กลัวเผด็จการ?........แต่ไม่กลัว


เพิ่มเพื่อน    

             ในการเลือกตั้งครั้งนี้ มีคนบางกลุ่มกลัวเผด็จการ กลัวการสืบทอดอำนาจของนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะพวกเขามองว่านายกรัฐมนตรีคนนี้เป็นทหารและเข้ามาบริหารประเทศผ่านการทำรัฐประหาร ไม่ได้ผ่านการเลือกตั้งก็คือเผด็จการที่ตรงกันข้ามกับความเป็นประชาธิปไตย หรือถ้าเป็นทหารก็จะต้องเป็นเผด็จการ เพราะเขาคิดว่าการบริหารแนบเผด็จการเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของทหาร

                ความเชื่อดังกล่าวนี้ถูกตอกย้ำโดยวาทกรรมของฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลที่เรียกตัวเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตย คนที่ได้ฟังวาทกรรมเหล่านี้บ่อยๆ ก็จะเชื่อตามนั้นโดยไม่มีการพิจารณาการกระทำในวาทกรรมของฝ่ายตรงข้าม ต้องตอกย้ำว่ารัฐประหารเป็นสิ่งที่เลวร้าย การมีรัฐบาลทหารก็เป็นสิ่งที่เลวร้าย และจะล้มทับด้วยการตำหนิการใช้มาตรา 44 ในการจัดการบางเรื่อง ทั้งๆ ที่จริงแล้วการใช้มาตรา 44 ที่ผ่านมาค่อนข้างจำกัด คือใช้กับเรื่องเร่งด่วนที่รอไม่ได้ หรือจัดการกับการทำผิดที่ดื้อรั้นไม่แสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก และการใช้แต่ละครั้งก็มีเหตุผลชี้แจงอย่างชัดเจน ไม่ใช่การใช้ด้วยอารมณ์

                อันที่จริงแล้วรัฐบาลที่มาจากรัฐประหารที่มีความเป็นเผด็จการก็มี และที่มีความเป็นประชาธิปไตยก็มี ในขณะเดียวกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามแนวทางของประชาธิปไตย แล้วบริหารประเทศแบบประชาธิปไตยก็มี เป็นเผด็จการทางรัฐสภาก็มีโดยการใช้ตรรกะแบบง่ายๆ ตามนิยามของคำคนบางคนจึงกลัวรัฐบาลทหาร กลัวรัฐบาลที่มาจากรัฐประหาร กลัวรัฐบาลทหารจะอยู่ต่อหลังจากการเลือกตั้ง ด้วยวาทกรรมว่าเป็นการสืบทอดอำนาจ

                การเป็นสมาชิกของสังคมประชาธิปไตย เราย่อมมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง มากกว่าที่จะมีรัฐบาลที่มาจากการทำรัฐประหาร ทำให้เรามองว่าถ้านายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งก็จะเป็นการสืบทอดอำนาจเผด็จการ หลายคนจึงตัดสินใจที่จะลงคะแนนให้กับพรรคที่เป็นคู่ต่อสู้ของพรรคที่ส่งชื่อของนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันเป็นนายกรัฐมนตรีด้วย เจตนาต้องการหยุดรัฐบาลทหารที่เขาเชื่อว่ารัฐบาลเผด็จการไม่มีความเป็นประชาธิปไตย ซึ่งจริงๆ แล้วก็มีหลายพรรคให้เลือก แต่ก็มีบางครั้งจะเลือกคู่ต่อสู้ที่เขาคิดว่าเป็นพรรคใหญ่ที่สามารถเอาชนะพรรคที่เสนอชื่อนายกรัฐมนตรีได้

                เขากลัวเผด็จการทหาร เขากลัวการสืบทอดอำนาจ แต่บางครั้งเขาอาจจะลืมไปหรือเปล่าว่าจากประสบการณ์ของพวกเราที่ผ่านมา มีบางเรื่องที่เราน่าจะรู้สึกกลัว และหวาดหวั่นมากกว่ารัฐบาลเผด็จการทหาร

·       เราควรจะกลัวการโกงบ้านโกงเมืองหรือไม่

·       เราควรจะกลัวการจาบจ้วงล้วงละเมิดสถาบันสูงสุดของประเทศหรือไม่

·       เราควรจะกลัวคนจะมาเผาบ้านเผาเมืองเราหรือไม่

·       เราควรจะกลัวคนไทยเลิกยิ้มเพราะกลัวว่าจะกลายเป็นคนไร้จุดยืนหรือไม่

·       เราควรจะกลัวที่จะมีการยกเลิกการไหว้ครูหรือไม่

·       เราควรจะกลัวการเป็นประเทศที่ไม่มีทหาร ไม่มีกองทัพหรือไม่

·       เราควรจะกลัววัฒนธรรมของการมีสัมมาคารวะผู้ใหญ่หายไปหรือไม่

·       เราควรจะกลัวการที่คนไทยจะไม่เห็นคุณค่าของเศรษฐกิจพอเพียงหรือไม่

·       เราควรจะกลัวการคอร์รัปชันเชิงนโยบายหรือไม่

·       เราควรจะกลัวความวุ่นวายที่เกิดจากการชุมนุมที่รุนแรงพร้อมอาวุธหรือไม่

·       เราควรจะกลัวการเมืองแบบธนาธิปไตย คณาธิปไตย อัตตาธิปไตยหรือไม่

·       เราควรจะกลัวการปกครองประเทศด้วยเผด็จการทางรัฐสภาหรือไม่

·       เราควรจะกลัวการหมดความสำคัญของตุลาการและกระบวนการยุติธรรมหรือไม่

มากกว่าหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยเราต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ มากมาย จนกลายเป็นประเทศที่สูญเสียโอกาสในการพัฒนา ภาษีถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดๆ เข้ากระเป๋านักการเมืองบางคน ทำให้ประเทศไม่สามารถพัฒนาได้เท่าที่ควร เราต้องเผชิญกับความแตกแยกเพราะความเห็นแก่ตัวของนักการเมืองบางคน บางกลุ่ม บางพวก เราจะต้องจดจำบทเรียนจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน นำเอาความทรงจำเหล่านั้นมาเป็นข้อมูลสำคัญในการลงคะแนนเสียงเลือกใครเป็น ส.ส. อย่าลืมว่าในการลงคะแนนเสียงครั้งนี้เราไม่ได้เลือกแค่ ส.ส.ในเขตที่เรามีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงเท่านั้น แต่เรากำลังลงคะแนนเสียงให้คนที่อยู่ในบัญชีรายชื่อให้ได้เป็น ส.ส.ด้วย เรากำลังเลือกว่าเราอยากให้พรรคไหนได้เป็นรัฐบาล เรากำลังเลือกว่าเราต้องการให้ใครเป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งหมดนี้ทำให้การลงคะแนนเสียงของเรากลายเป็นการกำหนดแนวทางในการพัฒนาประเทศ ดังนั้น เราจึงต้องคิดให้ดีก่อนจะกาคะแนนให้ใคร อย่าคิดแค่ชั้นเดียวว่าเราอยากให้ใครเป็น ส.ส. ต้องคิดมากไปกว่านั้น

·       ต้องคิดด้วยว่าเราอยากให้พรรคไหนได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อเป็นจำนวนมาก

·       ต้องคิดด้วยว่าเราอยากให้พรรคไหนจัดตั้งรัฐบาล

·       ต้องคิดด้วยว่าเราอยากให้ใครเป็นนายกรัฐมนตรี

·       ต้องคิดด้วยว่าเราไม่อยากให้พรรคไหนเป็นแกนนำรัฐบาล

·       ต้องคิดด้วยว่าเราไม่อยากให้ใครเป็นนายกรัฐมนตรี

·       ต้องคิดด้วยว่าเราอยากให้นโยบายของพรรคใดเป็นแนวทางในการพัฒนาประเทศ

อย่าเลือกเพราะเรารู้จัก อย่าไม่เลือกเพราะเราไม่รู้จัก ถ้าหากเขาสังกัดพรรคที่เราอยากให้เป็นรัฐบาล หรือสังกัดพรรคที่เราเชื่อว่าจะป้องกันพรรคที่เราไม่อยากให้เป็นรัฐบาล ต้องคิดด้วยว่าถ้าหากเราลงคะแนนให้ใครแล้วจะทำให้คนบางคนไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีตามที่เราต้องการ อย่าเลือกเพราะหน้าตาของผู้สมัคร ถ้าหากเขาหน้าตาไม่ดี นโยบายดีก็เลือกเถอะ อย่าดูแค่หน้าตาอย่างเดียวเลยนะคะ.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"