ต้องทำให้โซ่ข้อล่างแข็งแรงให้ได้ ถือเป็นการแก้ไขปัญหาระยะยาว


เพิ่มเพื่อน    

นิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา

 

1.ความพร้อมของพรรคชาติไทยพัฒนา

การเลือกตั้งครั้งนี้มีลักษณะพิเศษ เพราะเป็นการเลือกตั้งในช่วงรอยต่อ มีกฎหมายเลือกตั้งฉบับใหม่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ชุดใหม่ พรรคการเมืองใหม่ และสถานการณ์การเมืองใหม่ ที่สำคัญ เป็นการเลือกตั้งที่อยู่ภายใต้ลักษณะเปลี่ยนผ่านตามบทเฉพาะกาล จะมีวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้ง 250 คน ซึ่งจะมีผลต่อการเลือกตั้ง มียุทธศาสตร์ 20 ปี คอยกำหนดไว้ รวมทั้งข้อกำหนดใหม่ๆ ที่เป็นกลไกกำกับ ควบคุม ดูแลจาก กกต. จึงเป็นการเลือกตั้งที่น่าจะยุ่งยากมากกว่าที่เคยเป็นมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบัตรเลือกตั้งที่จะมีถึง 350 รูปแบบ จะเกิดความสับสนกับทุกฝ่าย ทั้ง กกต. พรรคการเมือง และประชาชนอีกจำนวนมากที่ยังไม่ทราบถึงลักษณะการเลือกตั้งที่เปลี่ยนแปลงไป

 

ทุกคะแนนในการเลือกตั้งครั้งนี้จะมีความหมาย จะทำให้เกิดแรงกดดันระหว่างผู้สมัคร ส.ส.ด้วยกัน จะเป็นการต่อสู้เหมือนติดดาบปลายปืน เพราะทุกคนต้องการคะแนน จะเห็นว่าเป็นการเลือกตั้งที่สับสนอลหม่านที่สุดในประวัติศาสตร์ หลังจากนี้ในอนาคตเชื่อว่า จะมีการเรียนรู้ปัญหาการเลือกตั้งครั้งนี้เพื่อไปปรับปรุงแก้ไขกฎหมายกันหลายจุด ทั้ง พ.ร.ป. ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 และ พ.ร.ป. ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ. 2561 โดยเอาต้นแบบความบกพร่องจากการเลือกตั้งครั้งแรกไปปรับปรุงแก้ไข และต้องยอมรับว่า บางส่วนเกิดจากรัฐธรรมนูญ ที่แก้ไขได้ยากมาก

 

พรรคชาติไทยพัฒนามีความพร้อมมาก เพราะเราไม่ได้เป็นพรรคที่ก่อตั้งใหม่ นับตั้งแต่พรรคชาติไทยมาจนถึงพรรคชาติไทยพัฒนาก่อตั้งมา 45 ปี ถ้าเปรียบเป็นคน ถือว่ามีประสบการณ์มากพอสมควร ผ่านการเลือกตั้งมาหลายครั้ง แม้การเลือกตั้งครั้งนี้จะค่อนข้างหินแต่เราได้มีการเตรียมความพร้อมอย่างดี โดยการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นครั้งที่พรรคชาติไทยพัฒนาส่งผู้สมัครมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของพรรคถึง 315 คน จะมีเว้นไว้บ้างในบางพื้นที่ที่มีอดีตสมาชิกของพรรคแยกตัวออกไป เพื่อเป็นการให้เกียรติ และถนอมไมตรีที่มีต่อกันมายาวนาน เพราะเรามีความสุขในฐานะเป็นผู้ให้ ผู้สมัคร ส.ส.315 เขต พรรคชาติไทยพัฒนามีการคัดสรรมาตามกฏระเบียบที่กำหนดทุกข้อ และเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดกับประชาชนในพื้นที่

 

2.นโยบายหาเสียงของพรรคชาติไทยพัฒนา

พรรคชาติไทยพัฒนามีรากฐานมาจากพรรคชาติไทย พรรคชาติไทยพัฒนายึดถือระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีนโยบายหลัก 9 ด้าน โดยมีความพิเศษที่พรรคได้มีการแยกนโยบายเรื่องเกษตรออกมาจากเศรษฐกิจที่มีอยู่แล้ว

 

สาเหตุที่พรรคชาติไทยพัฒนาให้นโยบายด้านการเกษตรเป็นนโยบายข้อ 1 ไม่ใช่เพราะเน้นแต่เกษตรกร หากแต่การแก้ไขปัญหาที่ผ่านมาเรามองข้าม และไปเน้นเรื่องอุตสาหกรรม และเทคโนโลยีสารสนเทศมากเกินไป ซึ่งรูปแบบดังกล่าวเราไม่ได้เป็นผู้ผลิต แต่เป็นผู้ใช้ อยู่ตรงปลายน้ำ แต่สิ่งที่อยู่ต้นน้ำคือ อาหาร ที่เป็นภาคเกษตร ซึ่งเป็นรากของเราไม่ได้รับการแก้ปัญหาที่ถูกจุด ทั้งที่เราสามารถเติบโตและชนะได้ด้วยภาคเกษตร

 

เมื่อภาคเกษตรมีรายได้น้อย ราคาพืชผลตกต่ำ ส่งผลให้เศรษฐกิจภาพรวมฟุบทั้งหมด แม้จะส่งออกได้จำนวนมาก แต่เงินในกระเป๋าของประชาชนน้อยลง นั่นเพราะเศรษฐกิจตรงกลางต้องอาศัยผู้ซื้อ ซึ่งคือ เกษตรกร แต่เมื่อเกษตรกรมีกำลังซื้อน้อยลง เพราะราคาพืชผลไม่ดี ทำให้ฐานเราไม่แข็งแรง เหมือนกับเราอยู่ในโลกที่มีบ้านหลังใหญ่ เราจะแข็งแรงหลังเดียวไม่ได้ แต่รอบๆ บ้านต้องเป็นหมู่บ้านที่ทุกคนมีฐานะ พรรคชาติไทยพัฒนาจึงมุ่งเน้นเรื่องเกษตรเป็นหลัก ไม่ใช่เพื่อเกษตรอย่างเดียว แต่เพื่อเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ เพราะเมื่อเกษตรกรมีรายได้มากขึ้นจะมีอำนาจซื้อ จะนำไปสู่การจับจ่ายใช้สอยต่างๆ ส่งผลต่อทุกภาคส่วน

 

“ในเมื่อห่วงโซ่เศรษฐกิจ โซ่ข้อล่างสุดไม่มีกำลังซื้อ โซ่ใหญ่ก็จะขาดไปเรื่อยๆ ดังนั้น ต้องทำให้โซ่ข้อล่างแข็งแรงให้ได้ ถือเป็นการแก้ไขปัญหาระยะยาว”    

 

ทั้งนี้ เราเรียกนโยบายของพรรคชาติไทยพัฒนาว่า “คำมั่นสัญญา” พรรคคัดสรรและรวบรวมแต่เรื่องที่มีสำคัญในสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเป็นแผนปฏิบัติการเร่งด่วนชาติไทยพัฒนา 7 ด้าน ได้แก่ 1.ด้านเกษตร 2.ด้านการศึกษา 3.ด้านสังคม 4.ด้านสาธารณสุข 5.ด้านกระจายอำนาจ 6.ด้านท่องเที่ยว และ7.ด้านพัฒนาเมือง ซึ่งพรรคมีความพร้อมทุกๆ ด้าน

 

3.พรรคขนาดกลางในสนามเลือกตั้ง

พรรคชาติไทยพัฒนามีความมั่นใจว่า เราจะเป็นทางเลือกที่สามของประชาชน เนื่องจากเชื่อว่าเป็นพรรคที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน มีนายกรัฐมนตรีถึง 2 คน มีผลงานที่พิสูจน์มาแล้วมากมายในอดีต เป็นพรรคเก่าแก่ที่มีชื่อเสียง แต่ความคิดไม่เคยเก่า ทั้งนี้ เหตุผลที่พรรคชาติไทยพัฒนาเลือกจะเป็นพรรคขนาดกลาง เพราะต้องการเป็นพรรคที่เป็นเนื้อแท้ เสมือนนกขนสีเดียวกัน ไม่ได้ต่างฝูงต่างเผ่าแล้วเอามารวมกัน แต่มีอุดมการณ์และเป้าหมายเดียวกัน แล้วค่อยๆ เติบโตไปในอนาคต เปรียบเหมือนการเจริญเติบโตเหมือนไม้เนื้อแข็ง วงปีมันอาจจะแคบ เติบโตไม่รวดเร็วเท่าไรนัก แต่จะเป็นไม้เนื้อแข็งที่มีรากหยั่งลึก

 

การเมืองไทยปัจจุบันได้หลุดไปเป็นการเมืองสองขั้ว มีความขัดแย้งดำรงอยู่มากว่าสิบปี ทำให้เกิดความเสียหายขึ้นมาอย่างรุนแรงและยาวนาน อันส่งผลกระทบต่อทุกๆ ด้าน ประเทศติดหล่มอยู่กับการเมืองสองขั้วมาอย่างยาวนาน และไม่มีท่าทีว่าจะหลุดพ้นไปได้ พรรคชาติไทยพัฒนาเห็นว่า การมีพรรคการเมืองขนาดใหญ่ในขณะที่วัฒนธรรมประชาธิปไตยยังอ่อนแอ ยังก้าวข้ามความเป็นพรรคเป็นพวกกันไม่พ้น ถือเป็นอันตรายต่อประเทศ เพราะความขัดแย้งดังกล่าวพัฒนาไปสู่ความรุนแรง ดังนั้น การมีพรรคการเมืองขนาดกลางจะช่วยสร้างดุลยภาพตรงนี้ได้ ทำให้ไม่เกิดเดดล็อกทางการเมือง

 

“เพราะเมื่อมีการแบ่งเป็นสองขั้วแล้ว ไม่มีพรรคตรงกลางจะทำให้สถานการณ์เดินไปสู่จุดแตกหัก ไม่สามารถพูดคุยกันได้ ทำให้เป็นการเปิดช่องให้กองทัพเข้ามายึดอำนาจเพื่อจะคลี่คลายความขัดแย้ง ซึ่งเกิดมาแล้วหลายครั้ง จะเห็นว่าในอดีตกองทัพเข้ามาด้วยเหตุผลเรื่องปัญหาคอร์รัปชั่น แต่ระยะหลังที่ต้องเข้ามาเพราะมีเหตุมาจากความขัดแย้งทั้งสิ้น ทำให้เกิดผลกระทบกันไปหมดทุกฝ่าย ฉะนั้น การมีพรรคขนาดกลางเข้ามา จะช่วยลดความขัดแย้งที่แบ่งเป็นขั้วได้พอสมควรทีเดียว”

 

จากรัฐธรรมนูญที่ออกมาแบบมา เราประเมินว่า รัฐบาลชุดหน้าจะเป็นรัฐบาลผสม ด้านหนึ่งอาจมองว่า ทำให้การเมืองไม่พัฒนา เพราะไม่มีพรรคขนาดใหญ่ที่เสียงเกินครึ่ง แต่อีกด้านหนึ่งมีการมองว่า เพื่อลดความขัดแย้งการเมืองที่แบ่งขั้ว ดังนั้น เมื่อเป็นแบบนี้แล้วควรจะต้องเป็นรัฐบาลผสมที่ดีที่สุด และพรรคชาติไทยพัฒนาเป็นตัวเลือกที่มีประสบการณ์ ไม่มีความขัดแย้งกับใคร อยู่ในสถานะที่ไม่ด้อยกว่าใคร และเราคิดว่า ถึงเวลาที่เราทุกคนต้อง “ก้าวข้ามความขัดแย้ง ร่วมแรงปฏิรูปประเทศไทย” 

 

“ที่ผ่านมาหลักการที่ว่า การเมืองเสียงข้างมากเป็นฝ่ายบริหาร และเคารพเสียงข้างน้อยมันยังไม่เกิดในประเทศไทย ทำให้เสียงข้างน้อยไม่ยอมเวลาเสียงข้างมากตัดสินใจอะไรที่เกินเลยไปมาก และเมื่อไม่สามารถพูดคุยกันได้ เพราะมีการแบ่งเป็นสองขั้วจึงทำให้เกิดปัญหา หากมีพรรคการเมืองขนาดกลางมาเป็นส่วนผสมในรัฐบาลจะสามารถสร้างดุลยภาพทางการเมืองภายในรัฐบาลขึ้นได้ เพราะพรรคที่มีเสียงข้างมากในรัฐบาลจะต้องฟังพรรคขนาดกลางที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาล การจะกระทำการใดๆ จะต้องรักษาความคิดเห็นของพี่น้อง ประชาชนได้ จึงเชื่อว่า จะช่วยลดความขัดแย้งทางการเมืองได้มาก”

 

การเลือกตั้งครั้งนี้ยังมีความขัดแย้งคงอยู่พอควร พรรคชาติไทยพัฒนาไม่ใช่คู่ขัดแย้งของใคร จึงคิดว่าจะได้รับเลือกจากพี่น้องประชาชนที่อยากจะเห็นความสงบในบ้านเมือง เรามุ่งหวังเป็นทางออกตรงกลาง เสมือนน้ำเย็นที่มาดับความร้อน เราหวังว่า เราจะได้การสนับสนุนจากประชาชนที่ต้องการเห็นความสงบมากพอสมควร แต่จะเป็นจำนวนเท่าไรนั้น พรรคชาติไทยพัฒนามีหน้าที่ทำให้ดีที่สุด ลงไปทั่วทุกพื้นที่ในประเทศ นำเสนอนโยบายของพรรคกับประชาชน และอธิบายว่าเราดำเนินการแนวทางการเมืองอย่างไร ส่วนผลจะเป็นอย่างไรฝากไว้กับการตัดสินใจของประชาชน.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"