อนค.เอาคืนพี่ศรี ลุ้นที่ประชุมใหญ่ ศาลฎีกาชี้หุ้นสื่อ


เพิ่มเพื่อน    

  ถึงคิว “เรืองไกร” ร้องสอบ 4 ผู้สมัครถือหุ้นสื่อทั้ง “ภท.-พปชร.-ปชป.-รปช.” พ่วงระงับคำนวณปาร์ตี้ลิสต์ “11 ลูกพรรค” ส้มหวานเอาคืนศรีสุวรรณ  ร้องตำรวจแจ้งเท็จทำเสียชื่อเสียง “ปิยบุตร” โพสต์ชี้ “ธนาธร” ถูกฟันเรื่องถือหุ้นวี-ลัค แสดงชัดการเมืองใช้กฎหมายจัดการศัตรู! “สาธิต” อัดอย่าจับคนอื่นเป็นตัวประกันสร้างความชอบธรรม “ณัฏฐพล” ประกาศลั่นลูกผู้ชายพอ หากถือหุ้นสื่อจริงก็พร้อมพ้นเก้าอี้ ท้าแน่จริงมาฟ้องเองอย่าใช้ตัวแทน “พ่อฟ้า” บอกไม่ได้สร้างศัตรู เสียงอ่อยศาลมีบรรทัดฐานแล้ว หวังใช้ที่ประชุมใหญ่วินิจฉัย

เมื่อวันพฤหัสบดี ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยังคงคึกคัก จากกรณีบรรดานักการเมืองจากพรรคต่างๆ เดินสายมาร้องเรียนอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่เวลา 10.50 น. นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักษาชาติ ยื่นคำร้องต่อ กกต.ขอให้ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัคร 4 ราย ว่าเข้าข่ายลักษณะต้องห้ามในการใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ตามรัฐธรรมนูญ 98 (3) หรือไม่ เนื่องจากถือหุ้นครองในธุรกิจสื่อ 
นายเรืองไกรกล่าวว่า จากมาตรฐานการตรวจสอบของ กกต. กรณีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) เห็นว่ายังมีผู้สมัครอีกหลายรายที่ถือหุ้น และอาจเข้าลักษณะต้องห้ามในการลงสมัคร กกต.จึงไม่ควรเลือกปฏิบัติ ซึ่งจากที่ตรวจสอบกับกรมธุรกิจการค้า ล่าสุดผู้สมัคร ส.ส.ทั้ง 4 รายมีชื่อถือหุ้นในบริษัทที่ระบุวัตถุประสงค์การดำเนินกิจการไว้ในข้อ 19 ว่าประกอบกิจการโรงพิมพ์ รับพิมพ์หนังสือจำหน่ายและออกหนังสือพิมพ์ ประกอบด้วย 1.นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 ถือหุ้นในบริษัท ซิโนไทย ดีเวล็อปเม้นท์จำกัด จำนวน 37,500 หุ้น 2.นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 1 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และกรรมการบริหารพรรค ถือหุ้นในบริษัท ศรีธาราแลนด์ จำกัด จำนวน 750,000 หุ้น และถือหุ้นบริษัท พิมลทรัพย์ จำกัด จำนวน 80,000 หุ้น รวมทั้งถือหุ้นในบริษัท แปซิฟิกเอ็กซ์คลูซีฟ ซิตี้ คลับ จำกัด อีก 35,000 หุ้น 3.นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 27 กทม. พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ถือหุ้นอยู่ 35,000 หุ้น ในบริษัท แปซิฟิกเอ็กซ์คลูซีฟ ซิตี้ คลับ จำกัด และ 4.นายทวีศักดิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับที่ 5 ของพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) และเป็นเลขาธิการพรรค ถือหุ้น 10,000 หุ้น ในบริษัท แปซิฟิกเอ็กซ์คลูซีฟ ซิตี้ คลับ จำกัด จึงขอให้ กกต.ตรวจสอบ
“ถ้าหากบุคคลดังกล่าวขาดคุณสมบัติในการลงสมัคร จะถือว่ามีผลทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริตเที่ยงธรรมหรือไม่ รวมถึงต้องยุบพรรคการเมืองตามมาหรือไม่ ซึ่งข้อร้องเรียนดังกล่าวมีผลกระทบต่อคะแนนเสียงแต่ละพรรคการเมือง ดังนั้นขอให้ กกต.ระงับการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อไว้ก่อน จนกว่าจะตรวจสอบให้ครบถ้วนเสียก่อน” นายเรืองไกรระบุ
    ต่อมานายทศพล เพ็งส้ม ผู้สมัคร ส.ส.เขต 5 นนทบุรี พรรค พปชร. เข้ายื่นหนังสือต่อ กกต. เพื่อขอให้งดการประกาศผลการเลือกตั้ง ส.ส.เขต 5 นนทบุรี และถอนชื่อนายวันชัย เจริญนนทสิทธิ์ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 5 นนทบุรี พรรคเพื่อไทย (พท.) รวมทั้งสั่งให้เลือกตั้งใหม่ในเขตดังกล่าว เนื่องจากตรวจสอบพบว่านายวันชัยถือหุ้นในบริษัท วิศวเจริญยนต์ จำกัด ที่ในหนังสือจดทะเบียนบริษัทระบุวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการในข้อ 19 ไว้ว่า ประกอบกิจการโรงพิมพ์ รับพิมพ์หนังสือจำหน่าย และออกหนังสือพิมพ์ จึงถือว่านายวันชัยมีลักษณะต้องห้ามในการใช้สิทธิ์สมัครรับเลือกตั้ง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) เนื่องจากมีคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งที่สั่งถอนชื่อนายภูเบศวร์ เห็นหลอด ออกจากการเป็นผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 สกลนคร พรรค อนค. ได้วางบรรทัดฐานไว้แล้ว
11 อนค.เอาคืนศรีสุวรรณ
    ขณะเดียวกัน ที่ สน.ทุ่งสองห้อง นายคารม พลพรกลาง ว่าที่ ส.ส.พรรค อนค. ได้นำว่าที่ ส.ส. และผู้สมัครของพรรค 11 คน ซึ่งนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้ร้อง กกต.เมื่อวันที่ 29 เม.ย. กรณีถือหุ้นสื่อ เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนเพื่อให้ดำเนินคดีกับนายศรีสุวรรณ ในข้อหากระทำการอันเป็นเท็จ เพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจผิด และกลั่นแกล้งให้ผู้สมัคร ส.ส.ถูกเพิกถอนสิทธิในการลงรับสมัครรับเลือกตั้ง ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง หรือไม่ได้รับการประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 143 วรรค 2 
    โดยนายคารมกล่าวว่า นายศรีสุวรรณทำงานให้เป็นประเด็นทางการเมืองหรือไม่ หรือมีสาเหตุอะไรจึงต้องทำแบบนี้ เพราะสิ่งที่นายศรีสุวรรณตรวจสอบหมิ่นเหม่ แต่โทษที่พวกจะได้รับนั้นสูงมาก ทั้งจำคุก โทษปรับ และตัดสิทธิ์ทางการเมือง การยื่นตรวจสอบของนายศรีสุวรรณเป็นการกระทำที่เกินเลย และไม่มีกฎหมายรองรับ ถือเป็นการกลั่นแกล้งให้ผู้สมัคร ส.ส.ต้องขาดคุณสมบัติ  
“ผมไม่รู้จักกับนายศรีสุวรรณเป็นการส่วนตัว ทั้งนี้แม้สามารถยื่นฟ้องในข้อหาหมิ่นประมาท และการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์เพิ่มได้ แต่พรรคอนาคตใหม่จะยังไม่ขอดำเนินการ และขอใช้สิทธิในการปกป้องชื่อเสียงตามกฎหมายการเลือกตั้งก่อน ซึ่งหากนายศรีสุวรรณกระทำผิดจริง ก็มีโทษทั้งจำคุก ปรับและเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้ง” นายคารมกล่าว
    สำหรับกรณีนายธนาธรที่ถือหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัดนั้น นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค (อนค.) โพสต์เฟซบุ๊กที่ไปตอบคำถามในรายการเจาะลึกทั่วไทยในเรื่องนี้ว่า การจะดูว่าคดีไหนรอด-ไม่รอด ต้องดูเรื่องกฎหมายเป็นหลัก เพราะเป็นหลักประกันของความแน่นอนชัดเจนของผู้อยู่ใต้อำนาจต่างๆ หากเราจะประเมินชัดเจนว่าต้องนำรัฐศาสตร์เข้ามาด้วย หมายความว่ากฎหมายและกระบวนการต่างๆ ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างนั้นหรือ แล้วเอาเข้าจริงก็จะเสียชื่อหลักรัฐศาสตร์เช่นกัน เพราะหลักรัฐศาสตร์ก็ไม่ใช่โลเลแบบนี้ เขามีหลักการของเขา คิดว่าถ้าว่ากันไปตามกฎหมาย ตามกระบวนการยุติธรรม คดีนี้รอดแน่นอน
    “ถ้ามองมิติการเมืองแล้วไม่รอด แปลว่ากำลังมีการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือทางการเมือง มีการนำกฎหมายมาใช้เป็นเครื่องมือกำจัดศัตรูทางการเมืองของตนเอง กำจัดคนบางคน พรรคบางพรรคไม่ให้เข้าสภา ซึ่งผมเห็นว่าผู้มีอำนาจน่าจะไม่ทำอย่างนั้นแน่นอน หากเขามองระยะยาว" นายปิยบุตรกล่าว
“ปชป.”ดักคอธนาธร
    ขณะเดียวกัน ยังมีการชี้แจงกรณีนายธนาธรโพสต์เฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 1 พ.ค. ในหัวข้อ “ไม่ควรมีนักการเมืองคนใดถูกตัดสิทธิ์เพราะถือหุ้นในบริษัทที่ไม่ได้ผลิตสื่อจริงๆ” ซึ่งมีการระบุชื่อของว่าที่ ส.ส.ต่างๆ โดยนายสาธิต ปิตุเตชะ รักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่ถูกพาดพิงระบุว่า ภาวะการเมืองเวลานี้ยังมีความสับสน ประชาชนยังไม่มีความเข้าใจในข้อประเด็นข้อมูลทางกฎหมาย จึงเชิญชวนให้นายธนาธร ซึ่งมีอิทธิพลในทางความคิดมาช่วยกันให้ข้อมูลกับประชาชนอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งจะเป็นประโยชน์มากกว่า ทั้งนี้ เพราะกรณีของนายธนาธรและกรณีของตนเองถือว่าเป็นคนละประเด็นกัน โดยกรณีของนายธนาธรเกี่ยวกับการถือหุ้นสื่อที่มีกิจการทำสื่อหนังสือในบริษัท วี-ลัคฯ ซึ่งมีประเด็นถกเถียงคือ มีการโอนหุ้นก่อนวันรับสมัครเลือกตั้งแล้วหรือไม่ ดังนั้นต้องไปหาข้อเท็จจริงตรงนี้ว่าโอนหรือไม่โอน  
“ประเด็นของผมต้องไปตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน เพราะเท่าที่จำได้ ไม่ได้ทำกิจการอะไรเกี่ยวข้องกับสื่อ ซึ่งข้อมูลที่ส่งมาเป็นเรื่องวัตถุประสงค์ของการจดแจ้ง เพราะกฎหมายกำหนดว่าห้ามเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้น หรือเจ้าของ ซึ่งเป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย ดังนั้นผมยินดีให้ตรวจสอบ ซึ่งตามรัฐธรรมนูญห้ามไม่ให้ผู้สมัครที่ลงสมัครรับเลือกตั้งถือหุ้น หรือทำกิจการเกี่ยวกับสื่อ ทั้งหนังสือพิมพ์ วิทยุและโทรทัศน์ เพราะถือเป็นแต้มต่อของนักการเมือง จึงห้ามไม่ให้เป็นเจ้าของ หรือทำกิจการนั้นๆ และผมก็ไม่ได้ทำกิจการสื่อ จึงถือว่าไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ ฉะนั้นต้องแยกแยะประเด็นให้ถูกแล้วอธิบายต่อสังคมให้ครบ” นายสาธิตกล่าว และว่า อยากเชิญนายธนาธร ถ้าหากมีแนวคิดที่ตรงกัน ก็ให้มาร่วมกันต่อสู้ ว่าตามรัฐธรรมนูญ ไม่ควรเป็นความผิดตามคุณสมบัติต้องห้ามของผู้สมัครรับเลือกตั้ง และอย่าพยายามไปจับหรือเอาใครมาเป็นตัวประกันในลักษณะมีข้อเท็จจริงที่แตกต่างกัน ต้องแยกแยะและจับให้ตรงประเด็น
นายจุติ ไกรฤกษ์ รักษาการเลขาธิการพรรค ปชป.กล่าวในเรื่องนี้ว่า เป็นสิทธิ์ของนายธนาธรที่จะตรวจสอบ แต่อยากให้ทุกคนคิดและตั้งสติให้ดี เพราะอากาศมันร้อน แต่ใจอย่าไปร้อนตาม ขอให้นึกถึงบ้านเมืองเป็นสำคัญ และนึกถึงคนอื่นที่อยู่ในบ้านเมืองเรา อาชีพนักการเมืองมาสมัครเป็นนักการเมืองมีเพียงกว่าหมื่นคน จะไปทำให้ประชาชนอีก 69 ล้านคนไปเดือดร้อน มันไม่ใช่เรื่อง
“ไม่มีใครยืนยันใครได้ เพราะไม่มีใครรู้ความลับของใคร แต่ทุกคนต้องรับผิดชอบต่อตนเอง ถ้ามีหุ้นก็ต้องรู้ว่าต้องทำอะไรไม่ทำให้เดือดร้อน ไม่ทำให้บ้านเมืองมีปัญหาเดือดร้อน เพราะบ้านเมืองต้องเดินไปได้ ซึ่งในส่วนของพรรค ได้ตรวจสอบเบื้องต้น โดยตรวจสอบตามที่ผู้สมัครบอก” นายจุติกล่าวตอบเมื่อถูกถามว่ายืนยันได้หรือไม่ว่าไม่มีใครถือหุ้นสื่อ
ซัดเดินตามรอย'แม้ว'
นายภูมิสรรค์ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา รักษาการประธานกิจกรรมพิเศษภาคอีสาน พรรค ปชป. กล่าวถึงการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้อาสามาดำรงตำแหน่งทางการเมืองว่า อยากให้สังคมหรือกองเชียร์ตั้งสติบนพื้นฐานของหลักกฎหมายและฐานความคิดแบบวิทยาศาสตร์ ขณะนี้ทุกฝ่ายมีสิทธิ์ยื่นร้องและผู้ถูกร้องมีสิทธิชี้แจง แต่ขอให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการ อย่านำไปซึ่งการปลุกระดมมวลชนและแบ่งแยกประชาชนกันอีกเลย 
“อยากฝากใน 2 ประเด็น คือ 1.นายธนาธรในความกล้าหาญที่อาสามารับใช้สังคมไทย อยากให้ก้าวเดินทางการเมืองอย่างสง่างาม เพราะขณะนี้สังคมไทยที่ได้เห็นการก้าวในท่วงทำนองอย่างนี้ ทำให้คิดถึงหรือนำไปเปรียบเทียบกับนายทักษิณ ชินวัตร ในยุคที่ถูกกล่าวหาคดีซุกหุ้น จนนำมาซึ่งคดีต่างๆ อีกมากมาย อีกทั้งสังคมยังเคลือบแคลงใจในเรื่องสถาบันหลักของชาติ แต่ถ้านายธนาธรประสงค์แบบนี้ ก็ขอแนะนำให้ใช้บริการทีมทนายชุดที่ทำให้นายทักษิณรอดคดีซุกหุ้น” นายภูมิสรรค์ระบุ
นายภูมิสรรค์กล่าวต่อว่า 2.ขอวอนไปถึงกองเชียร์ของทุกฝ่าย ขอให้อยู่บนฐานของกฎหมายและวิทยาศาสตร์ก่อนความเชื่อ เหมือนกับสมัยที่คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช อดีต รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมกับตนเองที่ได้ตรวจสอบพิสูจน์การใช้งาน GT200 ซึ่งขณะนั้นการใช้งานอยู่บนพื้นฐานของความเชื่อ คุณหญิงกัลยาได้ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์ จนนำไปสู่การยกเลิกและเดินตามกระบวนการทางกฎหมายต่อไป แต่กว่าจะเสร็จสิ้นก็เกิดความเสียหายอย่างมหาศาล เพราะความเชื่อเพียงอย่างเดียว ดังนั้นการเชียร์และรักใครชอบใคร ไม่อาจบังคับกันได้ แต่ข้อเท็จในหลักกฎหมายและวิทยาศาสตร์ จะบอกได้ นอกเสียจากเราโดนกิเลสและอคติบดบัง
    ขณะที่นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรค พปชร. ที่ถูกนายธนาธรพาดพิงเช่นกัน โพสต์เฟซบุ๊กว่า ขออธิบายหลักการกฎหมายแบบสั้นๆ ง่ายๆ ว่าหากถือหุ้นในบริษัทสื่อฯ หรือผิดพลาดที่ไม่ได้ขายหรือโอนในกฎเกณฑ์ของ กกต.ตามกรอบกฎหมาย ก็หลุดจากการเป็น ส.ส. ง่ายๆ ตรงๆ ไม่มีอ้อมไปมา และก็พร้อมรับคำตัดสินแบบลูกผู้ชาย
    “ผมชัดเจนอยู่แล้วครับ มีบริษัทที่ทำโรงเรียน อีกบริษัททำอสังหาฯ สื่อมวลชนไปตรวจสอบก่อนได้เลย แต่ของดการมาสอบถามกันช่วงนี้ครับ เพราะช่วงเวลาภายในสัปดาห์นี้ถือเป็นช่วงเวลามหามงคลของ ประเทศชาติ เป็นเวลาพิเศษสำหรับคนไทยทุกคน ผมอยากให้สื่อมวลชนช่วยนำพื้นที่ข่าวให้ความรู้แก่ประชาชนเรื่องราชพิธีมากกว่าประเด็นการเมือง เพราะผมว่าคนไทยที่เกิดมาส่วนใหญ่ น่าจะมีโอกาสนี้ที่จะได้เห็นพระราชพิธี เป็นบุญตา บารมี และเป็นสิ่งมงคลต่อจิตใจของปวงชนชาวไทยครับ” นายณัฏฐพลโพสต์ และว่า หลังพระราชพิธีที่นายธนาธรได้ระบุว่าจะสงวนสิทธิ์ในการฟ้อง ฟ้องเองเลยนะครับ อย่าให้ตัวแทนมาฟ้อง สังคมเราเจอแต่ตัวแทนปลอมๆ มาพอแล้ว
ส่วนนายพิบูลย์ รัชกิจประการ ว่าที่ ส.ส.พัทลุง พรรค ภท. ที่ถูกนายธนาธรพาดพิงอีกรายระบุว่า ไม่ได้ถือหุ้นสื่อ และไม่มีข้อมูลอะไรที่ต้องชี้แจง ทั้งนี้ต้องรอให้นายธนาธรไปยื่นต่อ กกต.อย่างเป็นทางการ จากนั้นจึงจะรวบรวมข้อมูลและหลักฐานเพื่อชี้แจงต่อ กกต.
หวังใช้ที่ประชุมใหญ่เคาะ
    ในช่วงเย็น นายธนาธรให้สัมภาษณ์ถึงนายณัฏฐพลให้ฟ้องกรณีการถือหุ้นสื่อด้วยตัวเองว่า ต้องเรียนคุณณัฏฐพลว่าไม่มีเจตนาอะไรที่จะเป็นศัตรู ซึ่งที่บอกมาตลอดคือไม่มีใครควรโดนตัดสิทธิทางการเมือง เพราะถือหุ้นในบริษัทที่เขียนวัตถุประสงค์ว่าทำสื่อ แต่ไม่ได้ทำสื่อจริงๆ จุดประสงค์ไม่ใช่ทำให้นายณัฏฐพลโดนฟ้อง แต่กำลังบอกว่าสิ่งที่นายณัฏฐพลทำนั้นไม่ผิด
“การตีความแบบนี้ไม่สะท้อนกับสภาพความเป็นจริง หากทุกท่านอ่านดีๆ ผมบอกเลยว่าไม่ควรมีใครผิด คุณณัฏฐพลเองก็เช่นกัน หากผมจะฟ้องแทนที่จะเขียนลงเฟซบุ๊ก ผมเดินไปฟ้องแล้ว ผมไม่ได้อยากเป็นศัตรูกับใคร ทั้งนี้ พรรคอนาคตใหม่กำลังตรวจสอบเรื่องนี้อยู่ จำนวนผู้สมัคร ส.ส.ในวันที่ 24 มี.ค.มีกว่า 10,000 คนทั่วประเทศ ซึ่งเราตรวจสอบ 100 คน จะเจอคนที่เกี่ยวข้องกรณีนี้อยู่ 10 คน หากใช้อัตราส่วนนี้หมายความว่าจะมีผู้ถูกตัดสิทธิ์กว่า 1,000 คน จำนวน 109 คน หรือ 111 คนในอดีตนี่เด็กๆ ไปเลย”นายธนาธรกล่าว
หัวหน้าพรรค อนค.กล่าวต่อว่า หากถูกตัดสิทธิ์แล้วเป็น ส.ส.เขต หมายความว่าคะแนนของผู้สมัครคนนั้นทิ้งน้ำเฉลี่ยมีคนละหมื่นคะแนน ทำให้คะแนนเสียงกว่า 10 ล้านเสียงที่เลือกไปโยนทิ้งทั้งหมดเลย ดังนั้นหากตัดสิทธิ์คนพวกนี้ทั้งหมด โดยใช้มาตรฐานเดียวกัน คะแนนอาจหายไปเป็นจำนวนมหาศาล แล้วเราจะบอกได้อย่างไรว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ตอบสนองเสียงของประชาชน ซึ่งคนที่เห็นเรื่องนี้มีคนเดียว คือคุณสมชัย ศรีสุทธิยากร จากพรรค ปชป. ที่โพสต์เฟซบุ๊กเรื่องทานอส ที่ดีดนิ้วทีเดียว ส.ส.หายไปครึ่งจักรวาล ซึ่งเรื่องนี้กำลังจะเป็นจริง ส.ส.หายไปทั่วประเทศเลย
เมื่อถามว่าทางออกจะเป็นอย่างไร นายธนาธรกล่าวว่า ไม่ทราบ แต่ศาลฎีกาลงความเห็นไว้แล้ว กรณี ของนายภูเบศวร์ว่าผิด หมายความว่าบรรทัดฐานถูกตั้งขึ้นแล้ว ซึ่งอาจต้องใช้ที่ประชุมศาลฎีกาวินิจฉัยเรื่องนี้ นอกจากนี้เรายังมีทีมตรวจสอบ เฉพาะเรื่องเต็มเวลา ทุกวัน ซึ่งเจอเพิ่มทุกวัน วันละ 5 คน 10 คน ไล่แบบนี้ไม่ต้องห่วงเลย เดี๋ยวโดนกันทั้งประเทศทุกพรรค แน่นอนว่าในวันที่ 8 พ.ค. ต้องคิดจำนวนแบบบัญชีรายชื่อกันใหม่ทั้งหมดเลย ซึ่งนึกภาพไม่ออกว่าภาพของประเทศไทยจะเป็นอย่างไร.  


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"