สัญญาณแรงถึง "เศรษฐี" ชี้ขาดพื้นที่สู้รบ "โซเชียลมีเดีย"


เพิ่มเพื่อน    

สถานการณ์การเมืองในขณะนี้คงยากปฏิเสธว่า “หลักการ” และ “เกม” เป็นเรื่องที่ทับซ้อนกันอยู่ทางการเมือง เมื่อนำสองส่วนมาผสมกัน เลยกลายเป็นพื้นที่สงครามของคนในสังคมที่มีความเห็นต่าง เริ่มปะทะทางความคิดเห็นกันอย่างรุนแรงมากขึ้น

พื้นที่สงครามการเมืองของประเทศไทย ที่ยกขบวนจากท้องถนนขึ้นมาอยู่ในโลกของ “โซเชียลมีเดีย” ไม่ได้แยกพื้นที่ของการเลือกขั้ว-แบ่งข้าง มาอยู่ในโลกเสมือนจริงอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่การเคลื่อนตัวของความขัดแย้งมีแนวโน้มจะหมุนเข้าสู่วัฏจักรเดิม ที่การเผชิญหน้าอาจกลับลงสู่ท้องถนนได้อีกครั้ง ภายใต้การขับเคลื่อนของผู้ที่เล่นเกมอำนาจในปัจจุบัน

วาทกรรม ฝ่ายประชาธิปไตยกับฝ่ายเผด็จการ ถูกป้อนสู่พื้นที่ของข่าวเพื่อใช้ในการต่อสู้กับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่มี "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ ภายใต้การจัดหมวดหมู่ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และกองทัพ เป็นฝ่ายเดียวกัน โดยมีตัวเร่งสถานการณ์เป็นภาพของคนในสถาบันหลักเข้ามาเป็นองค์ประกอบของการต่อรอง ตัดด้วยภาพของ "ทักษิณ ชินวัตร" ที่สื่อสารผ่านทวิตเตอร์เชิงสัญลักษณ์ ที่แปลความได้ว่า สู้ยิบตา

โต้กลับด้วยคำแถลงของ "บิ๊กแดง" พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ที่เชื่อมโยงปรากฏการณ์ทางเมืองที่เริ่มมีความเคลื่อนไหว ปลุกระดม ให้เกิดการเผชิญหน้าเริ่มออกมาเป็นระลอก

"หลายคนเป็นนักธุรกิจ พอเติบโตกันขึ้นมา มีเงินมีทองขึ้นมาก็เพราะแผ่นดินไทยหรือไม่ ผมชื่นชมเศรษฐี มีอำนาจ มีบารมี หลายคนที่ได้ผิดพลาดกระทำความผิดทุจริต คอร์รัปชันหรือโกงอะไรก็แล้วแต่ แต่เขาเหล่านั้นยอมรับกติกาของประเทศ ยอมรับกระบวนการยุติธรรมที่มันเกิดขึ้น ยอมรับว่าศาลของประเทศไทยได้ถูกตัดสินแล้วว่าเขาจะต้องถูกจำคุก หลายท่านต้องถูกเข้าจำคุกทั้งๆ ที่มีเงิน มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี แต่ท่านยอมรับกระบวนการยุติธรรม ...

..ผมต้องขอยกย่อง และหลายท่านก็ออกมันแล้ว มาใช้อย่างเสรีภาพ กลับมาอยู่กับครอบครัว นี่คือคนมีน้ำใจนักกีฬา คนที่ยอมรับกระบวนการตัดสิน หลายท่านมีเงินพร้อมที่จะหนีออกนอกประเทศ แต่ท่านยอมรับกระบวนการในการตัดสินของกระบวนการยุติธรรมไทย มิใช่ทำอะไรผิดแล้วก็บอกว่าตัดสินแบบนี้ยอมรับไม่ได้ ไม่เคยยอมรับกระบวนการ แล้วเราจะอยู่ได้อย่างไร ในเมื่อศาลสูง ศาลฎีกาเป็นผู้ทรงอำนาจด้านการยุติธรรมสูงสุดของประเทศ"

เมื่อเกมของ "เสียงประชาชน" เป็นต่อให้กับพรรคเครือข่ายเศรษฐี การขับเคลื่อนของ กกต.ในระหว่างนี้จึงตกอยู่ภายใต้เงื่อนไขของห้วงเวลาและความกดดันจากสังคม

การเคลื่อนตัวของกองทัพที่เริ่มต้นจากการที่มูลนิธิโรงเรียนเตรียมทหารถอดชื่อของ "ทักษิณ" ออกจากทำเนียบศิษย์เก่าดีเด่นด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่สามารถรักษาเกียรติแห่งรางวัลไว้ได้ ด้วยการกระทำที่ไม่รู้ที่สูงที่ต่ำ จาบจ้วง ตามมาด้วยพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ริบเครื่องเครื่องราชฯ ตามมาติดๆ เป็น "สัญลักษณ์" ที่ทุกคนรู้ดีว่าหมายความว่าอย่างไร

การออกมาแถลงเพื่อแสดงท่าทีของ "บิ๊กแดง" พล.อ.อภิรัชต์ ที่กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ ในโอกาสครบรอบ 112 ปี จึงตอกย้ำในเรื่องการทำหน้าที่ของกองทัพในการรักษาสถาบันกษัตริย์ ประโยคอย่าง ซ้ายจัด-ดัดจริต ซ้ายตกขอบ ไปเรียนต่างประเทศมาแล้วคิดจะเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง จึงถูกงัดขึ้นมาเป็นอาวุธสำคัญ

ตอกย้ำหลังจากคลิปการพูดของ "ปิยบุตร แสงกนกกุล" ที่เกี่ยวข้องกับระบอบการปกครอง ถูกปล่อยออกมาไม่นาน รวมถึงคดีความของ "ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" ที่ถูกขับเคลื่อนให้เห็นผลทางปฏิบัติ

เลยไปถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่มล่ารายชื่อถอดถอน กกต. การปลุกให้ขบวนการนิสิต นักศึกษา ให้ออกมาต่อต้านเผด็จการ เลยเถิดไปถึงภาพในวังวนเดิม ทั้งตุลาวิปโยค-พฤษภาทมิฬ ที่เผด็จการทหารถือปืนออกมายิงเยาวชนผู้บริสุทธิ์

เป็นบทเรียนที่ทหารต้องเห็นถึง "ผลลัพธ์" อยู่แล้วว่าจะนำไปสู่จุดไหน!!!

การแสดงบทบาทของผู้นำกองทัพ ในฐานะผู้ปกป้องสถาบันในยุคนี้ จึงต้องหลีกเลี่ยงการนำไปสู่สถานการณ์ "ขวาพิฆาตซ้าย" ในอดีต โดยใช้กำลัง-กฎหมาย บังคับให้เกิดการเผชิญหน้าด้วยความรุนแรง

แต่ใช้ "ข้อมูลข่าวสาร" ในโซเชียลมีเดีย เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความเข้าใจกับสังคม และเป็นตัวชี้ขาดในการแย่งชิงฐานมวลชนที่สนับสนุน ซึ่งกองทัพก็ "ไม่ถนัด" ในสนามต่อสู้ลักษณะนี้

"กองทัพมีจุดอ่อนในเรื่องของการใช้โซเชียล ในขณะที่สื่อบางชนิดหรือบางแบบสามารถที่จะเข้าใจและเข้าถึงจิตใจของ Generation อีก Generation หนึ่ง หรือคนยุคใหม่ซึ่งในการรับรู้ก็เพียงแต่จะให้คนรับรู้ในส่วนเช่นเดียวกับข่าว ที่ผมพูดออกไปยาวๆ แต่ไปตัดให้คนรู้เพียงสั้นๆ และปฏิเสธไม่ได้ว่าสื่อโซเชียลนั้นเป็นทรงอานุภาพยิ่งกว่าอาวุธที่กองทัพมีอยู่" พล.อ.อภิรัชต์กล่าว

ปฏิบัติการข่าวสาร หรือไอโอ ที่ไม่ได้มีเฉพาะแต่กองทัพ แต่พรรคการเมืองยุคใหม่ก็ใช้แนวทางนี้ในการแข่งขันทางการเมือง ผ่านโซเชียลมีเดีย เพื่อผลิตซ้ำ สร้างภาพจำขายภาพลักษณ์ของ "ผลิตภัณฑ์" ผ่านการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ในเชิงบวก ผสมคลุกเคล้าเข้ากับอารมณ์น่าเห็นอกเห็นใจ ในฐานะผู้ที่ตกเป็นเบี้ยล่าง ถูกผู้มีอำนาจกดทับความยุติธรรม

ในขณะที่กองทัพ แม้จะมีการ "ไอโอ" แต่ก็ไม่สามารถเข้าไปถึงมวลชนได้ ด้วยวิธีการและวิธีคิด ในการมองเป้าหมาย ขาดการสื่อสารแบบเปิดกว้าง

การปรับยุทธวิธีของ "กองทัพ" ต่อจากนี้ จึงเป็นเรื่องที่น่าติดตามในการแย่งชิงกระแสในโซเชียลมีเดียกลับคืนมา เพราะต้องยอมรับว่า "กระแส" และ "มวลชน" มีส่วนสำคัญในชัยชนะของพื้นที่ทางการเมือง

จากกระแสติดแฮทแท็ก "ทวิตเตอร์" ว่า ซ้ายจัดดัดจริต เมื่อวันจันทร์ ที่ติดอันดับยอดฮิตในกระทู้การเมือง แต่คล้อยหลังวันเดียว เมื่อเกิดปรากฏการณ์ "รุก" ทางคดีกับ "ธนาธร" ปรากฏว่าแฮทแท็ก "เซฟธนาธร" ก็กลับมาติดอันดับยอดฮิตขึ้นมาทันที

จะด้วยธรรมชาติของสังคมที่ "สงสาร" ผู้ถูกกระทำจากผู้ถืออำนาจรัฐ หรือเป็นเรื่องทางเทคนิคที่ทำให้กระแสดังกล่าวกลับมาอีกครั้ง แต่การยึดกุมพื้นที่ในโซเชียลมีเดีย จากแฟนคลับของเหล่าบรรดา "ฟิวเจอร์ริสต้า" ก็ทำให้กระแส "ธนาธร" กลับมา "ฟู" ได้อีกครั้ง

แนวรบในโลกโซเชียลมีเดีย จึงเป็นพื้นที่ที่ทรงพลังและทรงอานุภาพกว่าอาวุธของกองทัพ ตามที่ "บิ๊กแดง" มองเห็น และน่าจะเป็นจุดเปลี่ยนทางการเมืองในยุคเปลี่ยนผ่านนี้!!.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"