มายาซัง ฝนชังฟ้าแกล้ง


เพิ่มเพื่อน    

เมืองท่าโกเบ จากจุดเชื่อมระหว่างเคเบิลคาร์และรถกระเช้า ทางขึ้นยอดเขามายา ภูเขาร็อคโค

เสียงเก็บกระเป๋าของแขกร่วมห้องดอร์ม ทั้งเสียงถุงพลาสติกใส่ของและเสียงซิปรูดกระเป๋าทำให้ต้องตื่นตั้งแต่เช้า จากนั้นก็หลับและตื่นใหม่จากเสียงเดียวกันอีกสาม-สี่รอบ

ตอนตื่นเพราะเสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้เวลา 10 โมงเช้า ผมนึกว่าแขกทั้งหมดที่มีอยู่ประมาณ10 คน จะออกไปจากห้องหมดแล้วเพราะเวลาที่ได้ยินเสียงเก็บของแต่ละรอบนั้นยาวนานจนรู้สึกเหมือนว่าในห้องเวลานี้คงจะเหลือแค่ผมและเพื่อนร่วมทาง

พอลงมาจากเตียงชั้นสอง เห็นมีแขกในห้องอีกห้า-หกคน บางคนผมเจอในบาร์ของโฮสเทลเมื่อคืนนี้แล้ว เลยกล่าวอรุณสวัสด์ต่อกัน คนที่ยังไม่เคยเห็นหน้าก็กล่าวทักทายด้วย

เราอาบน้ำและเก็บกระเป๋าเสร็จตอน 11 โมง เวลาเช็กเอาต์พอดี แต่ก็ยังกินบะหมี่ถ้วยที่ซื้อตุนไว้ตั้งแต่เมื่อคืนหลังจากโดนแจ๊สบาร์แห่งถนนอิคุตะปล้นไปหลายพันเยน ตามด้วยกาแฟซองราคา 100 เยนของโฮสเทลที่วางไว้ให้เราจ่ายเงินโดยหย่อนลงโถใสใบเล็กด้วยตัวเอง กาแฟเป็นแบบดริปผ่านกระดาษกรอง จับมากางปีกเกาะกับขอบถ้วยแล้วรินน้ำร้อนลงไป ค่อยๆ กะปริมาณไม่ให้น้ำร้อนทะลักล้นขอบกระดาษกรอง คอยให้น้ำกาแฟค่อยๆ ซึมลงสู่ถ้วย แล้วเติมน้ำร้อนลงไปอีก ทำอย่างนี้สาม-สี่รอบก่อนจิบดื่ม รสชาติที่ออกมาก็ช่างสมราคา 100 เยน   

สถานีเคเบิลคาร์ขึ้นยอดเขามายา ภูเขาร็อคโค เมืองโกเ

โฮสเทลแห่งนี้ผมไม่เห็นมีที่ฝากกระเป๋า ถามหนุ่มฟินแลนด์ที่เข้ามาร่วมโต๊ะกับเราว่าจะฝากกระเป๋าไว้ตรงไหนได้บ้าง เขาแนะว่า “วางไว้ในครัวนี่แหละ โฮสเทลไม่เรื่องมาก”

หนุ่มฟินแลนด์มีแผนจะเดินทางต่อไปยังโตเกียวในอีกวัน-สองวันนี้ แต่ซากุระในโตเกียวซึ่งอยู่ในภูมิภาคคันโตพร้อมใจกันบานสะพรั่งพร้อมๆ กับภูมิภาคคันไซ กรุงโตเกียวก็เลยเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว ราคาที่พักพุ่งสูง เขาเลยรออยู่ที่โกเบก่อน แถวนี้ก็มีจุดชมซากุระหลายแห่ง แต่ที่งามไม่แพ้ใครต้องยกให้ปราสาทฮิเมจิ นั่งรถไฟไปไม่ถึงชั่วโมง

เราทิ้งกุญแจลงในกล่องเช็กเอาต์บริเวณประตูด้านข้างของโฮสเทลแล้วเปิดประตูออกไป สายฝนโปรยลงมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ต้องรีบเอาฮูดของแจ๊กเก็ตขึ้นมาปิดหัว อากาศก็เย็น ไม่น่าจะถึง 10องศา

ผมเปิดแผนที่กูเกิลเพื่อจะเดินไปยังป้ายรถเมล์ที่จะไปส่งเราที่สถานีเคเบิลคาร์เพื่อขึ้นเขามายา แผนที่บอกเลขสายแก่เราด้วยคือ 18 และจะเข้าจอดในเวลา 12.47 น. แต่บอกผิดจุด มีสายหนึ่งเข้ามาจอด รถเมล์เปิดประตูกลางรถผมก็เลยโผล่หน้าเข้าไปถามเล่นๆ ว่าไปมายาซังหรือเปล่า ลุงคนขับบอกว่าไม่ได้ไป ผมขอโทษและขอบคุณ ลุงปิดประตูกลาง เปิดประตูหน้าแล้วมีเสียงสัญญาณออกมาจากลำโพงรถ ผมคิดว่าแกคงต้องการพูดกับผมก็เลยเดินไปด้านหน้า แกชี้ไปที่สี่แยกรูปร่างแปลกข้างหน้า ให้เลี้ยวซ้ายแล้วจะเจอป้ายรถเมล์ สาย 18 จะผ่านตรงนั้น ผมเห็นสาย 18 ติดไฟแดงอยู่พอดี เรารีบวิ่งไปถึงป้ายก่อนรถเมล์เข้าจอดชั่วอึดใจ

เมืองท่าโกเบจากรถกระเช้า วันที่ฟ้าไม่เป็นใจ

รถเมล์วิ่งไปยังสถานีชิน-โกเบ ส่งและรับคน ช่วงท้ายๆ เลี้ยวผ่านซอกซอยแคบๆ หลายครั้ง จอดรวมกันประมาณ 10 ป้ายก็ถึง Maya Cable Car Station ผมไม่มีเศษเหรียญพอดีสำหรับค่าโดยสาร230 เยน ก็ต้องใส่เหรียญ 500 เยนลงไปในเครื่องแลกเหรียญข้างๆ คนขับ แล้วนำเหรียญพวกนั้นและเหรียญสิบที่มีอยู่ไปใส่ในเครื่องจ่ายค่าโดยสารอีกที

เราเข้าไปซื้อตั๋วเคเบิลคาร์ (รถราง) และโรปเวย์ (รถกระเช้า) ที่มีสถานีเชื่อมอยู่ตรงกลางเพื่อจะขึ้นไปให้ถึงจุดชมวิวที่สวยที่สุดด้านบน ค่าโดยสารของตั๋วทั้งสองรวมกัน 1,540 เยน ตั๋วเขียนว่า Kobe Maya Cable & Ropeway บางคนจะซื้อแยกก็ได้ โดยอาจจะเดินเท้าขึ้นไปครึ่งทางแล้วค่อยซื้อเฉพาะตั๋วรถกระเช้า หรือจะซื้อเฉพาะเคเบิลคาร์แล้วค่อยเดินจากสถานีรถกระเช้าขึ้นไปบนยอดเขามายาเอง

Maya Cable Car นั้นเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1925 ส่วน Maya Ropeway เริ่มเปิดเมื่อปี ค.ศ. 1955 มีการหยุดให้บริการไปถึง 6 ปีหลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เรียกว่าGreat Hanshin Earthquake

ใจผมนั้นอยากจะเดินสักครึ่งหนึ่ง แต่เพื่อนร่วมทางไม่เห็นด้วย เขากลัวจะป่วยเพราะอากาศค่อนข้างเย็น และฝนก็มีทีท่าว่าจะตกลงมาอีก

เคเบิลคาร์ออกจากสถานีทุกๆ 20 นาที เจ้าหน้าที่สุภาพสตรีร่างจิ๋วขอตั๋วไปประทับตราแล้วเชิญให้เราขึ้นไปนั่งบนรถราง ขนาดความจุประมาณ 30 คนหรือมากกว่า แต่เที่ยวนี้นอกจากเราแล้วก็ยังมีสาวญี่ปุ่นอีกแค่ 2 คนเท่านั้น เจ้าหน้าที่แสตมป์ตั๋วกลายมาเป็นพลขับ ซึ่งเราก็รู้ว่าระบบเดินรถถูกควบคุมจากคอมพิวเตอร์ส่วนกลาง

สถานีด้านบนของรถกระเช้า และ Maya View Terrace 702

รางของเคเบิลคาร์นี้เป็นแบบรางเดี่ยว รถค่อยๆ ไต่ขึ้นไป มีเสียงบรรยายข้อมูลออกมาจากลำโพงทั้งภาษาญี่ปุ่นและอังกฤษ ซากุระบานให้เห็นอยู่ประปรายทั้ง 2 ฝั่ง รถวิ่งผ่านอุโมงค์ไม่ยาวนัก พอโผล่ออกมาก็เห็นเคเบิลคาร์อีกคันกำลังพุ่งสวนมา ทำเอาผมตกใจ

รถทั้งสองคันอยู่ห่างกันประมาณ 20 เมตรเท่านั้น ก่อนที่รถของเราจะเลี้ยวตามรางโค้งไปทางด้านขวา คันที่พุ่งลงมาก็เลี้ยวไปอีกทาง รถบีบแตรหยอกล้อกัน ผู้โดยสารของทั้งสองคันก็โบกไม้โบกมือให้กันด้วย แล้วรถทั้งสองคันก็เข้าสู่เส้นทางตรงอีกครั้ง คันหนึ่งขึ้นเขา อีกคันวิ่งลง

เคเบิลคาร์สิ้นสุดหน้าที่ที่สถานี Niji no Eki ผมขอบคุณและลาผู้ควบคุมสาว เดินจากสถานีของเคเบิลคาร์ไปยังสถานีของรถกระเช้า มีเวลาอีก 5 นาทีกว่ารถกระเช้าจะออก ระหว่างสถานีของทั้งสองยานพาหนะมีจุดชมวิว ผมจึงวิ่งฝ่าลมเย็นออกไปถ่ายภาพเมืองโกเบและอ่าวโอซาก้าเบื้องล่าง ฟ้ายังครึ้มอยู่มาก แต่พอมองเห็น

เมื่อได้เวลาผมก็วิ่งกลับเข้าไปยังสถานีรถกระเช้า เจ้าหน้าที่หนุ่มใหญ่ประทับตราลงในตั๋วแล้วให้เราขึ้นกระเช้า อีกประมาณ 1 นาทีต่อมากระเช้าก็เคลื่อนที่ โดยไม่มีผู้คุมอยู่ในนี้  

กระเช้ามีขนาดเล็กกว่าเคเบิลคาร์ประมาณ 3 เท่า มีก้อนอิฐถ่วงน้ำหนักอยู่ตามมุมห้า-หกก้อน มีเก้าอี้ให้นั่งได้มุมละ 2 คน สองสาวนั่งที่มุมหนึ่ง ผมและเพื่อนร่วมทางนั่งอยู่อีกมุม

เก้าอี้วงเสวนาปริศนา ใกล้ๆ จุดชมวิว Kikuseidai  

เมื่อมาได้เกือบครึ่งทาง กระเช้าเกิดอาการโคลงเคลง สองสาวญี่ปุ่นตกใจกลัว ส่งเสียงร้องกรี๊ด ทำให้สิ่งที่คิดว่าไม่มีอะไรก็กลายเป็นความน่าวิตกขึ้น ฝ่ายเพื่อนร่วมทางของผมถึงขั้นพูดว่า“รู้งี้เดินขึ้นมาดีกว่า”   

ผมคิดว่าคงเป็นเพราะลมที่พัดมาจากทะเล เมื่อถึงจุดหนึ่งของความสูง ลมก็ปะทะกับกระเช้าพอดี มีกระเช้าสวนลงไป ผู้โดยสารในคันของเราอยากได้กำลังใจจากผู้ที่ขึ้นมาก่อน แต่อีกคันไม่มีผู้โดยสาร 

โชคดีที่การเดินทางด้วยกระเช้ากินเวลาไม่นานเท่าไหร่ เรามาถึงสถานี Hoshi no Eki ปลายทางของการขึ้นมายาซัง ฝนลงเม็ดต้อนรับ เช่นเดียวกับสายลมแรง  

สถานีปลายทางนี้มีอาคารสำนักงานเล็กๆ ชั้นล่างมีห้องน้ำและห้องพักคอย ชั้นสองมีร้านอาหารชื่อ Café 702 และมีระเบียงยื่นออกไปด้านนอกชื่อ Maya View Terrace 702 สำหรับมองวิวที่ถูกขนานนามว่าเป็น 1 ใน 3 “10 Million Dollar View” ของญี่ปุ่น ผมเข้าใจว่าเลข 702 น่าจะมาจาก 702 เมตร ความสูงของร้านอาหาร เนื่องจากความสูงของยอดเขามายาจุดที่สูงที่สุดนั้นอยู่ที่ 698 เมตรจากระดับน้ำทะเล    

มายาซัง เป็นยอดเขาสำคัญของภูเขาร็อคโคที่มีความยาวรวม 56 กิโลเมตร ทอดแนวทิศตะวันออก-ตะวันตก เป็นภูเขายอดนิยมสำหรับเดินป่า-ปีนเขาของภูมิภาคคันไซ ถือเป็นสัญลักษณ์ร่วมของโอซาก้าและโกเบเลยทีเดียว จุดที่สูงที่สุดวัดได้ 931 เมตร

ยอดเขานี้มีความเกี่ยวข้องกับวัด “เทนโจ-จิ” ที่อยู่ไม่ไกลออกไป เชื่อว่าก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ.646 โดยภิกษุโฮโด ตามบัญชาของจักรพรรดิโคโตคุ จากนั้นร้อยกว่าปีต่อมาท่านโคโบไดชิกลับจากศึกษาพระพุทธศาสนาบนแผ่นดินราชวงศ์ถัง ได้นำรูปปั้นของพระนางสิริมหามายา หรือที่เรียกกันอย่างสามัญว่า “มายา” กลับมาประดิษฐานที่นี่ เชื่อว่าสตรีตั้งครรภ์ที่เคารพบูชา บุตรจะปลอดภัยและมีสุขภาพดี ชื่อเขายอดเขามายาจึงได้ถูกเรียกขานตามนี้ 

วิวเมืองโกเบในวันฟ้าหม่นฝนพรำ จากจุดชมวิว Kikuseidai

วัดเทนโจ-จิ เคยอยู่ใกล้ๆ ยอดเขามายา แต่ถูกวางเพลิงวอดวายลงในปี ค.ศ. 1975 เมื่อสร้างใหม่ในปีถัดมาจึงขยับขึ้นไปทางทิศเหนือ ส่วนประติมากรรมพระนางสิริมหามายาก็สั่งปั้นใหม่จากช่างในเมืองชัยปูร์ ประเทศอินเดีย โดยชาวอินเดียในโกเบช่วยกันออกทุน

สถานที่น่าสนใจบนภูเขาร็อคโคยังมีอีกมาก เช่น ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ที่สร้างแบบสวิสเซอร์แลนด์ มีทั้งแกะ ม้า และวัว, อุทยานมายา พื้นที่ประมาณ 2 เฮคตาร์ มีบ่อน้ำใสสะอาดที่ตาน้ำผุดขึ้นตลอดเวลา, สวนพฤกษศาสตร์ร็อคโคอัลไพน์, สวนสมุนไพรขนาดใหญ่ที่มีรถกระเช้าของตัวเองสำหรับขึ้น-ลง, บ่อน้ำร้อน Arima Onsen ที่โด่งดัง, โรงแรมอย่างน้อย 2 แห่ง, กอล์ฟคลับ ฯลฯ หากว่ามีเวลา วันหนึ่งก็ไม่เพียงพอสำหรับการเยี่ยมชมให้ทั่ว แม้ว่าบางช่วงจะมีรถบัสและรถกระเช้าให้บริการก็ตาม   

ผมเดินไปที่จุดชมวิว Kikuseidai Observation Deck มีป้ายเขียนบอกความสูง 690 เมตร สร้างจากไม้ ตั้งอยู่ริมผา แต่ลมพัดแรงมาก ฟ้ายิ่งครึ้มหนักขึ้น มองเห็นวิวเมืองโกเบหม่นๆ จางๆ ส่วนอ่าวโอซาก้านั้นเมฆหมอกคลุมไว้หมด ไม่ทันจะถ่ายรูปได้ถนัดถนี่ ฝนก็สาดทะแยงลงมาตามแรงลม เกินต้านทาน ผมวิ่งกลับไปยังสถานีรถกระเช้า ขึ้นชั้นสอง เปิดประตูเข้าร้าน Café 702

ดูเมนูแล้วสั่งข้าวแกงกะหรี่ไก่พร้อมชาเขียว 1 กา เดินไปนั่งที่ริมกระจก มีโต๊ะแบบเคาน์เตอร์บาร์วางชิดยาวไปกับกระจก ตอนนี้วิวเมืองโกเบก็มองแทบไม่เห็น เพื่อนร่วมทางของผมวิ่งมาจากไหนไม่รู้ เข้ามานั่งข้างๆ เดินไปสั่งข้าวหน้าหมูทงคัตสึ น้ำเปล่ามีอยู่แล้วในเหยือกที่ตั้งอยู่ทั่วร้านพร้อมแก้วกระดาษ ผมเทชาร้อนให้เขาด้วยเพื่อดับความหนาว

รถกระเช้ากำลังจะลงจากยอดเขามายา

กินมื้อเที่ยงเสร็จไปนานแล้วฝนก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เราเลยตัดสินใจไปเข้าคิวโดยสารรถกระเช้าที่ออกทุกๆ 20 นาที (เช่นเดียวกับเคเบิลคาร์) เจ้าหน้าที่ประทับตราลงในตั๋ว แล้วเราก็เข้าไปยืนในรถกระเช้า ผมนับได้ 13 คน ถือว่าเหลือเฟือสำหรับพิกัดน้ำหนักที่รองรับได้ 1,400 กิโลกรัม

ทัศนวิสัยที่มองออกไปจากกระจกมีไม่ถึง 10 เมตร ส่วนฝั่งที่มุ่งหน้าลงไปซึ่งหันเข้าหาลม เม็ดฝนบังมองไม่เห็นอะไรเลย ไม่มีใครกรี๊ดกราดเพราะกระเช้าไม่เหวี่ยงโคลงเพลง อีกทั้งมองความน่ากลัวเบื้องล่างไม่เห็นด้วย

เปลี่ยนจากรถกระเช้าเป็นเคเบิลคาร์ ต้องวิ่งฝ่าฝนอีกรอบ คราวนี้เมื่อถึงจุดสับราง รถของเราเลี้ยวไปทางซ้ายผิดจากขาขึ้น โชคดีที่อีกคันเลี้ยวไปทางขวา หันไปดูคันนั้นมีแต่เจ้าหน้าที่ควบคุมรถ ไม่มีผู้โดยสาร

ฝนกระหน่ำจนไม่มีวิวโกเบจากรถกระเช้า

ลงมาถึงสถานีมายาเคเบิลคาร์ ผมเห็นรถเมล์สาย 18 จอดอยู่พอดีแต่เพื่อนร่วมทางของผมเดินไปเข้าห้องน้ำทำให้กลับมาขึ้นรถไม่ทัน เราต้องรออีก 30 นาทีกว่าคันใหม่จะมา ที่นั่งพักบริเวณนี้เป็นเหมือนช่องลม อากาศหนาวขึ้นทุกที ปากสั่นฟันกระทบ มือเย็นเฉียบเกือบจะแข็ง แจ็กเก็ตเริ่มเอาไม่อยู่ แล้วผมก็นึกสงสัยว่าเราจะรอด 30 นาทีนี้ไปได้อย่างไร

ในความโชคร้ายหลายอย่าง ผมนึกขึ้นได้ว่ากระเป๋าเป้มี Chita ซิงเกิลมอลต์ขวดเล็กอยู่ข้างใน หยิบออกมาเปิดจิบอย่างรวดเร็ว แล้วส่งให้เพื่อนร่วมทางที่ออกอาการหนาวสั่นอยู่เช่นกัน

ปกติเขาไม่ดื่มเพียว แต่ก็ไม่อยากป่วยหรือหนาวตาย.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"