3 ปี ก็ไม่ถือว่าน้อย-มากเกินไป จนเริ่มรู้สึกอิ่มตัว และตัวเองเป็นคนบ้าพลัง อยากนำพลังไปทำอะไรให้มากกว่านี้ เพราะตอนเป็นสื่อทำงานมาหลายอย่าง ลงพื้นที่ทำข่าวพูดคุยกับประชาชนกลุ่มต่างๆ ก็อยากใช้พลังช่วยสังคมให้มากกว่านี้ เราก็คิดว่าวันหนึ่งหากมีโอกาสก็อยากผันตัวมาทำงานการเมืองเพื่อจะได้มาทำงานให้กับสังคม

เดียร์-เกศปรียา เล่าเส้นทางการเข้าสู่การเมืองว่า ตอนแรกก็ยังไม่รู้ว่าจะเข้าสู่การเมืองได้อย่างไร พอวันหนึ่งมีโอกาส ได้รู้จักรุ่นพี่คนหนึ่งเป็นพี่ชายที่เคารพ ก็บ่นปัญหาต่างๆ อยากแก้ปัญหา ทำงานช่วยคน เช่น ความเหลื่อมล้ำสังคม โดยเฉพาะผู้หญิง เขาก็ถามว่าสนใจการเมืองไหม เราก็บอกว่าสนใจ แต่ดูแล้วไม่คิดจะมีโอกาส เพราะพ่อแม่ไม่ได้ร่ำรวย ไม่ได้มีครอบครัวการเมือง เขาก็เลยพามาแนะนำให้รู้จัก คุณยงยุทธ ติยะไพรัช คุยกันแค่วันเดียว เราเห็นความตั้งใจของคุณยงยุทธ ในฐานะกองเชียร์พรรคเพื่อชาติ เลยทำให้เรายิ่งตัดสินใจเร็วขึ้น ก็เลยอยากลองดูสักตั้ง

“ตอนแรกก็กล้าๆ กลัวๆ แต่เมื่อตัดสินใจแล้วก็ลุยเต็มที่ ตายเป็นตาย ถ้าไปไม่ได้ ก็ถอยออกมา ไม่เห็นมีอะไร เราเชื่อในการเปลี่ยนแปลง การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เราไม่คิดเยอะ เห็นโอกาสก็เอาเลย เข้ามาทำ ก็กระโดดเข้ามาเลย”

...ตอนที่ตัดสินใจก็ใช้เวลาไม่นาน ไม่ถึง 1 วัน ตัดสินใจเร็วมาก เพราะเชื่อในเรื่องการเปลี่ยนแปลง เปิดโอกาสให้ตัวเองตลอด เพราะเป็นคนที่สนใจเรื่องต่างๆ รอบตัว อยากเรียนรู้มาตลอด

        เกศปรียา ยกตัวอย่างให้ฟังถึงเรื่องที่บอกว่าชอบเรียนรู้เรื่องราวรอบตัว เช่น เราไปกินสุกี้ที่ร้านเอ็มเค ก็อยากรู้ว่าเด็กหลังร้านเขาทำงานยังไง ไปเติมน้ำมันที่ปั๊ม ก็อยากรู้เด็กปั๊มทำงานยังไง อยากไปสมัครร้านเอ็มเค อยากรู้เขาทำงานกันอย่างไร คือเป็นนิสัยนักข่าว อยากรู้อยากเห็น เมื่อตัดสินใจว่าอยากทำงานการเมือง ก็เอาเลย ลองก็ลอง หากต่อไปแล้วไม่ใช่ก็ถอยออกมา เป็นคนไม่คิดเยอะ ก็เข้าไปทำเลย โดยไปช่วยงานตั้งแต่เริ่มทำพรรคเพื่อชาติ ก่อนเปิดตัวตั้งพรรคเพื่อชาติอย่างเป็นทางการ 3 เดือน

โฆษกพรรคเพื่อชาติ พูดถึงพรรคต้นสังกัดไว้ว่า พรรคเพื่อชาติเองที่เป็นพรรคของประชาชน เป็นพรรคในแนวทางคือ พรรคเกาะกลางประชาธิปไตย คือเราสามารถร่วมพูดคุยกับทุกฝ่ายได้ แต่ต้องเป็นแนวทางประชาธิปไตย คือแตกต่างได้ แต่ไม่แตกแยก ไม่ว่าจะเป็นใคร จะอยู่ซ้ายหรืออยู่ขวาอะไรพวกนี้ เราจะไม่พูดถึงเรื่องนั้น เราขอมองข้ามไปก่อนแล้วมาคุยกันก่อน เมื่อทุกคนอยากให้ปัญหาประเทศชาติได้รับการแก้ไข ทุกคนวันนี้อยากก้าวไปข้างหน้ากันหมดแล้ว แต่เรื่องข้างหลังเราก็ไม่ลืม คนในพรรคมีจุดหมายอันเดียวกันคือ ปรองดอง สามัคคี จึงเกิดพรรคเพื่อชาติขึ้นมา ที่เป็นพรรคซึ่งเปิดโอกาสให้หลายฝ่ายที่มีจุดยืนในประชาธิปไตยมาพูดคุยกัน เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาและเดินไปข้างหน้าด้วยกัน

อดีตผู้ประกาศข่าวที่เข้าสู่ถนนการเมือง-โฆษกพรรคเพื่อชาติ ย้ำว่า หากคนรุ่นใหม่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงก็ต้องกล้าไปลงในสนามการเมือง เพราะหากเราไม่ทำอะไร การเปลี่ยนแปลงก็จะไม่เกิดขึ้น คนรุ่นใหม่หลายคนตอนนี้พบว่าสนใจอยากเข้ามาสู่การเมือง อยากเห็นการเปลี่ยนแปลง เพราะทุกคนทนไม่ได้แล้วกับสิ่งเก่าๆ คือยอมรับว่าคนรุ่นเก่าอาจมีประสบการณ์ เห็นชีวิตมามากกว่า แต่คนรุ่นใหม่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่รู้อะไรเลย เพราะเขาก็เรียนรู้มาจากครอบครัวและสังคม และตั้งใจอยากเปลี่ยนแปลงและมีความรู้เรื่องเทคโนโลยี จึงถึงเวลาต้องมามิกซ์กันระหว่างคนมีประสบการณ์กับคนรุ่นใหม่ โดยแต่ละฝ่ายต้องเคารพในการตัดสินใจของแต่ละฝ่าย โดยเอาปัญหาชาติเป็นที่ตั้ง

...ส่วนตัวที่เข้ามาทำงานการเมืองตรงนี้ เพราะอยากให้เป็นตัวอย่างให้ผู้หญิงมีบทบาทในภาคการเมือง เศรษฐกิจ สังคมมากขึ้น ที่ผ่านมาในระบบรัฐสภาไทยมีผู้หญิงที่เข้าไปทำงานตรงนั้นแค่ 6 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ถือว่าน้อยมากถ้าเทียบกับผู้ชาย และที่สำคัญดัชนีความเหลื่อมล้ำทางเพศพบว่า ของไทยอยู่ที่อันดับ 75 ต่ำกว่าเวียดนาม กัมพูชา ขณะที่ประเทศอย่างฟิลิปปินส์อยู่อันดับ 10 จึงอยากเข้ามาทำงานการเมืองตรงนี้ เพื่อช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางเพศของไทยให้ก้าวขึ้นมาอยู่ในระดับแนวหน้าของอาเซียน

“อยากเป็นตัวอย่างให้ผู้หญิงคนอื่นๆ เห็นว่าที่เราเข้ามา ก็เพื่อมาช่วยกันผลักดันให้ผู้หญิงมีบทบาทมากขึ้น อยากให้ผู้หญิงได้เห็นว่าการเมืองไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด” โฆษกพรรคเพื่อชาติกล่าวย้ำ.

ประวัติ

เกศปรียา แก้วแสนเมือง

ตำแหน่ง โฆษกพรรคเพื่อชาติ

การศึกษา-ปริญญาตรี นิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ

ปริญญาโท คณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"