พท.ลามโจมตีศาลรับใช้เผด็จการ


เพิ่มเพื่อน    

  พรรคการเมืองรุมกระหน่ำ "บิ๊กตู่" ตัวปัญหาของประเทศ "นคร มาฉิม" ป้อง "ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์" ลามไปถึงศาล กระบวนการยุติธรรม ไม่เคยปกป้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน กลับไปรับใช้อำนาจเผด็จการ ทุกครั้งที่มีการปล้นอำนาจโดยคณะรัฐประหาร หรือว่าจะให้แผ่นดินนี้ต้องลุกเป็นไฟ และพินาศบรรลัย ด้าน "เกศปรียา" บอกถ้า "บิ๊กตู่" รักชาติต้องประกาศ ผมพอแล้ว เพราะนอกจากเศรษฐกิจฐานรากจะพังพินาศแล้ว ความขัดแย้งในสังคมบานปลายอีกด้วย

    เมื่อวันที่ 27 เมษายน นายนคร มาฉิม อดีต ส.ส.จังหวัดพิษณุโลก ผู้สมัคร ส.ส.สอบตก พรรคเพื่อไทย แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กว่า อำนาจตุลาการของไทยเป็นเครื่องมือให้ฝ่ายเผด็จการ และเป็นเครื่องจักรสังหารฝ่ายประชาธิปไตยหรือไม่ ตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เมื่อ 24 มิถุนายน 2475 สงครามการแย่งชิงอำนาจปกครองประเทศของ 2 ระบอบ คือ ประชาธิปไตยกับเผด็จการ มีการต่อสู้กันต่อเนื่องยาวนานถึงวันนี้
    เขาระบุว่า อำนาจฝ่ายนิติบัญญัติบางยุคสมัยระบอบประชาธิปไตยชนะ มีสภาที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ก็จะออกกฎหมายที่เป็นประชาธิปไตยและเป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากกว่าสภาเผด็จการที่มาจากการยึดอำนาจของคณะรัฐประหาร ซึ่งเขาก็จะออกกฎ กติกา เอื้อประโยชน์ให้ฝ่ายเผด็จการ มีกฎหมายที่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน
    อำนาจฝ่ายบริหารก็เช่นกัน ช่วงเวลาที่มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง รัฐบาลจะใส่ใจดูแลประชาชนมากกว่ารัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจที่ไม่แคร์ต่อความเป็นอยู่ของประชาชน สงคราม 2 ระบอบผลัดกันแพ้ชนะ ล้มลุกคลุกคลานมา 87 ปี แต่ส่วนใหญ่ฝ่ายเผด็จการจะชนะและปกครองประเทศยาวนานมากกว่า
    ส่วนอำนาจตุลาการ แทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ยังคงยึดติดกับระบอบเดิมแบบตั้งรับ มีกรอบ วัฒนธรรม แบบอนุรักษนิยมเดิม คนที่ได้ทำงานเป็นตุลาการผู้พิพากษาคดี ได้รับเกียรติสูงในสังคมไทย
    แต่ด้วยอำนาจศาล ตุลาการไม่ยึดโยงกับประชาชน เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบเดิม มาเป็นระบอบประชาธิปไตยภายใต้สงครามระหว่างประชาธิปไตยกับเผด็จการ เป็นที่น่าเสียใจอย่างยิ่งที่การถ่วงดุลอำนาจ ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการเสียดุลไป 
    "ฝ่ายตุลาการไม่เคยปกป้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและอำนาจอธิปไตยให้ประชาชนเลย ศาลและอำนาจฝ่ายตุลาการกลับไปรับใช้อำนาจเผด็จการ ทุกครั้งที่มีการยึดอำนาจปล้นอำนาจของประชาชนโดยคณะรัฐประหาร ตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน"
    นายนครอ้างว่า เริ่มต้นจากการที่ศาลฎีการับรองความชอบธรรมให้คณะรัฐประหารว่า เมื่อยึดอำนาจได้สำเร็จ กฎ กติกา คำสั่งของคณะรัฐประหาร หรือ กฎที่ออกมาจากสภาเผด็จการ ถือเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับกับคนไทยทุกคน และศาลอื่นๆ ที่มีขึ้นมาภายหลังก็ยึดถือแนวทางปฏิบัติแบบเดียวกันตลอดมา โดยอำนาจตุลาการไม่ได้คำนึงถึงที่มาว่า อำนาจที่ได้มาจากการยึดอำนาจไม่มีความชอบธรรมมาแต่ต้น ในทางทฤษฎีทางอาญาคณะรัฐประหารก็คือโจรกบฏ 
กฎของโจรกบฏ
    "เท่ากับว่าศาลและอำนาจตุลาการนำเอากฎของโจรกบฏมาใช้เป็นกฎหมายเพื่อกดขี่ข่มเหงปกครองประเทศและประชาชน โดยไม่เคยพิจารณาทบทวนแนวทางที่จะปกป้องคุ้มครอง สิทธิเสรีภาพและอำนาจของประชาชนเลยจนทุกวันนี้"
    เขาเผยว่า จากการศึกษาวิเคราะห์วิจัยในทางวิชาการทั้งในและต่างประเทศ มีความเห็นในทิศทางว่า หากเป็นคดีทางการเมือง โดยเฉพาะนักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย ที่ถูกกล่าวหา ถูกฟ้องร้องดำเนินคดี ศาลและกระบวนการยุติธรรมจะพิจารณาเเบบมีอคติ มองนักการเมืองและพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยเลวร้าย พิจารณาพิพากษาเพื่อทำลายฝ่ายประชาธิปไตย สกัดกั้นการเติบโตฝ่ายประชาธิปไตย 
    นายนครยกตัวอย่างเช่นการยุบพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคไทยรักษาชาติ และอีกหลายๆ พรรค คดีนักการเมือง เช่น อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อดีตรัฐมนตรี หรือแม้แต่อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เป็นผู้นำฝ่ายประชาธิปไตย เช่น นายกฯ ทักษิณ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ จะถูกไล่ล่า ตั้งธงเอาผิดให้จงได้ ทุกวิถีทาง โดยเฉพาะกฎหมายที่ออกมาจากสภาเผด็จการ ที่ให้พิจารณาคดีลับหลังจำเลย หรือแม้เอผิดย้อนหลัง ที่สากลโลกไม่ยอมรับ ขัดกับหลักนิติธรรม ผู้ถูกกล่าวหาฟ้องร้องก็ยากมากที่จะอธิบายให้สังคมเข้าใจ
    นักวิชาการหลายคนมองว่าบางคดีควรจะเป็นอำนาจของฝ่ายบริหาร ที่จะตัดสินใจให้เป็นไปตามนโยบาย เพื่อพัฒนาประเทศ และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประเทศ เช่น กรณีการที่ธนาคารส่งออกและนำเข้า หรือ Exim Bank ปล่อยกู้ให้ประเทศเมียนมา เป็นลักษณะการช่วยเหลือระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล และรัฐบาลไทยก็ไม่เสียหาย ได้รับเงินคืนทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยครบถ้วน แต่ก็ถูกพิพากษาลงโทษจำคุกอดีตนายกรัฐมนตรีถึง 3 ปี 
    "จึงเกิดความกังวลใจ ว่าอำนาจฝ่ายตุลาการมีอำนาจเหนือกว่าฝ่ายบริหาร ฝ่ายตุลาการกลายเป็นอุปสรรคขัดขวางการพัฒนาประเทศ เป็นเครื่องมือฝ่ายเผด็จการทำลายฝ่ายประชาธิปไตย ทักษิณ ยิ่งลักษณ์ เจอสภาพการณ์ทำลายทุกรูปแบบมาแล้ว เพราะถือธงนำฝ่ายประชาธิปไตย ที่ลุกขึ้นมาท้าทายระบอบเผด็จการ ธนาธร ปิยบุตร และอีกหลายคนกำลังประสบชะตากรรมแบบเดียวกัน"
    นายนครระบุว่า ฝ่ายเผด็จการที่ปล้นอำนาจยึดอำนาจประชาชนไป ส่วนใหญ่จะนิรโทษกรรมให้ตัวเอง และไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ ต่อการยึดอำนาจ การบริหารประเทศไม่ว่าจะเกิดความเสียหายมากเพียงใด เช่น นายพลบางคนที่อ้างว่าแหวนเพชรเป็นของมารดา นาฬิกา 25 เรือนยืมเพื่อนที่ตายแล้วมาใส่ หรือแม้แต่การถูกตั้งคำถามว่ามีเงินซุกซ่อนในประเทศสิงคโปร์มากถึง 75,000 ล้านบาท ก็ไม่มีใครกล้าพูดถึง ต่างขลาดกลัว สยบยอมก้มหน้ารับชะตากรรมกันหมด แม้แต่สื่อเองก็ขลาดกลัวที่จะพูดถึงเรื่องดังกล่าว
เครื่องมือเผด็จการ
    "ศาลและกระบวนการยุติธรรมของไทยจึงถูกสังคมโลกมองว่าไม่มีความเป็นธรรม มีอคติกับนักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย และเป็นเครื่องมือของฝ่ายเผด็จการ เป็นเครื่องจักรสังหารนักการเมืองและพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย ทำลายพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยรับใช้เผด็จการมาตลอด จนทุกวันนี้"
    ความสงสัยนี้จึงนำมาซึ่งความเสื่อม ความไม่ไว้วางใจ ไม่ยอมรับคำพิพากษาของศาล ไม่ยอมรับกระบวนกายุติธรรมของไทย ทั้งคนไทยและชาวต่างประเทศจำนวนไม่น้อย
    "ศาลและกระบวนการยุติธรรมของไทยจึงต้องพิสูจน์ตัวเองให้ได้ว่าการพิจารณาพิพากษาคดีนักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย ไม่มีอคติ ไม่เป็นเครื่องมือฝ่ายเผด็จการเพื่อใช้กฎหมายทำลายล้างอีกฝ่ายหนึ่ง แล้วนำความเชื่อมั่น ศรัทธากลับคืนมา หรือว่าจะให้แผ่นดินนี้ต้องลุกเป็นไฟ และพินาศบรรลัย เพราะศาลและกระบวนการยุติธรรมไร้ความยุติธรรม เป็นเครื่องมือรับใช้เผด็จการ ใช้กฎหมายทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม อันจะเป็นชนวนกลียุคจากอำนาจตุลาการที่เปลี่ยนตัวเองมารับใช้เผด็จการเสียแล้ว" นายนครระบุ
    นายเชาว์ มีขวด รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก หัวข้อ "ทุกข์ของพี่น้องเกษตรกรชาวสวนปาล์ม พลเอกประยุทธ์และพรรคพลังประชารัฐ ทำอะไร” ว่า ส่วนตัวขอเรียกร้องให้พรรคพลังประชารัฐและ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. และในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ในบัญชีพรรคพลังประชารัฐ ให้เร่งแก้ปัญหาราคาปาล์มตกต่ำ ทำตามสัญญาที่พรรคพลังประชารัฐให้ไว้กับประชาชนว่าจะดันราคาปาล์มให้เกินกิโลกรัมละ 5 บาท แม้ว่าพรรคพลังประชารัฐจะยังไม่ได้จัดตั้งรัฐบาลก็ตาม เพราะความทุกข์ของประชาชนรอไม่ได้ และเป็นหน้าที่ที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไข 
    เขาระบุว่า ขณะนี้ราคาปาล์มตกต่ำที่สุดในรอบ 20 ปี เหลือเพียงแค่ 1.8 บาท/กก. ต่อเนื่องเป็นเวลาเกือบเดือนแล้ว แต่ยังไม่เห็นความกระตือรือร้นของรัฐบาลที่จะเข้าไปแก้ปัญหาให้กับเกษตรกร หนำซ้ำยังมีแนวคิดไม่เข้าท่าจะใช้เงิน 15,000 ล้านบาทไปแจกให้กับคนที่อายุ 18 ปีขึ้นไปคนละ 1,500 บาท เพื่อไปเที่ยวเมืองรอง 55 จังหวัด ถือเป็นการใช้เงินแบบไม่ถูกจุด จัดลำดับความสำคัญในการใช้จ่ายไม่ถูกต้อง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ตลอด 5 ปีการบริหารประเทศของ คสช. ไม่สามารถฟื้นเศรษฐกิจฐานรากได้ 
    ไม่ว่าจะเติมเงินเข้าไปมากเท่าไหร่ก็ตาม เพราะเงินที่ถูกจ่ายออกไปกระจุกตัวอยู่กับบางกลุ่ม ไม่ได้กระจายไปสู่ประชาชนอย่างแท้จริง ใช้ประชาชนเป็นทางผ่านของเงินเท่านั้น ขณะที่รายได้ของประชาชนนอกจากไม่ได้เพิ่มขึ้นแล้ว ยังมีแต่จะลดลงด้วย ดังจะเห็นได้จากเกษตรกรชาวสวนยางและสวนปาล์ม นี่คือความล้มเหลวที่เป็นรูปธรรมในการบริหารเศรษฐกิจตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
ราคาพืชผลตกหมด
    นายเชาว์กล่าวอีกว่า ช่วงปลายปีที่ผ่านมารัฐบาล กำหนดมาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มด้วยการให้รับซื้อน้ำมันปาล์มดิบ 1.6 แสนตัน ไปใช้ผลิตไฟฟ้าและนำไปผลิตไบโอดีเซล รวมถึงสนับสนุนใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 20 ตั้งเป้าหมาย 15 ล้านลิตรต่อวันหรือ 6 แสนตันต่อปี แต่เป็นที่น่าสังเกตว่ามาตรการดังกล่าวไม่ได้ช่วยให้ราคาปาล์มน้ำมันปรับเพิ่มขึ้น แต่กลับลดลงอย่างต่อเนื่อง จากที่ในขณะนั้นราคาอยู่ที่ 2.70 ถึง 2.80 บาท ล่าสุดเหลือแค่ 1.80 บาทเท่านั้น 
    แสดงให้เห็นว่าการแก้ปัญหาของรัฐบาลไม่ได้ผล ในทางตรงกันข้าม ถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนหรือไม่ เช่น การชดเชยราคากิโลกรัมละ 3.20 บาท แต่ต้องไปขึ้นทะเบียนเกษตรกร กำหนดคุณภาพน้ำมัน 18 เปอร์เซ็นต์จึงจะขายได้ราคาดังกล่าว หากเปอร์เซ็นต่ำกว่าที่กำหนด ก็จะขายได้ในราคาเพียงแค่ 1.90-2.00 บาทเท่านั้น ในขณะที่โรงงานสกัดได้ส่วนต่างเต็มจำนวน จากที่รับซื้อจากเกษตรกร เช่นเดียวกับการกำหนดเงื่อนไขรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบเพื่อไปผลิตไฟฟ้าที่โรงไฟฟ้าบางปะกงในราคากิโลกรัมละ 18 บาท แต่ต้องขนส่งทางเรือเท่านั้น ซึ่งในประเทศนี้มีเอกชนเพียงรายเดียวที่มีเรือขนส่งน้ำมันปาล์ม 
    นายเชาว์ระบุว่า สิ่งเหล่านี้เป็นตัวอย่างสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลขาดความจริงใจในการแก้ปัญหาให้กับเกษตรกร และมาตรการที่ออกมายังส่อเค้าเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชน มากกว่าการแก้ปัญหาให้กับเกษตรกรด้วย ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องทบทวนและเร่งเข้าไปแก้ปัญหาเพื่อให้เกษตรกรอยู่ได้ อย่างน้อยควรจะพยุงราคาที่ 3.20 บาทต่อกิโลกรัมก่อนเป็นอันดับแรก เข้าไปดูแลให้การรับซื้อผลปาล์ม เป็นไปอย่างเป็นธรรมตามกลไกตลาด กำหนดระบบสัดส่วนผลประโยชน์ ที่เป็นธรรมต่อเกษตรกรชาวสวนปาล์ม มีมาตรการกำกับดูแล ไม่ให้พ่อค้าฉวยโอกาสกดราคาหรือบิดเบือนกลไกตลาด รวมถึงเข้าควบคุมราคารับซื้อปาล์มสดให้สอดคล้องกับราคาน้ำมันปาล์ม เป็นต้น
    "ผมเห็นแกนนำพรรคพลังประชารัฐประกาศจะทำทุกวิถีทางเพื่อจัดตั้งรัฐบาล ก็อยากให้ใช้ความกระตือรือร้นในแบบเดียวกับที่ต้องการเข้าสู่อำนาจ มาผลักดันแนวทางแก้ปัญหาให้กับชาวสวนปาล์มอย่างเร่งด่วนด้วย เพราะทุกข์ของเกษตรกรรอคอยไม่ได้"
    เขาระบุว่า รัฐบาลชุดนี้มีอำนาจเต็ม สามารถอนุมัติงบประมาณได้ โดยไม่ติดเงื่อนไขข้อห้ามตามรัฐธรรมนูญ ก็ควรใช้ให้เป็นประโยชน์กับประชาชน ไม่เช่นนั้นคนอาจเข้าใจว่ารัฐบาลพร้อมใช้อำนาจพิเศษไปเอื้อประโยชน์ให้กับทุนใหญ่ด้านโทรคมนาคม แต่กลับเพิกเฉยต่อความทุกข์ยากของเกษตรกร ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา 2 ขั้วการเมืองทำให้การเลือกตั้งกลายเป็นการเลือกข้าง จนเกิดการเผชิญหน้าที่รุนแรงขึ้นมาแล้ว 
    "หลังเลือกตั้งถ้ายังอยากจะเผชิญหน้ากันต่อ ก็ให้หยุดอยู่แค่แวดวงการเมือง ขณะเดียวกันคนที่ทำงานการเมืองต้องไม่ลืมภาระหน้าที่ที่มีต่อประชาชน เพราะการเลือกตั้งต้องให้ผลลัพธ์ที่ดีต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนเป็นลำดับแรก ไม่ใช่แค่เวทีการผลัดเปลี่ยนผู้มีอำนาจเท่านั้น" นายเชาว์ระบุ
"ผมพอแล้ว"
    ด้าน น.ส.เกศปรียา แก้วแสนเมือง โฆษกพรรคเพื่อชาติ ถาม พล.อ.ประยุทธ์ ว่ารักชาติจริงไหม ถ้ารักชาติจริงช่วยพิจารณาตนเอง แล้วประกาศว่า ผมพอแล้วโดยการเสียสละอำนาจเพื่อความสุขของคนไทย เพราะผลงาน 5 ปีที่ผ่านมาของ พล.อ.ประยุทธ์ ทำเศรษฐกิจฐานรากพังพินาศอยู่ในระดับคนจนเมืองในหมู่บ้านจัดสรรต้องเลี้ยงไก่เพื่อนำไข่มาทำอาหารยังชีพแล้ว 
    "ตลาดนัดพากันปิดตัว มีแต่ผู้ขายไม่มีผู้ซื้อ แม้แต่ตลาดคลองผดุงกรุงเกษมก็ยังต้องปิดตัว เพราะช่วงหลังมีแต่ผู้ขายไม่มีผู้ซื้อ รวมทั้งหลักฐานการแจกเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจรวมในรอบ 1 ปี ที่หนังสือพิมพ์ไทยรัฐรวบรวมมาให้ว่า เป็น “รัฐบาลจอมแจก” ครองอันดับ 1 ของโลก เป็นใบเสร็จว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์บริหารเศรษฐกิจผิดพลาดร้ายแรง สร้างคนจน 14.5 ล้านคน"
    เธอระบุว่า หนึ่งปีเศษที่ผ่านมานับตั้งแต่รัฐบาลจัดตั้ง โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือที่เรียกกันว่า “บัตรคนจน” โดยมีคนจนลงทะเบียนรับบัตรไปทั้งสิ้น 14.5 ล้านคน และรัฐบาลแจกเงินคนจน 14.5 ล้านคนไปแล้วกว่า 120,000 ล้านบาท แต่ก็ยังไม่หายจน ยังไม่นับการแจกเงินข้าราชการบำนาญ 24,700 ล้านบาท แจกเงินชาวสวนยางสวนปาล์มอีก 18,000 ล้านบาท เศรษฐกิจฐานรากก็ยังไม่ฟื้น ล่าสุดรัฐบาลกำลังจะแจกเงินอีก 22,000 ล้านบาทให้ประชาชน 14 ล้านคน เพื่อนำไปใช้จ่ายและท่องเที่ยวกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ มาตรการแจกเงินฟรี 22,000 ล้านบาทในครั้งนี้ ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่า เกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐกิจในประเทศ คนไทยมีความสุขที่สุดในโลกจริงหรือ ทำไมรัฐบาลต้องทุ่มเงินกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศมากมายขนาดนี้ 
    "ไหนรัฐบาลบอกว่าเศรษฐกิจยังดี จีดีพีปีนี้ยังเติบโต 3.8% น้อยกว่าปีที่แล้วนิดเดียวเอง แสดงว่ารัฐบาลนี้รู้ทั้งรู้ว่าเศรษฐกิจฐานรากกำลังจะล่มสลาย การแจกเงินถี่ๆ กระตุ้นเศรษฐกิจคือใบเสร็จความผิดพลาดในการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ "
    น.ส.เกศปรียาเผยว่า ความผิดพลาดในการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ยังมีใบเสร็จที่เป็นรายงานของหน่วยงานระหว่างประเทศอีกหลายหน่วยงานที่รายงานออกมาในช่วงนี้ ดังนี้
    1.ธนาคารโลกรายงานว่า ปี 2562 นี้ประเทศไทยอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำที่สุดใน 10 ประเทศอาเซียน ต่ำกว่า ลาว เขมร และเมียนมา 
    2. รายงานของสำนักข่าวเอเอฟพีระบุว่า ไทยเป็นประเทศแห่งความเหลื่อมล้ำ คนไทยจดทะเบียนเป็นคนจนเพื่อขอรับสวัสดิการจากรัฐเป็นจำนวนกว่า 14.5 ล้านคน คนร่ำรวยที่สุด 20 เปอร์เซ็นต์แรกของประชากรถือครองสินทรัพย์ 80 เปอร์เซ็นต์ ความไม่เท่าเทียมกลายเป็นอุปสรรคของไทยในการก้าวไปสู่การเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจก้าวหน้า  
เศรษฐกิจพินาศ
    3.รายงานผลวิจัยของ หูหรุนรีพอร์ต (Hurun Report) ของจีนที่เปิดเผยทำเนียบมหาเศรษฐีโลก ประจำปี 2019 ระบุว่า ในปีนี้ ประเทศที่มีมหาเศรษฐีระดับพันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นจำนวนมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน สหรัฐ เยอรมนี สหราชอาณาจักร และอินเดีย ติดตามด้วยสวิตเซอร์แลนด์ รัสเซีย บราซิล โดยมีไทยก้าวขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 9 จากอันดับที่ 12 เมื่อปีที่ผ่านมา นับถึงเดือนมกราคม 2019 ไทยมีมหาเศรษฐี 50 คน ในขณะที่ญี่ปุ่นรั้งอันดับที่ 13 ด้วยจำนวนมหาเศรษฐี 38 คน ตามด้วยเกาหลีใต้ (36 คน) และสิงคโปร์อยู่ในอันดับที่ 16 ด้วยจำนวนมหาเศรษฐี 31 คน รายงานระบุว่า ในปีนี้ ไทยมีมหาเศรษฐีเพิ่มขึ้น 6 คน ซึ่งเมื่อปีที่แล้วเพิ่มขึ้น 12 คน โดยมหาเศรษฐีหน้าใหม่ส่วนใหญ่มาจากซีพีกรุ๊ป โดยมหาเศรษฐีของไทยมีสินทรัพย์รวมกัน 153,000 ล้านดอลลาร์ฯ หรือกว่า 4.9 ล้านล้านบาท มากกว่างบประมาณรายจ่ายประจำปีของไทยในปี 2562 อยู่ที่ 3 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.6 เปอร์เซ็นต์จากปีก่อนหน้า
    “ความผิดพลาดในการบริหารเศรษฐกิจที่สร้างความเหลื่อมล้ำเกิดภาวะรวยกระจุกจนกระจายมากขนาดนี้ ถ้าประยุทธ์รักชาติจริงอย่างที่กล่าวอ้าง ต้องพิจารณาตัวเองว่าเวลา 5 ปีที่ถ่วงรั้งประเทศบริหารจนเศรษฐกิจฐานรากเข้าสู่วิกฤติ ควรจะรู้จักพอ ยอมเสียสละอำนาจให้ผู้อื่นเข้ามาบริหารประเทศ จะทำให้ประยุทธ์ยังมีที่ยืนในประวัติศาสตร์ แต่ถ้ายังยึดติดอำนาจ ทำให้เศรษฐกิจฐานรากพังพินาศ ส่งผลทำให้ประเทศชาติพังประยุทธ์ก็จะพังยิ่งกว่า อย่าลืมว่าความกลัวอำนาจเผด็จการจะหมดไป ตราบใดที่ประชาชนอดอยาก” 
    น.ส.เกศปรียากล่าวอีกว่า การยึดติดอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ นอกจากเศรษฐกิจฐานรากจะพังพินาศแล้ว ความขัดแย้งในสังคมบานปลายอีกด้วย เดิมมีความขัดแย้ง 2 กลุ่มคือ เผด็จการอนุรักษนิยม กับฝ่ายประชาธิปไตยเสรีนิยม แต่ขณะนี้เพิ่มคู่ขัดแย้งใหม่อีก 1 คู่ คือ คสช.และกองทัพวัยร่วงโรยแย่งชิงอำนาจจากคนรุ่นใหม่วัยดิจิทัล ที่นับวันความขัดแย้งยิ่งกว้างมากขึ้น เพราะความอยากสืบทอดอำนาจต่อของ คสช. และ พล.อ.ประยุทธ์ ด้วยความพยายามทุกวิถีทางที่จะเอาเปรียบกลั่นแกล้งตัวแทนคนรุ่นใหม่และฝ่ายตรงข้าม เหมือนในนิทานหมาป่ากับลูกแกะ การพยายามเอาชนะด้วยการที่ไม่อายในการเป็นตัวโกง ไม่มีประชาชนที่ไหนรับได้ 
    ดังนั้นขณะนี้ประยุทธ์มีทางเลือก 2 ทาง ถ้าอยากมีอำนาจต่อก็เป็นได้แค่ “ผู้ที่ไม่อายที่จะเป็นตัวโกง” หรือประกาศว่า “ผมพอแล้ว” ก็จะได้เป็น “พระเอกแบบที่มีการเขียนชมตนเองไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ของกรมศิลปากร”.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"