ย้อนสู่ยุคกลางที่ “บริโอเนส” เมืองน้อยในสเปน


เพิ่มเพื่อน    

 

               ใน The Sun Also Rises นวนิยายของ “เออร์เนสต์ เฮมมิงเวย์” พิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1926 “เจค บาร์นส์” และคณะ เดินทางจากปารีส ประเทศฝรั่งเศส ล่องใต้ ผ่านเมืองบอร์โดซ์ เมืองบายอน ชายแดนฝรั่งเศส-สเปน ก่อนเข้าสู่แคว้นนาบาร์ราของสเปน มีจุดหมายที่เมืองปามโปลนา เพื่อดูการสู้วัวกระทิงในเทศกาล “ซานเฟอร์มิน” หากว่าเจค บาร์นส์ ซึ่งเป็นอวตารของ “ปาป้าเฮมมิงเวย์” จะลงใต้ต่อมาอีกแค่นิดเดียว นักเขียนรางวัลโนเบลท่านนี้ก็จะมาถึงแคว้น “ลา ริโอฮา” ที่มีเมือง “บริโอเนส” ตั้งอยู่

ตัวตลกฮาร์เลควิน สร้างสีสันให้งานยุคกลางของเมืองบริโอเนส

 

           แคว้นลา ริโอฮา ตั้งอยู่ในส่วนหนึ่งของหุบเขาเอโบร มีแม่น้ำเอโบรและแม่น้ำโอฮา (ที่มาของชื่อแคว้น) ไหลผ่าน เขตแดนทางทิศเหนือติดกับแคว้นบาสก์ ทางตะวันออกเฉียงเหนือคือแคว้นนาบาร์รา ทางตะวันออกเฉียงใต้ติดแคว้นอารากอน และติดแคว้นคาสติลญาเลออนทางใต้และตะวันตก อยู่ห่างจาก “มาดริด” เมืองหลวงที่อยู่ตอนกลางของประเทศราว 350 กิโลเมตร ส่วนเมืองบาร์เซโลนาอยู่ทางฝั่งเมดิเตอร์เรเนียนไกลออกไปประมาณ 520 กิโลเมตร เมืองใหญ่ที่ใกล้ที่สุดคือ “บิลเบา” ทางฝั่งแอตแลนติก (อ่าวบิสเคย์) ห่างออกไปราว 100 กิโลเมตร

บ้านเรือนจากยุคกลางได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี ส่วนบรรดาสตรีในภาพเป็นคนยุคใหม่ที่แต่งกายแบบเก่า

          “ซารา คาสติลโญ” นักเขียนสมัครเล่น เพื่อนของผม ได้เขียนอีเมลบรรยายถึงเทศกาลยุคกลางที่จัดขึ้นในเมืองบริโอเนส แคว้นลา ริโอฮา ส่งมาในช่วงเวลาที่กำลังจะมีงานนี้พอดี ผมก็จะขอถ่ายทอดต่อเป็นภาษาไทยคั่นเวลาที่ช่วงนี้ยังคงต้องเว้นวรรคการเดินทางไว้ก่อน

ฉันชื่อซารา มาจากเมืองเล็กๆ ในแคว้นลา ริโอฮา ชื่อว่า “บริโอเนส” ฉันได้เข้าร่วมงานเทศกาลยุคกลางของเราตั้งแต่อายุ 14 ปี และได้เฝ้ามองเห็นพัฒนาการของเทศกาลที่เติบโตขึ้น ฉันรู้สึกได้ถึงความรักความสามัคคีและความมุ่งมั่นตั้งใจของคนในเมืองที่ทำให้การเฉลิมฉลองในแต่ละปีเกิดขึ้น

          ฉันย้ายมาอยู่บาร์เซโลนาได้หลายปีแล้ว แต่ก็กลับไปร่วมงาน Jornadas Medievales หรือ Medieval Days (วันเวลาแห่งยุคกลาง) เป็นประจำเกือบทุกปี งานนี้จัดขึ้นในวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนมิถุนายน โดยสมาคมวัฒนธรรมยุคกลางแห่งบริโอเนส ซึ่งปีนี้เป็นการจัดงานครั้งที่ 23 ตรงกับวันที่ 15 และ 16 มิถุนายน

อาคารบ้านเรือนเก่าแก่จากยุคคริสต์ศตวรรษที่ 14 ที่ได้รับการอนุรักษ์ให้อยู่ในสภาพดั้งเดิม จำนวน 55 หลัง จะเปิดประตูต้อนรับผู้มาเยือน ชาวเมืองจะจำลองวิถีชีวิตกลับไปยังยุคเก่าเมื่อ 600 กว่าปีก่อน หลังการลงนามสันติภาพระหว่าง “เอ็นริค ที่ 2 แห่งทราตามารา” กษัตริย์ของคาสติลญา และ “คาลอส ที่ 2” สมญานาม “เดอะ แบด” กษัตริย์แห่งนาบาร์รา

ก่อนแขวนคอก็ต้องแห่ประจานไปทั่วเมืองในเครื่องพันธนาการ

 

เทศกาลนี้เริ่มจัดขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1997 ไม่ใช่เป็นเทศกาลขายสินค้า หากท่านจะมาจับจ่ายซื้อเสื้อผ้าหรือของฝากอื่นๆ ก็อาจจะต้องผิดหวัง เพราะเทศกาลนี้เน้นให้ผู้มาเยือนได้มีส่วนร่วมกับคนท้องถิ่น และวิถี-วัฒนธรรมประจำเมือง

           ตั้งแต่เริ่มมีการจัดงาน จำนวนผู้มาเยือนได้เพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกปี นับจนถึงปีล่าสุดมีผู้มาร่วมงานแล้วกว่า 4 แสนคน ถือว่าเป็นจำนวนที่น่าพอใจ เพราะทั้งเมืองของเรามีประชากรรวมกันแค่ 766 คนเท่านั้น (ข้อมูลเมื่อปี ค.ศ.2018) จากเมืองที่มีพื้นที่ราว 38 ตารางกิโลเมตร

เทศกาลยุคกลางของเราได้รับการประกาศเป็น “เทศกาลที่มีความสำคัญต่อการท่องเที่ยวระดับชาติ” เมื่อปี ค.ศ.2012 และในปีนี้เองที่บริโอเนสได้ถูกบรรจุร่วมกับหมู่บ้านอื่นอีกจำนวนหนึ่งให้เป็นหมู่บ้านสวยงามของประเทศที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้

          ส่วนหนึ่งของความสำเร็จนั้นเกิดจากการรักษาลักษณะดั้งเดิมในยุคกลางไว้ได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งพบได้ยากในส่วนอื่นๆ ของประเทศสเปน ที่แทบจะเลือนหายไปหมดสิ้นในปัจจุบัน

พนักงานต้อนรับในโรงเตี๊ยมยุคกลาง

 

          งานรื่นเริงเริ่มขึ้นในวันเสาร์ตั้งแต่เวลา 11 โมง เครื่องดื่มจำพวกไวน์และเบียร์เตรียมพร้อมไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว ขบวนพาเหรดเริ่มต้นที่อาราม Ermita del Cristo จังหวะดนตรีโบราณตั้งแต่ยุคราชวงศ์นาสริด (แขกมัวร์) บรรเลงไปบนถนน เรียกให้ผู้คนรีบออกมาเป็นสักขีพยานและบันทึกภาพประทับใจ

ชาวเมืองทั้ง 700 กว่าชีวิตจะแต่งองค์ทรงเครื่องย้อนยุคไปยังวันวานเมื่อ 600 กว่าปีก่อน ผู้มาเยือนจะได้เห็นช่างอิฐ ช่างไม้ ช่างเหล็ก ช่างทอผ้า ช่างสาน คนฟอกหนัง คนทำชีส นักหมัก-บ่มเครื่องดื่ม ช่างทำรองเท้า ขุนนาง อัศวิน บาทหลวง พนักงานไต่สวนของศาล และอีกมากมาย แม้กระทั่งคนจรจัด

          ค่ำคืนวันเสาร์ผ่านไป วันใหม่เริ่มต้นหลังเสียงไก่ขัน พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า ชีวิตของคนยุคกลางก็ค่อยๆ กลับเข้ารูปทรง พอถึง 11 โมงเวลาเดิม เสียงเปิดประตูบ้านทั้ง 55 หลังก็ดังขึ้นอีกครั้ง ตามด้วยเสียงปืนให้สัญญาณว่าการเฉลิมฉลองเริ่มได้ กิจกรรมมากมายในแต่ละมุมเมืองถูกจำลองขึ้น การพิจารณาคดีของศาล เสียงดนตรีจำพวกเครื่องเป่า เสียงขับลำนำ การละเล่นทั้งสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ และที่น่าสนใจมากคือการจัดงานแต่งงานเหมือนเมื่อครั้งกระโน้น จัดขึ้นที่ Plaza de Espana หรือจัตุรัสสเปน

          ในส่วนของการกินดื่มนั้น มีร้านอาหารหลายแบบ ซึ่งแบบที่เรียกว่า Tavern หรืออาจเรียก “โรงเตี๊ยม” ดูมีเสน่ห์น่าสนใจ มีอาหารมากมายและไวน์รสเลิศไม่อั้น

ตกดึกมีการแสดงแสงสีเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ให้ได้รับชมรับฟัง อีกทั้งยังมีคอนเสิร์ต ใช้เครื่องดนตรีและบทเพลงจากยุคกลางขับกล่อมผู้มาเยือน

 

เหล่าอัศวินนักรบและอาวุธประจำกาย

 

          นอกจากตัวงานเทศกาลยุคกลางนี้แล้ว ในเมืองยังมีสถานที่ที่ไม่ควรพลาด อาทิ โบสถ์แม่พระแห่งอัสสัมชัญจากคริสต์ศตวรรษที่ 16 และอารามหลายหลัง ศาลาว่าการเมืองจากคริสต์ศตวรรษที่ 17 จุดชมวิวที่สามารถชมแม่น้ำเอโบรที่คดเคี้ยวชวนมองและเมืองข้างเคียง พิพิธภัณฑ์มานุษยวิทยา และพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมการผลิตไวน์บิวานโก นอกจากนี้ยังมีโรงบ่มไวน์อีกอย่างน้อย 4 แห่ง ทั้งนี้ทั่วทั้งแคว้นลา ริโอฮา นั้นขึ้นชื่อมากในเรื่องการทำไวน์

สำหรับการเดินทางไปยังเมืองบริโอเนสนั้น ทางถนนถือว่าสะดวกสบายที่สุด มีการเชื่อมต่อกับเมืองสำคัญๆ ที่อยู่ครึ่งบนของประเทศ อาทิ บิตอเรีย, บิลเบา, ซาน เซบาสเตียน, บูร์โกส, บายาโดลิด และซานตานแดร์ นอกจากนี้ถนนสายที่เรียกว่า Ebro Valley Axis ทำให้เชื่อมบาร์เซโลนา มายังซาราโกซา และโลโกรโญ เมืองหลวงของแคว้นลา ริโอฮา ได้อย่างคล่องตัว

หากจะเดินทางโดยรถไฟ เส้นทางสายบิลเบา-ซาราโกซา-บาร์เซโลนา ถือว่าสะดวกพอสมควร สถานีที่ใกล้บริโอเนสที่สุดคือ “อาโร” อยู่ห่างจากบริโอเนสประมาณ 8 กิโลเมตร นอกจากนี้ก็ยังมีรถบัสที่ให้บริการอีกหลายบริษัท ซึ่งต้องมาลงที่เมืองอาโรเช่นกัน

 

สงสัยช่างเหล็กกำลังง่วนอยู่กับการทำรองเท้าให้เจ้าอาชาน้อย

 

          ส่วนทางเครื่องบิน ต้องบินไปลงที่สนามบินบิลเบา ซึ่งเป็นสนามบินที่อยู่ใกล้เมืองบริโอเนสมากที่สุด ทว่าสนามบินซานตานแดร์ที่อยู่ห่างออกไปอีกหน่อยกลับมีรถบัสเชื่อมต่อโดยตรงกับเมืองอาโร เมื่อถึงเมืองอาโรแล้วก็นั่งรถเมล์หรือแท็กซี่ต่อมาบริโอเนสได้ไม่ยาก

ที่พักอาศัยในเมืองอาจมีไม่มากนัก ที่น่าสนใจมีอยู่ 3 แห่ง ได้แก่ Hotel Los Calaos ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ไม่กี่เมตรจากจัตุรัส Plaza de Espana เป็นบ้านเก่า 3 ชั้น อนุรักษ์และตกแต่งในลักษณะดั้งเดิม สามารถชมวิวหุบเขาเอโบร ไร่องุ่น และเมืองใกล้ๆ อีก 2 เมือง ชื่อ “ซาน บิเซนเต เด ลา ซอนเซียร์รา” และ “เซียร์รา กันตาเบรีย”

 

การแสดงแสงสีเสียงยามค่ำคืนในงานยุคกลางเมืองบริโอเนส

 

Casa Rural El Mesn คาซ่า ก็คือ “บ้าน” ที่พักแห่งนี้แปลได้ว่า “โรงแรมบ้านชนบท” เดิมทีเป็นร้านขายไวน์ และอีกแห่งคือ Apartamentos Los Nietos แปลว่า “อพาร์ตเมนต์คุณหลาน” ให้บริการทั้งรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน พักได้เป็นครอบครัว มากสุดชั้นละ 6 คน เดินไปยังแม่น้ำเอโบรใช้เวลา 5 นาที ส่วนย่านใจกลางเมืองห่างออกไปเพียง 2 นาที

 

พนักงานโรงเตี๊ยมกำลังเตรียมเบียร์ให้ลูกค้า

 

หวังว่าคุณจะมีโอกาสมาเยือนเมืองบริโอเนสในเร็วๆ นี้ ชาวเมืองพร้อมต้อนรับคุณอยู่ด้วยความยินดียิ่ง

ซารา คาสติลโญ

ในเวลานี้ที่งานยุคกลางกำลังดำเนินไป ซาราอาจกำลังเต้นรำ ชมการแสดง หรือดื่มไวน์อยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งใดแห่งหนึ่งในบริโอเนส ส่วนภาพที่เธอส่งมาให้ดูเป็นภาพงานในปีก่อนๆ

ผมมาคิดดู หากมีโอกาสไปเที่ยวงานนี้ นอกจากควรจะโฉบไปทัวร์แคว้นบาสก์สักอาทิตย์แล้ว ก็อาจจะเลยไปเทศกาล “ซานเฟอร์มิน” ที่เมืองปามโปลนา แคว้นนาบาร์ราต่อสักหน่อย โดยเฉพาะหากได้ไปเยือนบริโอเนสในปีที่สุดสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนมิถุนายนไปตกที่ปลายเดือน เพราะงานซานเฟอร์มินนั้นจัดในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมของทุกปี ระหว่างวันที่ 6-14 ซึ่งจะทำให้ทริปตอนเหนือของสเปนมีความคุ้มค่าขึ้นไปอีก

ปาป้าเฮมมิงเวย์บอกเอาไว้ว่าเทศกาลซานเฟอร์มินมีกิจกรรมมากมายหลายอย่าง โดยเฉพาะการวิ่งหนีวัวกระทิง และการสู้วัวกระทิงในทุกเย็นตลอดเทศกาลที่แกชื่นชอบจนนำมาถ่ายทอดสู่ชาวโลกได้อย่างเห็นรายละเอียด

ทว่ากีฬาประเภทที่จบลงด้วยการสังเวยชีวิตสัตว์เช่นนี้ ผมขออยู่ห่างๆ จะดีกว่า.

 

แกลลอรี่


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"