แรงสั่นสะเทือน ก่อน 9 พฤษภา จับตา กกต.-ที่นั่ง ส.ส.ชี้ชะตา “นายกฯ”


เพิ่มเพื่อน    

 

หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีความเห็นด้วยเสียงข้างมาก เมื่อวันที่ 24 เมษายนที่ผ่านมา ไม่รับคำร้องของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าจะสามารถคำนวณหาจำนวน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.2561 มาตรา 128 ได้หรือไม่

และการดำเนินการดังกล่าวชอบด้วยรัฐธรรมนูญมาตรา 91 หรือไม่

มติของศาลรัฐธรรมนูญระบุว่า เป็นหน้าที่และอำนาจของ กกต.ต้องกระทำหลังจากมี

การประกาศผลการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งแล้ว แต่ข้อเท็จจริงตามคำร้องยังไม่ปรากฏว่า กกต.ได้ใช้หน้าที่และอำนาจตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายบัญญัติ จึงยังไม่ถือว่ามีปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของ กกต.เกิดขึ้นแล้ว

                คำร้องของ กกต.ในส่วนนี้จึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะรับไว้พิจาร ณาวินิจฉัยได้ อาการหน้าแตกของ กกต.จนหมอไม่รับเย็บครั้งนี้ มีทั้งคนที่เห็นใจและคนที่สมน้ำหน้า ไม่ว่าใครและพรรคไหนจะคิดอย่างไรกับ กกต. แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ การบริหารจัดการการเลือกตั้งของ กกต.ที่ผ่านมานั้นไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร

พูดง่ายๆ ว่า สอบตก..

เป็นไปได้อย่างไร จนถึงบัดนี้ล่วงเลยวันเลือกตั้งมาเดือนกว่า แต่ กกต.ยังไม่ประกาศ

รับรองผลการเลือกตั้งของ ส.ส.เขต จำนวน 350 เขต หรือ 350 คน และยังหาข้อยุติไม่ได้ว่าวิธีการคำนวณคะแนนเสียงของประชาชนที่ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งด้วยบัตรใบเดียว เพื่อหาจำนวน ส.ส.ที่พึงมีของแต่ละพรรคเพื่อจะแบ่งสันปันส่วนของให้ผู้สมัครในบัญชีรายชื่อควรจะคำนวณอย่างไร?

เมื่อศาลรัฐธรรมนูญตีกลับคำร้อง กกต.ควรจะรีบประกาศว่าจะคำนวณคะแนนเสียงแบบใด พร้อมกับอธิบายให้กระจ่างเกี่ยวกับข้อความที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญ มาตรา 91 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 128

ไม่ว่าจะใช้สูตรคำนวณแบบไหน ก็ไม่แคล้วที่จะถูกฝ่ายไม่เห็นด้วยฟ้องร้องดำเนินคดี

เรื่องที่ดูจะเป็น “เผือกร้อน” สำหรับ กกต.ไม่แพ้กันคือ การมีมติเมื่อวันที่ 23 เมษายน เพิกถอนสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้ง หรือการให้ใบส้ม นายสุรพล เกียรติไชยากร ว่าที่ ส.ส.จังหวัดเชียงใหม่ เขต 8 พรรคเพื่อไทย เพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง 1 ปี

ส่งผลให้พรรคเพื่อไทยลดจำนวน ส.ส.ลง 1 คน ส่วน 52,165 คะแนนที่หายวับไปทันทีนั้น ไม่กระทบกับบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย เพราะจำนวน ส.ส.เขตที่ได้เกินกว่า ส.ส.พึงมีไปแล้ว

แน่นอนว่า การถูกโต้แย้งจากพรรคเพื่อไทยก็จะดังขึ้น และรวมถึงการวินิจฉัยอื่นๆ ที่กระทบต่อจำนวน ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย  

รวมทั้งปัญหาการถือครองหุ้น / การโอนหุ้นของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ให้กับ นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้เป็นมารดา ที่กำลังถูกตรวจสอบจาก กกต.ว่าเข้าข่ายลักษณะต้องห้ามของการเป็นผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ กรณีนี้มีเงื่อนงำที่ต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอีกหลายยก

ซึ่ง นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ เคยเปิดแถลงแจกแจงรายละเอียดต่างๆ ไปแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถลบล้างความคลางแคลงใจของบางฝ่ายลงได้

อย่างไรก็ตาม นายธนาธรก็ยืนยันว่า กระทำไปถูกต้องตามแนวทางปฏิบัติ โดยจะเข้าชี้แจงต่อ กกต. วันที่ 30 เมษายนนี้ คาดว่าจะมีมวลชนที่ให้การสนับสนุนนายธนาธรเดินทางมาให้กำลังใจที่ กกต. เหมือนกับที่แห่กันไปต้อนรับที่สนามบินสุวรรณภูมิวันเดินทางกลับจากต่างประเทศ และก่อนหน้านี้ก็มีมวลชนไปให้กำลังใจนายปิยบุตรวันไปพบพนักงานสอบสวนที่ สน.ปทุมวัน

การสำแดงพลังของแฟนคลับนายธนาธร – นายปิยบุตร – พรรคอนาคตใหม่ เป็นปรากฏการณ์ที่มิได้แตกต่างไปจากในอดีต ซึ่งนายทักษิณ และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็เคยได้รับกำลังใจจากมวลชน แต่สุดท้ายมวลชนก็ไม่อาจช่วยให้รอดพ้นจากโทษทัณฑ์ไปได้

ย้อนกลับมาที่ นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต.และสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาตั้งประเด็นว่า กกต.ไม่มีอำนาจมาตรวจสอบชี้ผิดชี้ถูกเรื่องคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามผู้สมัคร เพราะเลยเวลาที่กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.กำหนดไว้

เผลอๆ กกต.จะซวยเพราะถูกฟ้องร้องดำเนินคดีกลับได้

นอกจากนี้ เรื่องการถือหุ้นและเป็นเจ้าของกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ นั้น นายสมชัยยังเตือนด้วยว่า ระวังจะเกิดโดมิโน เพราะมีผู้สมัครและผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่เป็นกรรมการ ถือหุ้นบริษัททั้งบริษัท จำกัด และบริษัท มหาชน (จำกัด) โดยที่ไม่รู้ว่า บริษัทได้แจ้งบริคณฑ์สนธิกับกรมทะเบียนการค้า ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ถึงวัตถุประสงค์ไว้ข้อหนึ่งของบริษัทในจำนวนหลายๆ ข้อว่าเพื่อดำเนินการกิจการสื่อสิ่งพิมพ์และสื่ออื่นๆ การประชาสัมพันธ์

ซึ่งจะเข้าข่ายลักษณะต้องห้ามทันที หากรัฐธรรมนูญและกฎหมายยังบัญญัติไว้แบบนี้ การตีความและการปฏิบัติของ กกต.เป็นแบบเถรตรง ไม่ยืดหยุ่น

                อย่างเช่นล่าสุด นายณรงค์ รุ่งธนวงศ์ หัวหน้าศูนย์ข้อมูลและสถิติ กองอำนวยการเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทย เดินทางเข้ายื่นหนังสือขอให้ กกต.ตรวจสอบคุณสมบัติของนายชาญวิทย์ วิภูศิริ ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขตเลือกตั้งที่ 15 พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับคะแนนเลือกตั้งเป็นอันดับที่ 1 เนื่องจากตรวจสอบเอกสารแผ่นพับหาเสียงที่ระบุเป็นผู้บริหารบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง ซึ่งสืบจากข้อมูลกรมธุรกิจการค้าและพาณิชย์ พบว่า นายชาญวิทย์ หรือผู้ถูกร้อง เป็นเจ้าของและผู้ถือหุ้นบริษัทที่จดทะเบียนประกอบกิจการหนังสือพิมพ์และสื่อมวลชน โดยพบว่าถือหุ้นในบริษัทดังกล่าว จำนวน 250 ล้านหุ้น และเป็นผู้มีอำนาจในการลงนามของบริษัทดังกล่าวด้วย

                ซึ่งก็ต้องดูว่า กกต.จะดำเนินการเรื่องนี้อย่างไร และมาตรฐานเดียวกับนายธนาธรหรือไม่

นอกจากนี้ ลักษณะต้องห้ามของผู้สมัครมิได้จำเพาะแต่ ส.ส. หากทว่ายังครอบคลุมไปถึงผู้สมัคร ส.ว. คณะรัฐมนตรี และผู้สมัครกรรมการองค์กรอิสระ ที่อาจออกฤทธิ์พ่นพิษไปถึงใครต่อใครอีกหลายคนให้ต้องพ้นสภาพจากการดำรงตำแหน่งได้เมื่อมีการตรวจสอบกันภายหลัง

อำนาจในมือของ กกต.นับจากนี้ไป ทั้งการเลือกวิธีการคำนวณคะแนนเสียง เพื่อแบ่งเก้าอี้ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อให้แต่ละพรรค พรรคเล็กที่ได้คะแนน 2 หมื่น 3 หมื่น จะได้ ส.ส.สัก 1 คนไหม การมีมติให้ใบเหลือง ใบส้ม ใบแดง ผู้สมัครพรรคใด ซึ่งจะส่งผลกระทบไม่ทางบวกก็ทางลบกับจำนวน ส.ส.ของแต่ละพรรค

จำนวน ส.ส.ที่จะพึงมีของพรรคต่างๆ กกต.ต้องประกาศผลก่อน 9 พฤษภาคม จะทำให้คะแนนก้ำกึ่ง ใกล้เคียง สูสีกันของขั้วเพื่อไทยกับขั้วพลังประชารัฐอาจพลิกผันหรือไม่

ส่วนจะพลิกผันไปให้ขั้วไหนได้เปรียบ มี ส.ส.เกินกว่ากึ่งหนึ่ง ก็น่าจะพอคาดการณ์  กันได้ไม่ยาก ณ นาทีนี้ เขียนชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ติดข้างฝาไว้ได้เลยว่า จะเป็น นายกรัฐมนตรีต่ออีกสมัย แต่กระนั้นก็ควรเผื่อใจไว้บ้างสักเล็กน้อยก็ดี กรณีมีสถานพิเศษเกิดขึ้นมา

ไม่ควรมองข้ามแรงกระเพื่อมจากการเคลื่อนไหวของมวลชน และนักการเมืองบาง

ส่วนที่เห็น กกต.ไม่เที่ยงธรรมและไม่เป็นอิสระจนไม่อาจยอมรับกันได้อีกต่อไป ซึ่งเป็นผลจาก วิกฤติศรัทธา ต่อ กกต.ที่สั่งสมมาตลอด ผสมเข้ากับกติกาเลือกตั้งบัตรใบเดียวที่คะแนนเสียง 2 ขั้วไล่เลี่ยกัน

การโหวตเลือกนายกฯ การฟอร์มคณะรัฐมนตรี การกำหนดนโยบาย การปฏิรูปประเทศ เป็นโจทย์ข้อใหญ่ที่มิใช่จะผ่านไปได้ง่ายๆ.

                                                                                                                ทีมข่าวการเมือง

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"