คั่นบรรยากาศด้วยเรื่องภัยแล้ง


เพิ่มเพื่อน    

      กะว่าจะรอๆ...แต่คงรอไม่ไหว!!! เพราะกว่าศาลท่านจะชี้ขาดเรื่อง ยุบ-ไม่ยุบ เห็นว่าปาเข้าไปถึงบ่ายสามโน่น ตัดสินแล้วยังต้องใช้เวลา ตั้งสติ เพื่อไม่ให้วูบๆ ไหวๆ ไปตามอารมณ์ ความรู้สึก ประเภทเฮๆ-หุบๆ ชอบๆ-ชังๆ ไปตามรสนิยมของใครก็ของมัน ถึงจะวิเคราะห์ สังเคราะห์กันได้แบบเป็นไปตามมาตรฐานกันจริงๆ...

                                                                 --------------------------------------------------

      แถมประมาณห้าโมงกว่าๆ เกือบหกโมง ก็มีคิวเป็นประจำทุกวันพฤหัสฯ ต้องไปพูดจาแสดงความคิด ความเห็น ทางวิทยุรายการ 101 เขาอีกต่างหาก ด้วยเหตุนี้...เลยคงต้องขออนุญาตแฉลบออกข้าง ไปหยิบเอาเรื่องราวอื่นๆ ประเด็นอื่นๆ ที่อาจไม่ถึงกับฮอตฮิต ติดชาร์ต มากมายซักเท่าไหร่นัก มาพูดคุย ขีดๆ เขียนๆ กันไปพลางๆ เพราะยังไงๆ กว่าข้อเขียนชิ้นนี้จะออกสู่ตลาดพวกที่ เฮ พวกที่ หุบ ก็คงได้เฮ-ได้หุบ ไปตามการ ปรุงแต่ง ทางอารมณ์ ความรู้สึก ของตัวเองไปเรียบโร้ยย์ย์ย์แล้ว...

                                                                  --------------------------------------------------

      และเรื่องที่แม้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการเฮๆ หุบๆ แต่ออกจะมีความสำคัญมิใช่น้อยกับ ส่วนรวม กับสังคมประเทศชาติ ก็คงหนีไม่พ้นเรื่อง ภัยแล้ง นั่นแหละทั่น ที่ว่ากันว่า นอกจากจะ แล้งเร็ว อาจออกไปทาง แล้งนาน ซะอีกด้วย ชนิดที่ ศูนย์วิจัยธนาคารกสิกรไทย เขาถึงกับคาดการณ์ ประมาณการ เอาไว้ก่อนล่วงหน้า ว่าแล้งนี้ ปีนี้ อาจส่งผลเสียหายให้กับผลผลิตของบรรดาเกษตรกร ชาวบ้าน ชาวช่อง ไม่ว่าข้าว ไม่ว่าอ้อย หรือยิ่งเป็นพืชที่ต้องการน้ำเอามากๆ อย่าง ทุเรียน ของ ท้าวสามล แห่งอำเภอหลังสวน หรือ เสี่ยทุเรียน ที่ประกาศตามหาลูกเขยกันจนกลายเป็นข่าวใหญ่ นั่นยิ่งแล้วใหญ่ มูลค่าความเสียหายที่เขาประเมินเอาไว้สำหรับภัยแล้งปีนี้ จึงสูงขึ้นไปถึง 15,300 ล้านบาท หรือประมาณ 0.1 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีเอาเลยถึงขั้นนั้น...

                                                                    -----------------------------------------------------

      แต่ก็นั่นแหละ...ไม่ว่าจะเป็นเจ้าฟ้า-เจ้าแผ่นดิน อย่าง สมเด็จพระเทพฯ ที่ทรงแสดงความห่วงใยต่อภาวะดังกล่าวเอาไว้ชัดแจ้ง และน่าจะมีส่วนสร้างแรงกระตุ้นไปถึงผู้บริหาร จัดการ อย่าง รัฐบาล ที่เริ่มหันมาให้ความสำคัญ ให้ความสนใจ ต่อความเป็นไปเหล่านี้อย่างจริงๆ จังๆ ขึ้นมามั่ง การตระเตรียมรับมือกับ ปัญหาภัยแล้ง ไม่ว่าโดยนายกรัฐมนตรี กระทรวงมหาดไทย หรือกระทรวงเกษตรฯ  ฯลฯ ก็น่าที่จะพอช่วยให้อะไรที่หนักหนา สาหัส มันพอเบาๆ คลายๆ ลงมาได้บ้าง แม้ว่ามันจะเป็น เรื่องของธรรมชาติ แต่ถ้าหากมวลมนุษย์ในสังคมทั้งหลาย เข้าถึง  และ เข้าใจ ต่อความเป็นไปทางธรรมชาติและยังคงหลงเหลือความรัก ความห่วงใย ต่อบรรดามวลมนุษย์ด้วยกันเอง อะไรที่ดูร้ายๆ ก็อาจคลี่ๆ คลายๆ บรรเทา เบาบาง ลงไปได้ไม่ยากซ์ซ์ซ์...

                                                                      -----------------------------------------------------

      แต่ก็อย่างว่า...การ เข้าถึง และ เข้าใจ ในสิ่งที่ว่า ก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ไม่งั้นเรื่องของ ภัยแล้ง หรือ ภัยน้ำท่วม-น้ำรอระบาย มันคงไม่วนมา-วนไป ชนิดแก้กันไม่แล้วเสร็จ กลายเป็นเรื่อง แล้งซ้ำซาก หรือ ท่วมซ้ำซาก สร้างปัญหาให้กับรัฐบาลและชาวบ้าน ชาวช่องมาโดยตลอด หรือยังเป็นสิ่งที่องค์กรระหว่างประเทศ อย่าง องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือ FAO  เขายังคงต้องให้บทสรุปเอาไว้ทำนองว่า ประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาทั้งหลายนั้น ยังขาดความมั่นคงในด้านการบริหาร จัดการน้ำ ซึ่งก็คงไปโต้ ไปเถียง เขาลำบาก...

                                                                        -------------------------------------------------------

      เพราะโดยข้อมูล ข้อเท็จจริง ตามที่ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องราวดังกล่าว อย่างผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติ แห่งมหาวิทยาลัยรังสติ ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ท่านหยิบมาแจกแจงพอให้เห็นภาพโดยคร่าวๆ เมื่อไม่นานมานี้ มันก็ออกจะเป็นไปในลักษณะที่ว่านั่นแล คือจาก ภาวะน้ำท่วม ที่เคยท่วมประเทศไทยในทุกๆ ห้วงระยะ 50 ปีมาตั้งแต่อดีต หลังๆ นี้มันเริ่มกลายมาเป็นการ  ท่วมทุกๆ 10 ปี และ ภาวะภัยแล้ง ที่เคยต้องแล้งกันในทุกห้วงระยะ 15 ปี มาถึง ณ ขณะนี้...กลายเป็นทุกๆ 10 ปี จะต้องเจอกับความแล้งระดับหนักหนา สาหัส ไม่น้อยกว่า 2 หรือ 3 ครั้ง มาโดยตลอด...

                                                                        ------------------------------------------------------

      ดังนั้น...การแก้ปัญหาทำนองนี้ มันคงไม่อาจใช้กรรมวิธีแบบเดียวกับลิง ประเภทออกไปทาง ลิงแก้แห ได้โดยเด็ดขาด แต่ต้องอาศัยความ เข้าใจ และ เข้าถึง ธรรมชาติแบบจริงๆ จังๆ ว่าเท่าที่เคยเป็นมาและกำลังเป็นไปในทุกวันนี้ ท่านกำลังเปลี่ยนแปร หรือปรับเปลี่ยนไปเพราะเหตุใด และไปในแนวไหนกันแน่ คือจะแค่หันไปบอกชาวบ้าน ชาวช่อง หันไปบอกเกษตรกรแต่ละราย ให้ปรับเปลี่ยนการปลูกพืชแต่ละชนิดกันในแต่ละปี เดี๋ยวปลูกข้าว ปลูกถั่ว ปลูกงา ปลูกอ้อย ฯลฯ ไปจนใกล้ๆ จะ ปลูกกัญชา กันไปแล้ว มันออกจะเป็นอะไรที่หนักไปทาง แก้แห กันซะเป็นหลักใหญ่...

                                                                         ---------------------------------------------------------

      เพราะภายใต้ความผันผวน ปรวนแปร ของ ธรรมชาติ ช่วงหลังๆ นี้...มันอาจต้องไปไกลถึงขั้น การปรับเปลี่ยนทิศทางประเทศไทย เอาเลยก็ไม่แน่!!! หรืออาจต้องเปลี่ยนแปลงขจัดกวาดล้างความคิดและทัศนคติในแบบที่ออกไปทาง เชยซ์ซ์ซ์ๆ ทั้งหลาย ประเภทอยากจะแปลงกายจากความเป็นมนุษย์ ไปเป็นเสือตัวที่สี่ ตัวที่ห้า อยาก อุต-ส่าห์-หา-กรรม กันจนโรคซ้ำกรรมซัดวิบัติเป็นมาโดยตลอด หรืออยากเป็น ฮับโน่น-ฮับนี่ หันมาเป็นประเทศที่มุ่งไปสู่ ความพอเพียง แบบจริงๆ จังๆ หรือแบบไม่ได้จะเอามาเป็น ยันต์กันผี แต่เพียงเท่านั้น กลายเป็นประเทศที่มีความสอดคล้อง กลมกลืน ไปกับธรรมชาติ เป็นประเทศที่ ความเป็นไทย ถูกทำให้สอดคล้อง กลมกลืน ไปกับ ความเป็นธรรม อันนั้นนั่นแหละ...ถึงจะเรียกว่า เข้าใจ-เข้าถึง-และพัฒนา แบบของจริง-ของแท้...

                                                                       -----------------------------------------------------------

      ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Epictetus (อีกครั้ง...และอีกครั้ง)... Fortify yourself with contentment, for this an impregnable fortress.- จงสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ตัวท่านด้วยความสันโดษ (พอเพียง) เพราะนี่คือป้อมปราการที่ไม่มีผู้ใดจะตีแตก...

                                                                        ---------------------------------------------------------


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"