ประเทศไทยที่ไม่น่าจะเหมือนเดิม


เพิ่มเพื่อน    

      ใกล้จะถึงช่วงเข้าสู่เส้นชัยกันอีกไม่ช้า-ไม่นาน หรืออีกแค่ไม่กี่วันนับจากนี้...บรรยากาศการเมืองโดยรวมๆ ก็ยังไม่ถึงน่าวิตก กังวล มากมายซักเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะเมื่อ แรงกระเพื่อม ช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ทำท่าว่าจะหายๆ จางๆ ลดระดับลงไปได้รวดเร็วพอสมควร ทุกสิ่งทุกอย่างก็น่าจะกลับมาเข้าที่-เข้าทาง ไหลไปตามฉากสถานการณ์ซึ่งใครต่อใครได้ประเมินเอาไว้ก่อนล่วงหน้า อย่างไม่ถึงกับติดๆ-ขัดๆ อะไรมากมายนัก...

                                                                  --------------------------------------------------

      คือถึงช่วงจังหวะนี้...ก็คงขึ้นอยู่กับใบคะแนน ที่กรรมการจะรวบรวมหลังจากหมดยก 5 หรือหลังจากการเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม ผ่านไปแล้วแค่ไม่กี่ชั่วโมงนั่นแหละ ใครจะเป็นหมู่ เป็นจ่า เป็นสารวัตร คงไม่ต้องเสียเวลาคาดเดา คาดคะเน หรือไม่ต้องอาศัย โพล ของสำนักโน้น สำนักนี้ ที่ไม่ได้ถือเป็น ข้อเท็จจริง หรือ ความจริง ไปด้วยกันทั้งสิ้น เพราะต่างก็เป็นแค่การสำรวจ ตรวจสอบ เป็นแค่การ สุ่มตัวอย่าง ที่ไม่ได้มีการกำหนดมาตรฐานเอาไว้ให้แน่ชัด ว่าจะต้องเป็นสุ่มไก่ สุ่มปลา หรือสุ่มอะไรกันแน่ โดยส่วนใหญ่...หรือแทบทั้งหมดนั่นแหละ จึงออกไปทาง เดาสุ่ม ซะเป็นหลัก...

                                                                  ---------------------------------------------------

      แต่แม้จะเป็นการ เดาสุ่ม ก็คงพอช่วยให้เกิดการนึกภาพ ให้พอเห็นหัว เห็นหาง อยู่บ้าง...ว่าใครเป็นใคร อะไรเป็นอะไร ใครนอนมาแบบมีเกี้ยวหาม มีคานแบก มีผู้คนตามแห่ แซ่ซ้อง สรรเสริญ และใครที่ต้องนอนมาแบบมีพระสวดนำหน้า มีผู้คนถือดอกไม้จันทน์ ทยอยตามขึ้นมาบนเมรุ รอจังหวะสวดกุศลา-ธัมมา อกุศลา-ธัมมา แล้วเตรียมเผากันได้เลย ซึ่งโดยการเดาสุ่มของแต่ละสำนัก ถ้าว่ากันในแง่รวมๆ แล้ว คงไม่ถึงกับแตกต่างอะไรไปจากกันมากมาย แม้จะมีการ ดม ระหว่าง เดา อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับต้อง เชลียร์ ชนิดขนติดปาก ใครเป็นหัว ใครเป็นหาง จึงน่าจะพอเห็นๆ กันอยู่...

                                                                -------------------------------------------------------

      และที่น่าจะถือเป็นข้อสรุปได้อย่างชัดเจน...ก็คือบรรดา เครือข่ายตระกูลเผา ทั้งหลาย คงต้องหันไปรับบท เล่นบท ฝ่ายค้าน ภายหลังการเลือกตั้งอย่างมิพึงต้องสงสัย โอกาสที่ ลูกวัน หรือลูกที่ มึงรู้หรือเปล่าว่าพ่อกูเป็นใคร จะผงาดขึ้นเป็นรัฐมนตรง รัฐมนตรีอะไรกะเค้ามั่ง อย่างที่เคยหวังๆ มาก่อนหน้านี้ น่าจะปิดหีบ ปิดฉาก ลงไปเรียบโร้ยย์ย์ย์แล้ว เพราะนับจากพรรคในเครือข่ายตระกูลเผา อย่างพรรค ไทยรักษาชิน ได้ถูกยุบหนอ-พองหนอ ชนิดไม่มีวันได้ผุด-ได้เกิด ก็ถือเป็นอันเรียบโร้ยย์ย์ย์โรงเรียนทักษิณ และโรงเรียนวันเฉลิมควบคู่กันไปด้วย...

                                                                 -----------------------------------------------------

      เพราะการ แตกแบงก์พันไปเป็นแบงก์ร้อย นั้น...ถ้าหากรวมแล้วกลับมาครบเดิม หรืออาจช่วยเพิ่มเศษเหรียญ เศษสตางค์ ขึ้นมาได้บ้างเล็กน้อย ก็ต้องถือว่าเป็นไปตามแผน ตามวัตถุประสงค์ ที่ออกจะแยบยล แยบคาย เอามากๆ แต่ถ้าหากรวมแล้วไม่ว่าเศษเหรียญ เศษสตางค์ แบงก์สิบ แบงก์ร้อย ดันหายไปเป็นปึกๆ อันนี้...ก็ต้องถือว่าหมดแล้ว! ขาดทุนแล้ว! เจ๊งแล้ว! อย่างมิอาจปฏิเสธไปเป็นอื่น หรือพูดง่ายๆ ว่า...โอกาสจะรวมแล้วได้ถึง 250 เสียงขึ้นไป ย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วแน่ๆ แนวโน้มที่จะต้อง เก็บกระเป๋าก้าวลงบันได เดินก้มหน้าร้องไห้ ไม่รู้จะไปไหนดี จึงถือเป็นแนวโน้มที่ออกจะชัดเจน แจ่มแจ้ง จนแม้แต่ พ่อเหลิม ของ ลูกวัน ก็ชักจะเงียบเสียง ชักเฟด อะเวย์ ไม่ได้ทะลึ่งตึงตังเหมือนแบบเดิมๆ ก่อนหน้านี้...

                                                                   --------------------------------------------------------

      การที่บรรดา เครือข่ายตระกูลเผา ทั้งหลาย...มีแนวโน้มที่จะต้องรับบท เล่นบท เป็น ฝ่ายค้าน ค่อนข้างแน่ จึงทำให้ บรรยากาศการเมืองโดยรวม เลยไม่ถึงกับน่าวิตก กังวล มากมายซักเท่าไหร่ ดังที่ว่าเอาไว้แล้ว จะยุ่งๆ ยากๆ หรือยังต้องปวดเศียร เวียนเกล้า กันอยู่บ้าง ก็เหลือแต่เรื่องที่ใครจะรับบท เล่นบท เป็น ฝ่ายรัฐบาล หรือเป็น นายกรัฐมนตรี นั่นเอง ซึ่งถ้าหากต่างฝ่ายต่างออกไปทาง ขันแตก ไม่เหลือ ขันติ ติดปลายนวมเอาไว้เลย อันนี้นี่แหละ...ที่มันคงต้องเหนื่อยหน่อย และคงส่งผลให้การเมืองไทย ออกจะน่าเบื่อ น่าทุเรศ ไม่ต่างไปจากเดิม...

                                                                  ---------------------------------------------------------

      คือเป็นการเมืองที่ไม่อาจก้าวผ่าน ก้าวข้าม สิ่งที่เรียกๆ กันว่า ระบบทักษิณ ได้เลยแม้แต่น้อย...ทั้งที่ผ่านมาแล้วเป็นสิบๆ ปี ผ่านทศวรรษแห่งความมืดมนจนแทบมืดกันไปทั้งชาติ ทั้งที่เดินขบวนก็แล้ว! ปฏิวัติก็แล้ว! แต่ด้วยเหตุเพราะ ขันติ ของพวกนักการเมือง มันดันกลายเป็น ขันแตก ซะเป็นหลักใหญ่ เป็นความปรารถนา ความต้องการ โลกธรรมที่ตัวเองพึงพอใจ ไม่คิดจะอดทน อดกลั้น ให้กับโลกธรรมที่แตกต่างไปจากความต้องการของตัวเอง อันนี้นี่แหละ...ที่ยังคงถือเป็นช่องว่าง รูโหว่ พอที่จะส่งผลให้ทุกสิ่งทุกอย่างหวนกลับไปสู่จุดเดิมๆ หรือทำให้ ระบบทักษิณ สามารถหวนกลับคืน มีฤทธิ์ มีเดช ขึ้นมาได้อีกครั้ง...

                                                                    ----------------------------------------------------------

      แต่ถ้าช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา...จะด้วยการปฏิรูด แบบรูดไป-รูดมา ของคณะ คสช. หรือจะด้วยความน่าเบื่อ น่ารำคาญ ของ บิ๊กตู่ ก็แล้วแต่ สามารถเป็นตัวช่วยกระตุก ช่วยกระตุ้น ให้เกิดการสั่งสม วุฒิภาวะ ในหมู่บรรดา นักการเมือง ขึ้นมาได้มั่ง แนวโน้มการเมืองนับจากนี้เป็นต้นไป มันคงไม่น่าจะเหมือนเดิม หรือไม่หวนกลับไปสู่จุดเดิม อีกต่อไปแล้ว อะไรที่ออกจะน่าปวดเศียร เวียนเกล้า อยู่บ้าง ก็น่าจะพออาศัยยาหม่อง ยาดม ยาลม ถูๆ ทาๆ อมๆ ดมๆ สอดๆ เสียบๆ กันไปตามสภาพ หรือน่าจะคลี่คลายไปตาม ธรรมชาติทางการเมือง ได้ไม่ยากซ์ซ์ซ์...

                                                                   ---------------------------------------------------------

      ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Anon (อีกครั้ง...และอีกครั้ง)... Patience is the virtue most needed just when we run out of it.- ขันติธรรม-ความอดทน เป็นคุณสมบัติที่เรามักจะขาด โดยเฉพาะในยามที่เราต้องการมันอย่างที่สุด...

                                                                    ---------------------------------------------------------


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"