ดับเครื่องชน


เพิ่มเพื่อน    

 ทำทันที หลังเลือกตั้ง ปฏิรูปทหาร เขย่ากองทัพ

                "ทำทันทีๆ หลังเลือกตั้ง" คือคำตอบจาก พลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย หลังถูกถามเมื่อขอความชัดเจนว่าสิ่งที่พูดมาตลอดกว่า 4 ปีในยุค คสช.ว่าจะต้องปฏิรูปทหาร, ลดอำนาจผู้นำเหล่าทัพ, ย้ายหน่วยงานทหารทั้งหมดออกจากกรุงเทพมหานคร, แก้กฎหมายบางฉบับเพื่อเพิ่มอำนาจรัฐบาลพลเรือน จนกลายเป็นจุดขายของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์และพรรคเสรีรวมไทยไปแล้ว สุดท้ายหากพรรคได้เข้าไปเป็นรัฐบาลหรือมี ส.ส.ในสภาที่เพียงพอกับการเสนอแก้ไขกฎหมายได้ สิ่งที่พูดจะทำเมื่อใด คำตอบก็คือ ทำทันที 

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ยกตัวอย่างเช่น การแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับทหารหรือกองทัพต้องทำแน่นอน โดยเฉพาะ พ.ร.บ.จัดระเบียบข้าราชการกระทรวงกลาโหม ปี 2551 ต้องแก้ไขก่อนเป็นเรื่องแรกๆ เพื่อให้นายกรัฐมนตรีสามารถย้ายผู้บัญชาการทหารบก ย้าย ผบ.เหล่าทัพได้ ถ้าย้ายไม่ได้มันมีปัญหา รวมถึงกฎหมายอื่นๆ เช่น พ.ร.บ.กฎอัยการศึก พ.ศ.2457 ก็ต้องดูรายละเอียดแต่ละพื้นที่ แต่ไม่เห็นมีความจำเป็นต้องมี บ้านเมืองจะไปมีทำไมตอนนี้ มันบ้าบอจะมาเอาประโยชน์กัน ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลยในประเทศ จะมาสร้างอะไรให้มันดูน่ากลัว

                ...พรรคเสรีรวมไทยมีนโยบายสำคัญหลายอย่าง แต่ที่สำคัญคือ 6 หยุด ได้แก่ 1.หยุดความยากจน  แก้ปัญหาปากท้อง สร้างความกินดีอยู่ดี 2.หยุดคอร์รัปชัน ฉ้อราษฎร์บังหลวง 3.หยุดยาเสพติด ขจัดผู้มีอิทธิพล 4.หยุดเผด็จการและปฏิรูปทหาร 5.หยุดไฟใต้ สร้างสังคมสันติสุข และ 6.หยุดสงครามสีเสื้อ สร้างความปรองดองก้าวสู่อนาคต

...ทั้งหมดถามว่าต้องทำอะไรก่อนหลัง ตอบได้ว่าต้องทำไปพร้อมๆ กันหมด อย่างไม่ใช่ว่าผมกำลังรับประทานอาหารอยู่แล้วผมจะไม่ทำอะไรอย่างอื่น แต่หากกำลังรับประทานอาหารอยู่แล้วมีโทรศัพท์สำคัญเข้ามา ผมก็รับโทรศัพท์แล้วก็คุยเรื่องงานไปด้วย ไม่ใช่ว่ารับประทานอาหารแล้วบอกอย่ามายุ่ง  ดังนั้นก็ตอบได้ว่าจะต้องทำไปพร้อมๆ กัน เช่นปัญหาของประชาชนกับปฏิรูปทหารก็ทำไปได้พร้อมๆ กัน

“ถ้าไม่ปฏิรูปกองทัพก็จมปลักอยู่อย่างนี้ แทนที่จะนับจากหนึ่งไปร้อยไปถึงหมื่น ก็จะนับได้แค่หนึ่งถึงสิบกันอยู่อย่างนี้ พอถึงสิบก็นับลงมาถึงหนึ่งอีก”

 ส่วนเหตุผลที่ต้องปฏิรูปกองทัพ-ทหาร หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย แจงว่าเป็นเพราะทหารคือปัญหาของประเทศ คือปัญหาของประเทศนั้น ไม่ใช่เรื่องปัญหาปากท้อง ประชาชนอาจจะไม่รู้ไม่เข้าใจ  มองแต่เรื่องใกล้ตัว เช่นวันนี้ไม่มีทำกิน ไม่มีที่ค้าขาย ไม่มีที่สักแปลง ก็มองใกล้ตัว ซึ่งก็โอเคไม่ใช่เรื่องผิดเพราะชีวิตเขาก็อยู่แค่นี้ เขาก็มองไม่เห็น ส่วนผมเป็นอดีตนักเรียนเตรียมทหาร มีนายทหารระดับสูง เป็นเพื่อนร่วมรุ่นอยู่สามเหล่าทัพ ก็ทำให้ผมรู้สายสนกลในของทหารหมด ว่าก่อนเข้าไปเป็นอย่างไร และพอเข้าไปแล้วเป็นอย่างไร เจริญเติบโตทุจริตกันอย่างไร เช่นการตั้งงบประมาณต่างๆ ของทหาร  เพราะฉะนั้นทหารจึงคือปัญหา ขนาดก่อนเกษียณยังโกงอีก โกงด้วยวิธีโกงอายุราชการ ขอกำลังให้ไปอยู่ กอ.รมน.จะได้อายุราชการทวีคูณ ทั้งที่ก็อยู่ในกรุงเทพมหานครไม่ได้ทำงานอะไร ก็เพื่อได้บำนาญสูงขึ้น

...ทหารจะบังหลวงตลอด คือถนัดในการตั้งงบประมาณเพื่อทุจริตคอร์รัปชัน การจัดซื้อจัดจ้างต่างๆ  แล้วก็ไม่ยอมให้ใครตรวจสอบ อย่างยุคปัจจุบันพวกจีทีสองร้อย, บอลลูนลอยฟ้า, โครงการขุดคูคลองขององค์การทหารผ่านศึกฯ

“ทหารนอกจากบังหลวงแล้ว ยังคิดเป็นใหญ่อยู่ตลอดเวลา ถึงเวลาก็คิดแต่จะยึดอำนาจด้วยการสร้าง story ขึ้นมาเพื่อให้ประชาชนเห็นด้วย”

...ยกตัวอย่างรัฐประหาร รสช.ปี 2534 พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ อดีตประธาน รสช. ก็สร้าง story ขึ้นมาเพื่อการยึดอำนาจ พอรัฐประหาร คมช. ปี 2549 สนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ อ้างว่ารัฐบาลทุจริต แต่ถามว่ารัฐบาลทหารปัจจุบันทุจริตไหม ก็ทุจริตยิ่งกว่า ทั้งที่หากรัฐบาลจะทุจริต ทหารก็อย่าเสือก ต้องใช้คำนี้ เขาไม่ได้ให้คุณเป็นกรรมการชี้ว่าใครดีใครเลว ใครถูกใครผิด หรือมึงดีคนอื่นไม่ดี  ทหารคุณก็ทำหน้าที่ของคุณไปสิป้องกันประเทศ แต่คุณเสือกมาชี้ว่าทุจริตแล้วยึดอำนาจก็เพราะต้องการได้อำนาจมากกว่า เพราะปกติธรรมดาถ้ารัฐบาลทุจริตก็ดำเนินคดีอาญาไป แล้วยังมีขั้นตอนต่างๆ  เช่นปลดออก ยุบสภา เลือกตั้งใหม่ เป็นขั้นตอนกันไปไม่ใช่มายึดอำนาจ

-ที่พูดมาตลอดหลายปีเรื่องปฏิรูปทหาร บางคนอาจสงสัยว่าทำไม พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ต้องชนกับทหาร?

ก็ความรู้ กึ๋นยังไม่ถึง หรือว่าจิตใจยังไม่มีคุณธรรมพอ ติดยึดกับตัวเองเป็นหลัก อย่างผมมาทำงานการเมืองเพราะเห็นว่าบ้านเมืองตอนนี้มีปัญหา แล้วทหารรู้สึกทำตัวเป็นปัญหาของประเทศโดยไม่มีใครมาคาน ผมก็ต้องเข้ามา อย่างผมสมัยอยู่อำเภอนาแก นครพนม ก็ทำงานร่วมสู้รบกับทหารมาตั้งเยอะแยะ พูดตรงๆ ก็ไม่เห็นมันจะเหนือกว่าผม ผมอยู่ที่นั่น คนก็ยกย่องเป็นวีรบุรุษนาแก ตอนคัดเลือกผู้นำหน่วยดีเด่นของกองทัพภาคที่สอง ทั้งที่ผมเป็นตำรวจ สิ่งต่างๆ เหล่านี้แสดงศักยภาพว่าผมเหนือกว่าทหาร จะทหารหรือตำรวจก็อยู่ที่จิตใจ รุกรบใครเด็ดขาดกล้าหาญกว่ากัน ทหารก็คือประชาชน หากไปเจอประชาชนที่มีจิตใจรุกรบมากกว่าทหาร เขาก็เหนือกว่าทหาร

พร้อมลุยย้ายหน่วยทหาร

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ยืนยันด้วยว่านโยบายของพรรคเสรีรวมไทยเรื่องล้างมรดก คสช. เช่นแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นแนวทางของพรรคอยู่แล้ว ที่ต้องทำเช่นการแก้กฎหมายต่างๆ ที่ออกมาในยุคสภานิติบัญญัติแห่งชาติปัจจุบัน เพราะ สนช.คือมรดก คสช. รวมถึงต้องแก้ประกาศ คำสั่งของ คสช.ต่างๆ ที่ออกมาจำนวนมาก ที่ไม่เป็นธรรมและมีเยอะต้องแก้ไขให้หมด รวมถึงการปฏิรูปทหาร การยุบหน่วยต่างๆ ที่ซ้ำซ้อนไม่จำเป็น รวมถึงกำลังพลที่ซ้ำซ้อนเกินความจำเป็น ต้องยุบต้องถอนให้หมด

...รวมถึงที่ตั้งของหน่วยทหาร ถามว่าที่ตั้งของกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ ที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานครเวลานี้เหมาะสมหรือไม่ ผมไม่เถียงว่าตอนตั้งกรุงรัตนโกสินทร์เมื่อสองร้อยกว่าปีที่ผ่านมาเหมาะสม เพราะตอนนั้นเยาวราชยังเป็นทุ่งนา สำนักงานตำรวจแห่งชาติแถวปทุมวันยุคนั้นยิ่งบ้านนอกใหญ่เลย ไม่เหมือนตอนนี้เจริญหมดแล้วมีสยามพารากอน แล้วหน่วยทหารยิ่งอยู่ใกล้เข้ามาอีก พบว่าก็มีที่อยู่ใกล้สำนักพระราชวัง ถามว่าอาจมีศึกสงคราม คุณประยุทธ์อาจจะมาอ้างว่าหากมีศึกสงคราม ดังนั้นต้องมีการจัดซื้ออาวุธ

...แล้วถ้าเช่นนั้นถ้าหากมีศึกสงคราม เกิดมีการสู้รบกันแล้วเขายิงจรวดกดนิวเคลียร์ แล้วเขายิงมาลงที่ไหน ก็มาลงที่บ้านพักพี่น้องประชาชน ก็ควรต้องปกป้องบ้านพี่น้องประชาชน เอาหน่วยทหารออกนอกพื้นที่กรุงเทพมหานครออกไปให้หมด แล้วดึงพื้นที่ของหน่วยทหารกลับคืนมาให้เป็นของพี่น้องประชาชน เอามาทำถนนหนทางแก้ไขปัญหาจราจรได้ เอามาสร้างโรงเรียน สร้างโรงพยาบาล สร้างสวนสาธารณะเพื่อประโยชน์ประชาชน ถามว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่อยู่ตรงปทุมวัน มีประชาชนมาติดต่อราชการบ้างหรือไม่แต่ละวัน ก็คือพบว่ามีแต่ก็มีน้อย ไม่เหมือนที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล หรือสถานีตำรวจ แบบนี้กองบัญชาการตำรวจนครบาลก็ควรต้องอยู่ในกรุงเทพมหานคร แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติคนมาติดต่อน้อย นอกจากตำรวจมาติดต่อราชการด้วยกันเอง เพราะฉะนั้นสำนักงานตำรวจแห่งชาติตรงปทุมวันก็ยังควรต้องย้ายเลย

สมัยผมเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก็ไปขอพื้นที่สนามกอล์ฟของกรมชลประทาน ซึ่งที่ราชพัสดุก็ตอบรับเพราะไม่ต้องการให้เอาที่ราชพัสดุไปสร้างสนามกอล์ฟ แต่เขาไม่กล้ายุ่งกับทหาร ผมก็ไปติตต่อหลายหน่วย แต่พอดีสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรีย้ายผมเสียก่อนโครงการเลยไม่เกิด ซึ่งหากมีการย้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติออกไปที่อื่นเช่นนนทบุรี ก็จะได้นำพื้นที่ของสำนักงานไปทำอย่างอื่น เช่นการขยายพื้นที่โรงพยาบาลตำรวจจะได้รับประชาชนมาใช้บริการมากขึ้น เพราะปัจจุบันที่โรงพยาบาลก็มีความแออัด หน่วยทหารพบว่าไม่มีเลยที่จะให้ประชาชนไปติดต่ออะไร แล้วจะให้หน่วยทหารมาตั้งอยู่ทำไมในกรุงเทพมหานคร มีแต่จะติดต่อกับพวกพ่อค้าอาวุธ ก็ต้องย้ายหน่วยออกไปอยู่ข้างนอกกรุงเทพมหานคร อย่ามาติดยึด

“อย่ามาคิดแค่ว่าผมคิดไม่ดีกับกองทัพ คิดแบบนี้ไม่ได้ ไม่มีหรอกต้องคุยกันด้วยเหตุด้วยผลกัน ทหารทุกคนผมก็รัก แต่คุณอย่าทำตัวเป็นปัญหาของประเทศ หากทำตัวให้เป็นปัญหาของประเทศก็ต้องเป็นศัตรูกัน พวกทหารระดับผู้น้อยไม่เป็นปัญหาหรอก มีแต่ระดับผู้ใหญ่ หากผมจะทำอะไรต่างๆ ทหารชั้นผู้น้อยจะมาต่อต้านอะไรผม เพราะผมทำให้พวกเขาดีขึ้น แต่มันทำให้พวกทหารชั้นผู้ใหญ่เสียประโยชน์เสียหน้า"

 

เพื่อไทย-อนาคตใหม่ ลอกนโยบาย เสรีพิศุทธ์

หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย บอกว่า เรื่องปฏิรูปกองทัพที่หลายพรรคพูดกันตอนนี้ก็มาลอกของผมไป เพื่อไทยก็มาลอกผม อนาคตใหม่ก็มาลอกผม คนก็ไม่เข้าใจคิดว่าเป็นนโยบายของพวกเขา ทั้งที่ผมพูดมาสี่ปีแล้ว จนบางพรรคทีเห็นว่าผมคะแนนเสียงดีเลยมาพูดเพื่อจะแย่งซีน โดยไม่ยอมพูดความจริงว่ามาจากไหน แต่ก็ไม่เป็นไรหากเรื่องไหนดี เขาจะมาลอกผมไปก็ไม่ว่าอะไร แต่ขอให้พูดด้วยว่ามาจากไหน ไม่ใช่มาเชิดไปเป็นของตัวเอง แล้วที่สำคัญบางพรรคที่พูดๆ มา ถึงเวลาจริงๆ ทำได้หรือเปล่า เช่นไปบอกจะตัดงบทหาร จะยกเลิกเกณฑ์ทหาร บางพรรคที่พูดถึงเวลาจริงๆ ทำได้ไหม แค่ออกมาพูด ทหารก็ออกมาฮึ่มๆ แล้ว แต่ผมพูดเรื่องพวกนี้มาสี่ปีกว่าไม่เห็นมีใครมาฮึ่มใส่ผม

นอกจากไม่กล้าฮึ่มใส่ผม ผมยังบอกเลยว่าไอ้พวกนี้มันเด็กวานซืน อย่าง ผบ.ทบ.ที่สังคมอาจมองว่าตำแหน่งนี้มันใหญ่ สามารถยึดอำนาจได้ ซึ่งมันผิดกฎหมายทั้งนั้น ผมมองว่าไม่ได้มีความหมายอะไรเลย คุณจะเก่งจะให้ผมเคารพนับถือคุณต้องอยู่ที่สมอง ไม่ใช่โง่ๆ เซ่อๆ ไม่ใช่ไปวิ่งเต้นได้ตำแหน่งมา แล้วจะมาทำยิ่งใหญ่มันไม่ได้ ที่ผ่านมาแสดงความโง่เซ่อออกมาจนไม่มีใครยอมรับ แต่ตัวเองไม่รู้ตัว ติดเครื่องหมายอย่างกับลิเก ไม่มีใครในโลกเขาติดแบบนี้หรอก

หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ที่ตอนนี้ถูกมองว่าเป็นพรรคการเมืองฝ่ายเดียวกับพรรคอย่าง เพื่อไทย-อนาคตใหม่-เพื่อชาติ ซึ่งทางการเมืองถูกมองว่าเป็นพรรคฝ่ายตรงข้าม คสช. มองการจัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้งว่า หากประชาชนลังเล ถ้าคะแนนหลังเลือกตั้งออกมาไม่ชัดเจนเขาก็จะโกง นับคะแนนก็ยัดบัตรเลือกตั้ง คะแนนผีมาเต็มเลย หากจะป้องกันตรงนี้ประชาชนต้องตัดสินใจเบื้องต้นด้วยการเลือกพรรคฝ่ายประชาธิปไตย ทุ่มมาที่พรรคเสรีรวมไทย เพราะถ้าชนะเผด็จการขาดมันก็จบเลย แบบนี้บ้านเมืองก็จะสงบ แต่หากผลออกมาแบบขมุกขมัวแล้วบางฝ่ายไม่ยอมก็จะทะเลาะกันอีก อยากให้บ้านเมืองเป็นอย่างนั้นหรือ เพราะหากผมชนะผมเอาจริง

-เห็นประกาศว่าพรรคจะไม่ร่วมงานการเมืองกับพรรคพลังประชารัฐ แล้วหากประชาธิปัตย์ ได้เสียงมาอันดับสองเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล มาทาบทามให้ไปร่วมตั้งรัฐบาลด้วยเอาหรือไม่?

ประชาธิปัตย์ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มาชวนผม หรือเพื่อไทยจะมาชวนผม ฟากประชาธิปไตยมาชวนผม ผมพร้อมหมด แต่หากประชาธิปัตย์ตั้งรัฐบาลแล้วมีพรรคพลังประชารัฐรวมอยู่ด้วย แบบนี้พรรคเสรีรวมไทยไม่เอาด้วย เพราะผมเห็นว่าพลังประชารัฐเป็นเผด็จการที่ต้องอยู่ฝั่งตรงข้าม เพราะแบบนั้นเท่ากับผมไปเสริมเผด็จการ

...ถ้าหลังเลือกตั้งเผด็จการยังมา บ้านเมืองก็จะมีปัญหาต่อไปอีก 20 ปี แล้วไม่รู้ว่าอีก 20 ปีข้างหน้าต่อจากนี้ไปจะเป็นอย่างไร แค่ 4-5 ปีที่ผ่านมาคนไทยก็แทบจะต้องไปทำงานที่พม่าแล้ว เพราะตอนนี้พม่าเปลี่ยนจากเผด็จการมาเป็นประชาธิปไตย คนพม่าที่มาทำงานในไทยก็เริ่มกลับไปพม่าแล้ว แต่คนไทยหากยังให้เป็นเผด็จการแบบนี้ต่อไปอีกสัก 4-5 ปี ประเทศก็ล่มจม คนไทยต้องไปทำงานที่พม่า  อายเขาไหม ประชาชนต้องตระหนักและมองปัญหาประเทศชาติให้ชัดเจน ต้องตัดสินใจแล้วว่าหากเลือกคนของเสรีรวมไทยเท่านั้น ผมถึงมาแก้ปัญหาประเทศชาติได้ ไม่ใช่ว่ารักประชาธิปไตยแต่ไปเลือกพรรคการเมืองอื่น แบบนั้นก็แก้ปัญหาไม่ได้หรอก ผมพูดตรงๆ อย่างนโยบาย 6 หยุดของผม หยุดคอร์รัปชัน  หยุดยาเสพติด หยุดเผด็จการ ใครทำได้เท่าผม ผมไม่ใช่นักการเมืองนะ คือโอเควันนี้ผมมาลงเลือกตั้ง  ผมก็คือนักการเมืองแล้ว แต่ใจผมไม่ใช่นักการเมืองที่จะมาหาผลประโยชน์แต่ต้องการมาแก้ปัญหาประชาชนจริงๆ

ทั้งหมดก็อยู่ที่ประชาชน ก็คือ 24 มีนาคมจับปากกาฆ่าเผด็จการ คือต้องไม่เอาเผด็จการ แล้วเลือกผู้สมัครพรรคเสรีรวมไทยเท่านั้น คือพรรคอื่นก็บริหารงานมานานแล้ว ประชาธิปัตย์ เพื่อไทย ภูมิใจไทย  พวกนี้เคยบริหารงานประเทศชาติมา แล้วเป็นยังไง มันแก้ไม่ได้หรอกเพราะเห็นฝีมือมาแล้ว และหากเลือกตั้งพรรคพลังประชารัฐได้เข้ามา พลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ ก็ยิ่งแย่กว่าเดิม เพราะไม่มีแล้ว มาตรา 44 และยังมีพรรคฝ่ายค้านในสภา แต่หากหลังเลือกตั้งฝ่ายประชาธิปไตยแพ้ ได้ไม่ถึงกึ่งหนึ่ง ก็คือแพ้เขา ถ้าเป็นอย่างนั้นผมก็พร้อมเป็นฝ่ายค้าน

                อย่างไรก็ตาม ผลการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไรต้องรอดู แต่สำหรับการหาเสียงในช่วงต่อจากนี้ไปจนถึงโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวถึงแนวทางหาเสียงของพรรคเสรีรวมไทยว่า จะเน้นไปที่การพูดผ่านสื่อ-การไปเวทีดีเบตต่างๆ โดยเฉพาะการสื่อสารผ่านโซเชียล เฟซบุ๊กแฟนเพจ คลิปต่างๆ เพราะทำให้ประชาชนรู้แนวนโยบายพรรคได้เร็วกว่า มากกว่าที่จะใช้วิธีเดิมๆ แนวทางของพรรค จะไม่ปราศรัยใหญ่อย่างที่พรรคการเมืองบางพรรคทำ เพราะการปราศรัยใหญ่พรรคก็ต้องไปหาคนมาฟัง เพราะปัจจุบันคนอยู่บ้านก็ฟังได้ คนก็ไม่ค่อยมา คนที่มาก็คือคนที่ไปขนมาฟัง หรือจ่ายเงิน ที่ต้องเสียเวลา ที่ไม่เกิดประโยชน์อะไร พรรคจะไม่ทำแบบนี้ จะเน้นการสื่อสารผ่านสื่อมวลชนเป็นหลัก รวมถึงการไปเวทีดีเบตเวทีเสวนาต่างๆ ทั้งของสถาบันการศึกษาและของสื่อ ส่วนการลงพื้นที่ก็จะพยายามไปลงให้มากที่สุดเพื่อช่วยผู้สมัครของพรรคให้มากที่สุด คงไปได้ไม่ครบ

                ...การใช้สื่อโซเชียลมีเดียหาเสียง แถลงแนวคิด นโยบายของพรรคและของผม.. เราก็ดำเนินการมานานแล้วที่เป็นช่องทางสื่อสารกับประชาชน เพราะตอนนี้ชาวบ้านระดับล่างที่ใช้ไม่เป็นเราก็อาจไปไม่ถึงเขา ก็ต้องให้ผู้สมัครลงไปพบเขาให้มากที่สุด เราสื่อสารมาหลายปีแล้ว เมื่อสองเดือนที่แล้วพบว่าในยูทูบ 16 ล้านวิว ถึงตอนนี้น่าจะ 17 ล้านวิว ผมก็คิดว่าคนที่ติดตามแนวคิดผมที่มี 16 ล้านวิว หากประเมิน ผมประเมินแบบง่ายๆ ไม่ต้องมีหลักคิดอะไร คนดู 16 ล้านวิว หากดูจริงๆ สัก 10 เปอร์เซ็นต์ ก็เท่ากับ 16 ล้านคน จะให้เขามาเลือกผมทั้งหมดก็เป็นไปไม่ได้ แต่เท่าที่ผมดูก็อาจมีบางคนไม่ชอบแนวทางเราบ้าง

ผมก็ฟันธงว่าคนที่จะมาลงคะแนนให้เรา สักครึ่งหนึ่งก็ 8 ล้านคน หากคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ เทียบจาก 8 หมื่นคะแนนได้หนึ่งคน ก็เท่ากับพรรคก็จะได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์แล้ว 100 คน ตรงนี้มันจะสอดคล้องหรือเป็นไปได้หรือไม่ ซึ่งเท่าที่ผมลงพื้นที่ถึงตอนนี้พบว่าไม่มีใครไม่รู้จักผม รู้จักหมด

...8 ล้านเสียงที่จะได้ผมมั่นใจ แต่ขอไว้ 10 ล้าน ก็อยากขอเสียงประชาชน 10 ล้าน จะมาพลิกเปลี่ยนประเทศไทยเสียที ไม่ให้ทะเลาะเบาะแว้ง มาแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แบ่งพวกแบ่งสี ไม่ให้ทุจริตคอร์รัปชัน บ้านเมืองต้องสงบ ไม่ให้มีการทำผิดกฎหมาย ผู้มีอิทธิพลต้องหมดไป ประชาชนต้องอยู่ดีมีสุข หากได้สัก 100 คนขึ้นไป จะทำให้รู้ว่าเสรีพิศุทธ์ไม่ธรรมดา

ฟิลิปปินส์มี โรดรีโก ดูเตร์เต ที่เด็ดขาด ปราบยาเสพติดผู้มีอิทธิพล สิงคโปร์ก็มี ลี กวน ยู ที่เด็ดขาด ประเทศกูก็มีเสรีพิศุทธ์ที่จะทำได้ทุกอย่าง ทั้งปราบยาเสพติด ทุจริตคอร์รัปชัน บริหารก็ได้

ที่ผ่านมา สื่อมักชอบถามผมแบบเดิมๆ ว่า หากผมเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วจะเอาใครมาเป็นรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ สังคม ซึ่งคำถามนี้หากไปถามพรรคอื่นก็จะบอกว่ามีเยอะ เช่น ประชาธิปัตย์ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็อาจบอกว่าหากประชาธิปัตย์ได้เสียงข้างมากก็จะเป็นนายกฯ โดย รมว.คลัง ก็ กรณ์ จาติกวนิช มีคนมาเป็นรัฐมนตรีที่มาจากพรรค เช่น จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์, ถาวร เสนเนียม

เช่นเดียวกัน ไปถามพรรคอื่นด้วยคำถามแบบนี้ก็ต้องตอบแบบนี้คือเอาคนในพรรค ผมก็อยากบอกว่าการเอาคนในพรรคมาเป็นรัฐมนตรี ถามว่าแก้ปัญหาประเทศชาติได้ไหมในช่วงที่ผ่านมา เอาพวก ส.ส.ในพรรคมา อย่างถามว่า ส.ส.เช่น ประชาธิปัตย์ มีความเป็นมาอย่างไร ก็พบว่ามักจะเอาเครือญาติ เอาลูกเอาหลาน เอาพี่เอาน้องมาลงสมัคร หรือไม่ก็ต้องมีเงินถึงจะได้ลงสมัคร ส.ส. เช่น บางคนก็เอาลูกลงสมัคร ส.ส. เอาญาติลงหมด

ส่วนบุคคลภายนอก หากจะเอาลูกเอาหลานไปลง ก็ต้องเสียเงินให้พรรคทั้งนั้น ไม่ใช่อยู่ดีๆ จะไปลงได้เลย เพราะก็มีฐานเสียง เขาต้องดูแลกันอยู่ต้องเลี้ยง ต้องใช้เงินกับชุมชนตั้งเยอะแยะ อยู่ดีๆ จะไปลงได้เลยหรือ ก็คือใช้ระบบลูกหลาน พอเป็น ส.ส.ได้สัก 4-5 สมัย ก็ต้องไปเป็น รมต.แต่ถามว่าทำอะไรประสบความสำเร็จ ก็พบว่าไม่มีให้เห็น พรรคการเมืองอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน ก็เป็นแบบนี้

ระบบแบบนี้มันไม่ตอบโจทย์ มันไม่ได้ทำให้ประเทศชาติพัฒนาไปได้ ซึ่งสำหรับผมแม้จะมีคนในพรรคเสรีรวมไทยอาจจะมีโอกาสได้เป็นรัฐมนตรีได้ แต่คำตอบสำหรับผม คนที่จะเป็นรัฐมนตรี ไม่ว่าจะด้านเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง อยู่ในประเทศไทยทั้งหมด หากพรรคได้คะแนนมากจนตั้งรัฐบาล ผมก็จะเชิญคนมีความรู้ความสามารถทั้งหมดในประเทศมาเป็นรัฐมนตรีด้านต่างๆ เช่น เกษตร-พลังงาน-คลัง-มหาดไทย ก็จะทำให้รัฐมนตรีของรัฐบาล มีความรู้ ประสบการณ์ ผลงาน เป็นที่ประจักษ์ ไม่ใช่เป็น ส.ส.แค่ 3-4 สมัยก็บอกว่ากูแน่แล้ว ทั้งที่ยังทำอะไรไม่เป็นเลย โดยหากผมไปเชิญคนเก่งๆ แต่ละด้านมาทำงาน ก็เชื่อว่าจะตอบรับ เพราะไม่ต้องเสียอะไรให้พรรค ไม่ต้องมาหาทุนเพราะมาเป็นรัฐมนตรีเขาไม่ได้เสียอะไร จึงไม่ต้องถอนทุน แต่ให้มาทำงาน หากไปทำอะไรไม่ดี ผมก็ล่อให้ ไม่คุกตะรางก็ว่ากันไป เพราะเราก็ดูรู้คนไหนสุจริต ไม่สุจริต ทำงานคดเคี้ยวไหม รัฐบาลของผมก็จะเปิดกว้าง ไม่มีการแบ่งพวก สีสถาบัน เพราะหากคนในพรรคสู้คนนอกพรรคไม่ได้ ก็ต้องเชิญคนนอกพรรคมาร่วมงานไม่ใช่มาติดยึดแต่กับคนในพรรค เพราะการเป็น ส.ส.จะเป็นกี่สมัยก็เป็นไป แต่การมาเป็นรัฐมนตรีต้องมีกึ๋นส์ มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ แนวคิดผมจึงไม่เหมือนคนอื่นในการบริหารประเทศ

หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ยังกล่าวถึงการจัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้งว่า การที่ฝ่าย คสช. มี ส.ว. 250 เสียง มาร่วมโหวตนายกรัฐมนตรีด้วย ทางพลเอกประยุทธ์เลือก ส.ว.มา 250 คน แล้วให้ประชาชนทั้งประเทศ เลือก ส.ส.มา 500 คน ที่เขาวางแผนไว้ ก็คือทำให้พรรคพลังประชารัฐ ก็มี ส.ว.อยู่ 250 แล้ว แล้วถ้าที่เขาหว่านไป จนได้มาสักร้อยที่นั่ง ก็เป็น 350 เสียงแล้ว..ก็หาอีกสัก 27 เสียง ก็เกินครึ่งหนึ่งของเสียงโหวตนายกฯ แล้ว และพวกพรรคเล็กพรรคน้อยต่างๆ ก็พร้อมที่จะขายตัวเสียด้วย ผมถึงเห็นว่าคนไทย ต้องผนึกกำลังกันให้แน่นแฟ้น อย่าให้คะแนนหลุดไปทางเผด็จการโดยเด็ดขาด ให้ทุ่มมายังฝั่งประชาธิปไตยให้หมด ซึ่งพรรคฝ่ายประชาธิปไตยก็มีหลายพรรค หากให้กระจายไปก็จะไม่ได้พรรคใหญ่ อย่างเพื่อไทยก่อนหน้านี้ก็เป็นพรรคใหญ่ แต่พอถูกดูดออกไปก็ไม่ใช่พรรคใหญ่ แล้วยังแตกเป็นพรรคอื่นๆ อีก เช่น เพื่อชาติ เพื่อธรรม ไทยรักษาชาติ ประชาชาติ ก็ทำให้เสียงของเพื่อไทยก็ต้องลดลง

...ส่วนประชาธิปัตย์ เดิมเคยเป็นพรรคเสียงอันดับสอง ตอนนี้ถูกดูดออกไปหลายคนก็ลดลง ดังนั้นพรรคที่เคยได้เสียงอันดับหนึ่ง-สองในอดีต ก็อาจทำไม่ได้อีกในสมัยปัจจุบัน เพราะพลังประชารัฐตอนนี้ก็มีแล้ว 250 ส.ว. ทำให้พลังประชารัฐเป็นพรรคใหญ่อยู่แล้ว ประชาชนจึงควรคิดว่าในส่วนของพรรคฝ่ายประชาธิปไตย ควรต้องทุ่มให้พรรคใดพรรคหนึ่งให้เต็มที่ไปเลย เพื่อให้ขึ้นมามีคะแนนคานกับพรรคพลังประชารัฐให้ได้ สู้พลังประชารัฐให้ได้

...เพราะถามว่า หากทุ่มไปให้พรรคอื่น เช่น พรรคเพื่อไทย ถามว่า คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ หรือประชาธิปัตย์ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะสู้กับทหารไหม ผมถามมาหมดแล้วว่า ใครจะสู้กับทหาร ทุกคนก็ตอบว่า เสรีพิศุทธ์ เพราะฉะนั้นถ้าอยากให้ฝ่ายประชาธิปไตยชนะเพื่อไปสู้กับฝ่ายเผด็จการให้ได้ ก็ต้องหยุดไว้ก่อนกับการเลือกแบบเลือกคนที่รัก เลือกพรรคที่ท่านชอบ ขอให้หยุดแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวก่อน แล้วทุ่มมาที่พรรคเสรีรวมไทยให้หมด ให้ผมเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลสู้กับพรรคพลังประชารัฐจะได้สมน้ำสมเนื้อ ไม่อย่างนั้นไม่มีทางเลย

หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย กล่าวต่อว่า ที่ คสช.ยึดอำนาจ ก็มีการสร้าง story โดยร่วมมือกับพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ทำให้บ้านเมืองวุ่นวายไม่สงบ ทหารก็ออกมายึดอำนาจ เป็นการสร้างสถานการณ์ ใครไม่เห็นด้วยก็ข่มขู่เขา เรียกไปปรับทัศนคติ ทำให้คนอื่นก็ไม่กล้า แล้วก็พยายามจะเลื่อนการเลือกตั้งทั้งที่ปล้นอำนาจเขามาเพื่อตัวเอง โดยครั้งนี้ ใช้ปี 2549 เป็นบทเรียน ที่ คมช. โดยพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ทำรัฐประหารแล้วไม่ยอมเป็นนายกฯ เอง ไปเชิญพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ มาเป็นนายกรัฐมนตรี แต่พลเอกสุรยุทธ์ไม่ต้องการสืบทอดอำนาจ เป็นนายกฯ ได้แค่ปีเศษๆ ก็ให้มีการเลือกตั้ง แล้วนักการเมืองก็กลับมาอีก ก็เลยใช้รัฐประหาร คมช. สมัยปี 2549 เป็นตัวอย่าง เลยทำให้นอกจากเป็นหัวหน้า คสช.แล้วก็ยังเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยอีกตำแหน่ง โดยไม่ยอมให้รีบเลือกตั้ง พยายามถ่วงเวลา ตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาสู้ เพื่อสืบทอดอำนาจ โดยไม่ให้เป็นแบบพลเอกสนธิที่ตั้งพรรคมาตุภูมิแล้วได้ ส.ส.แค่สองคน จึงมีการวางแผนสืบทอดอำนาจ ก่อนตั้งพรรคพลังประชารัฐก็ตั้งโครงการรัฐบาลเรียกว่า โครงการประชารัฐ ให้ประชาชนสนใจ รู้จักคำว่า ประชารัฐ แล้วก็ตั้งพรรคพลังประชารัฐ มีการส่งสี่รัฐมนตรีเข้ามาทำพรรค แต่ครั้นจะไปเอาคนใหม่ๆ มาอยู่ด้วยก็ไม่ชนะ ก็เลยใช้วิธีซื้อๆ ดูดๆ จากพรรคการเมืองอื่น ทั้งเพื่อไทย ประชาธิปัตย์ อย่างจุติ ไกรฤกษ์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ยังบอกตัวเลขอดีต ส.ส.ของประชาธิปัตย์เลยว่าถูกดูดไป 27 คน แล้วก็ยังไปดูดพรรคอื่นๆ เช่น ชาติไทย ภูมิใจไทย ชาติพัฒนา

บางส่วนก็ไปขู่คนอื่นให้เข้ามาเช่น สนธยา คุณปลื้ม ไปบอกให้เอาอดีต ส.ส.พลังชล ย้ายไปอยู่ด้วยทั้งหมด แล้วก็พักโทษให้บิดาจนสนธยาโอเค ด้วยการเอาพวกพลังชลมาอยู่ จนพ่อ (สมชาย คุณปลื้ม กำนันเป๊าะ) ได้รับการพักโทษ แล้วพลเอกประยุทธ์ก็ตั้งสนธยามาเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ตั้ง อิทธิพล คุณปลื้ม ไปช่วยงานที่กระทรวงท่องเที่ยวและการกีฬา แล้ววันดีคืนดีก็ใช้มาตรา 44 ปลดนายกเมืองพัทยา แล้วตั้งสนธยาไปเป็นนายกแทนเพื่อช่วยเหลือพ่อเรื่องเงิน ประมาณ 300 ล้านบาท ที่ผมเคยดำเนินคดีกับเขา จนมีคดีความอาญา ต้องรับโทษติดคุก แล้วคดีแพ่งศาลก็ให้ชดใช้ 300 ล้านบาท ซึ่งถ้าเป็นคนอื่นต้องยึด แต่อันนี้ส่งลูกไป เพื่อไปเคลียร์ตรงนั้น หรือการให้เอาลูกบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์มาอยู่ด้วย แล้วก็ให้บุญทรงย้ายไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ หรือกรณี ประชา โพธิพิพิธ หรือ กำนันเซียะที่ศาลตัดสินจำคุกต้องหนีไปอยู่กัมพูชา ก็ให้เอาลูกมาอยู่ รวมถึงนายก อบจ. นายกเทศมนตรีต่างๆ คนที่มีคะแนนก็ใช้มาตรา 44 สั่งพักการทำงาน แต่พอใกล้เลือกตั้งก็ยกเลิกคำสั่งเพื่อให้มาช่วยเหลือ

คือเอาทุกทางเพื่อจะสืบทอดอำนาจ แล้วจะยอมให้เผด็จการกลับมา ต่อไปบ้านเมืองเราต้องไปทำงานที่พม่าแล้ว

...พลเอกประยุทธ์บริหารประเทศมาห้าปีเต็มๆ ในฐานะนายกฯ และหัวหน้า คสช. แล้วเป็นไง หนี้ประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 7 ล้านล้านบาท แทนที่จะลดลงแต่กลับกูกู้ กูกู้มาอย่างเดียว ไม่ได้สนใจว่าต่อไปใครต้องมาชดใช้ ประเทศจะเสียหายหรือไม่ คนจนในประเทศมีแต่เพิ่มขึ้น สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ เคยบอกว่าคนจนจะหมดไปภายในหนึ่งปี แล้วทำได้ไหม นอกจากทำไม่ได้แล้วคนจนยังเพิ่มขึ้นจาก 11 ล้านคน เป็น 14 ล้านคน ซึ่งยอดมันเพิ่ม เพราะเขาต้องการจะแจกเงินเพิ่ม เพราะแจก 11 ล้าน ก็ได้คะแนนส่วนหนึ่ง แต่แจก 14 ล้าน..ก็ได้มากกว่า เอาทุกทาง เช่นเดียวกับเรื่องความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจน ประเทศไทยก็ติดอันดับสูง หรือเรื่องดัชนีความโปร่งใส สิงคโปร์ ประเทศเพื่อนบ้านของเรา เขาอยู่อันดับสามของโลก แต่ของเราอันดับเก้าสิบกว่าของโลก ห่างกันสิ้นดี แล้วเรื่องไฟใต้ ถึงตอนนี้ดับได้ไหม ล่าสุดก็พระสงฆ์มรณภาพไป 4 รูป

                “ผลงานเป็นแบบนี้ ทั้งที่มีมาตรา 44 พรรคฝ่ายค้านในสภาก็ไม่มี แล้วยังจะมาขอบริหารประเทศต่ออีกหรือ ผลงานแบบนี้ แล้วก็ไม่อาย ยังจะเป็นต่อ ผ่านการเขียนรัฐธรรมนูญ ออกกฎหมาย ออกคำสั่งต่างๆ โกงหมด ประชาชนต้องคิดแล้ว คือสำหรับผมไม่ต้องเป็นอะไรก็ได้ แต่ถ้ายอมให้รัฐบาลชุดนี้กลับเข้ามาอีก มาบริหารประเทศต่อ ประเทศจะยิ่งเสียหายหนัก”

                ถามถึงว่าหลังเลือกตั้งไปแล้ว ยังไงเครือข่าย คสช.ทางการเมืองก็ยังอยู่ เช่น ฐานสมาชิกวุฒิสภา 250 คน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ตอบขึ้นมากลางคันว่า ก็เขาเขียนไว้สืบทอดอำนาจแบบนี้จะทำยังไงได้ เมื่อเป็นแบบนี้ก็ต้องเข้าไปแก้ไขกัน ต้องประลองกำลังกัน คือ ประลองกำลังกันไม่ใช่การจะมาเอาชนะคะคานกันแบบไม่มีเหตุผล คืออะไรที่มีเหตุมีผล ผมก็โอเค แต่เท่าที่รู้สึก พบว่าไม่ค่อยจะมีอะไรมีเหตุมีผลสักเท่าไหร่ ตรงนี้ก็ต้องแก้กัน

หากไม่มาร่วมมือ คนอย่างผมก็ไม่ใช่ย่อยนะ ไม่อย่างนั้นผมยืนอยู่บนจุดนี้ไม่ได้หรอก เพราะก็ไม่เห็นมีใครทำอะไรผมได้เลย เพราะฉะนั้นถ้าหลังเลือกตั้งหากผมเข้าไปบริหารประเทศ แล้วคุณไม่ยอมมาร่วมมือ จะมาคิดอาศัยระเบียบกฎหมายที่ออกมาโดยไม่ชอบ ก็ลองดู มาลองกับผมดู ผมคงไม่พูดหรอกว่าผมจะทำอะไรบ้าง แต่อย่ามาลองกับคนอย่างผม.

 

                                                โดย วรพล กิตติรัตวรางกูร

.........................

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"