สภาอันทรงเกียรติ?????


เพิ่มเพื่อน    

 ใครที่ติดตามดูการประชุมสภาในวันเลือกนายกรัฐมนตรี แล้วลองพิจารณาดูว่าสภาผู้แทนราษฎรของเรานั้นเป็นสภาอันทรงเกียรติจริงแท้แค่ไหน หากจะดูการแต่งตังของผู้แทนจำนวนมาก ก็อาจจะเชื่อได้ว่าสภาผู้แทนของเรานั้นเป็นสภาอันทรงเกียรติได้ เพราะผู้แทนราษฎรเกือบทั้งหมดแต่งตัวตามข้อกำหนดที่ปรากฏในจดหมายเชิญ แต่ก็มีบางคนที่พยายามที่จะสวยไปสภา ถ้าหากมองดูเสื้อผ้าที่ใส่ก็ต้องยอมรับว่าสวย และถ้าหากคนดูไม่อคติ ก็ต้องยอมรับว่าเป็นเสื้อผ้าที่ดูแพง แต่บังเอิญมีคนจำนวนมากมีอคติกับคนที่ใส่ ก็เลยบอกว่าเสื้อผ้าราคาแพง ทำไมพอคนที่ว่าเอามาใส่แล้วดูไม่แพง เอาล่ะ

สวยหรือไม่สวย คงจะไม่ใช่ประเด็น ดูแพงหรือดูไม่แพงก็ไม่น่าจะเป็นประเด็นเท่ากับชุดดังกล่าวนั้นเหมาะกับกาละและเทศะหรือไม่ “เทศะ” คือสถานที่ ก็ต้องตั้งคำถามว่าการแต่งตัวดังกล่าวนั้นเหมาะกับสถานที่ซึ่งพวกเราเรียกว่าสภาอันทรงเกียรติหรือไม่ “กาละ” คือเวลา ก็ต้องถามว่าในเวลานั้น พวกเขาไปยังสถานที่ดังกล่าวเพื่อทำอะไร และสิ่งที่พวกเขาไปทำนั้นมีข้อกำหนดการแต่งตัวไว้หรือไม่ ว่าเวลาดังกล่าวนั้นควรจะแต่งตัวอย่างไร เมื่อมีคนบางคนแต่งตัวไม่ดูกาละและเทศะ ก็เลยทำให้หลายคนมองว่าสภาผู้แทนราษฎรดูจะไม่ค่อยทรงเกียรติแล้ว

พอมีคนตำหนิเพราะต้องการรักษาความทรงเกียรติของสภา ก็ต้องเผชิญกับฝูงไฮยีนาที่พวกเขาจัดไว้เขามาด่าทอด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย เพื่อยับยั้งไม่ให้ใครกล่าวตำหนิพวกเขาอีก นับว่าเป็นยุทธศาสตร์ในการทำสงครามข่าวที่ได้ผล เพราะหลายคนถอดใจและถอยแล้ว ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับคนพวกนี้ต่อไป แต่ใจก็อดห่วงไม่ได้ว่าอนาคตของประเทศไทยจะเป็นเช่นไร ถ้าหากพวกเขาทำกันเช่นนี้แล้วยังมีคนชื่นชม

มีคนที่ถูกสั่งให้ยุติบทบาทของการทำหน้าที่ผู้แทนราษฎร แต่ก็พยายามที่จะเข้าไปแสดงวิสัยทัศน์ในสภาให้ได้ เหมือนจะท้าทายคำสั่งของศาล และเมื่อประธานสภาไม่อนุญาตให้แถลงวิสัยทัศน์ในสภา ก็ไม่ลดละที่จะต้องแสดงความคิดเห็นของตนเองนอกสภาในช่วงเวลาที่ไม่น่าจะใช่ และในที่สุดก็ยืนแถลงด้วยข้อความที่แสดงให้เห็นความตั้งใจที่จะป่วนสภา เพราะดูตามกติกาของการเลือกนายกรัฐมนตรีที่กำหนดไว้ เขาไม่มีทางที่จะชนะ ไม่ว่าจะอาศัยคะแนนของสมาชิกวุฒิสภาหรือไม่ก็ตาม แต่เขาก็ยังสร้างวาทกรรมว่าเขามีความตั้งใจที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีแบบนั้นแบบนี้ การที่เขาบอกว่าเขาจะเป็นนายกรัฐมนตรีแบบไหนนั้นก็เหมือนเขากำลังด่าว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะไม่เป็นนายกรัฐมนตรีอย่างที่เขาเป็น แต่หลายคนก็ตั้งคำถามว่าเมื่อไม่ได้แสดงวิสัยทัศน์ในสภา เขาควรจะจัดแถลงข่าวที่ตรงนั้นที่อยู่นอกห้องประชุมสภาหรือเปล่า และเวลานั้นมันใช่เวลาที่จะมาแถลงข่าวหรือไม่ นั่นก็เรื่องของ “กาละและเทศะ” อีกเช่นกัน

เมื่อเข้าไปประชุมกันในสภา แทนที่เราจะได้ฟังการอภิปรายที่เป็นเหตุเป็นผล เป็นข้อมูลที่เราสามารถนำเอามาพินิจพิจารณาว่าใครควรจะได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี เรากลับได้ยินวาทกรรมที่เราเรียกขานกันว่า Hate speech เป็นการวิพากษ์วิจารณ์กันด้วยถ้อยคำที่รุนแรง แม้ว่าจะไม่มีคำหยาบคาย แต่ก็เป็นการวิพากษ์วิจารณ์กันแบบไม่ไว้ไมตรีกันเลย ด่าทอต่อว่ากันเช่นนี้แล้ว จะทำงานร่วมกันในสภาเดียวกันได้อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน ทุกคนต่างก็เป็นผู้แทนราษฎรอยู่ในสภาเดียวกัน ประธานสภาท่านก็เป็นคนสุภาพและให้เกียรติพวกท่าน เรียกขานพวกท่านว่า “ท่านนั่น  ท่านนี่” ทุกครั้งไป จนมีคนแปลกใจและตั้งคำถามว่าทำไมในสภาผู้แทนราษฎรจึงต้องเรียกใช้คำว่า “ท่าน” ในการขานชื่อผู้แทนราษฎรแต่ละคนทุกครั้งไป ก็คงเป็นเพราะท่านทั้งหลายเป็นสมาชิกอยู่ในสภาอันทรงเกียรติ ท่านลองไปดูการถ่ายทอดการประชุมย้อนหลังดู แล้วถามตัวท่านเองว่าพฤติกรรมของ “ท่านบางคน” นั้น ท่านได้รักษาคำว่า “สภาอันทรงเกียรติ” ไว้ได้มากน้อยแค่ไหน และท่านมีค่าควรที่จะให้คนเรียกขานชื่อของท่าน ด้วยคำว่า “ท่าน” นำหน้าทุกครั้งไปหรือไม่

นอกจากการด่าทอต่อว่ากันด้วยถ้อยคำที่ไม่ไว้ไมตรีแล้ว การลุกขึ้นอภิปรายหรือการประท้วงก็ดูสับสนอลหม่านมาก หลายคนไม่เคารพกติกา หรือบางคนอาจจะไม่ได้พยายามที่จะเรียนรู้กติกาและกฎระเบียบของการปฏิบัติตนในการประชุมสภา การอภิปรายจะต้องนั่งแล้วยกมือรอจังหวะเวลาที่ประธานสภาจะอนุญาตให้พูด การประท้วงจะยืนและยกมือเพื่อที่จะประท้วง เพื่อให้ประธานอนุญาตให้พูดได้ทันทีเพื่อประท้วงการอภิปรายของคนอื่น แต่มีบางคนอยากพูดมาก ทั้งๆ ที่สิ่งที่ตนเองจะพูดนั้นเป็นการอภิปราย ก็มายืนยกมือทำให้ประธานเข้าใจผิดว่าจะประท้วง พอประธานอนุญาตให้พูด ก็ยืนยันว่าไม่ได้ประท้วง แต่จะอภิปราย จนประธานต้องสอนอย่างสุภาพว่าการยกมือเพื่ออภิปรายต้องนั่ง ส่วนการยืนยกมือนั้นไม่ใช่เพื่ออภิปราย แต่เพื่อประท้วง แต่ก็ยังไม่วายพยายามที่จะพูด เหมือนฟังการสอนอย่างสุภาพของประธานสภาฯ ไม่ได้

การขานชื่อว่าจะเลือกใครเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น บางคนก็มีลีลาเป็นลูกเล่นที่ดูไม่งาม และบางคนขานชื่อคนที่ตนเองจะเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรียังไม่ถูกเลย บางคนขานชื่อผิด บางคนขานนามสกุลผิด บางคนขานผิดทั้งชื่อและนามสกุล เป็นผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประชาชนในสภาอันทรงเกียรติ แค่ชื่อคนที่ตนเองต้องการจะเลือกเพียงชื่อเดียวก็ไม่ยอมทำการบ้านให้สามารถขานชื่อได้อย่างถูกต้องและฉะฉาน ถ้าพวกท่านมีคุณภาพกันได้แค่นี้ แล้วท่านจะทำให้สภาผู้แทนราษฎรเป็นสภาอันทรงเกียรติได้อย่างไร

เมื่อเลือกเสร็จแล้ว ประกาศคะแนนแล้ว ก็ยังมีคนสร้างวาทกรรมอีกว่าไม่ได้แพ้ แต่ชัยชนะถูกปล้น ก็อยากจะถามว่าปล้นตรงไหน ดูคะแนนของผู้แทนราษฎรก็ 251 กับ 244 โดยไม่ต้องนับคะแนนเสียงของสมาชกวุฒิสภาก็ได้ การจะเลือกใครก็ให้ทุกคนยืนขึ้นขานชื่อคนที่จะเลือกอย่างเปิดเผย จะมีการปล้นกันเกิดขึ้นตอนไหน ที่จริงน่าจะรู้นะว่าถ้าหากมีโอกาสที่จะชนะ มีหรือพรรคใหญ่ที่ได้ ส.ส.เขตมากที่สุด เขาจะไม่ส่งคนของเขาลงมาแข่ง แต่เพราะเขารู้ว่าจะต้องแพ้แน่ๆ เขาจึงไม่ส่งคนของเขาลงมา และหากมีการอภิปรายก่อนลงคะแนนเสียง เขารู้ว่าจะต้องมีการเสนอเรื่องราวที่ทำลายกันและกัน เรื่องอะไรเขาจะส่งคนของเขามาให้ถูกอภิปรายด้วยการตอกย้ำเรื่องล้มเจ้า เผาเมือง การทุจริตหลายๆ เรื่อง รวมทั้งการหนีคุกออกไปต่างประเทศ แพ้ตั้งแต่ก่อนจะลงคะแนนเลือก แล้วทำไมคนที่เขาชนะจะต้องโกงด้วย หยุดวาทกรรมที่เป็นการโกหกได้แล้ว เพื่อให้สภาผู้แทนราษฎรยังคงเป็นสภาอันทรงเกียรติอย่างแท้จริง.   

 

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"