ยืดแจงหุ้น!รอบ2 ศรีเย้ยพ่อฟ้าขี้โม้


เพิ่มเพื่อน    

 "ธนาธร" ส่งทีม กม.ยื่นขอขยายเวลาแจงถือหุ้นวี-ลัค มีเดีย ครั้งที่สอง ออกไปอีก 30 วัน อ้างขอตรวจสอบความถูกต้องของเอกสาร "ปิยบุตร" ยก 4 คดีหุ้นสื่อเปรียบเทียบ ชี้คดี 41 ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล วัดใจมาตรฐานศาล รธน. "ศรีสุวรรณ" ซัด "พ่อฟ้า" ไม่แน่จริงขยายเวลาแจงคดี "พปชร." เอาคืนเตรียมสอย 30 ส.ส.ฝ่ายแค้นถือหุ้นสื่อบ้าง เผย "บิ๊ก พท." เข้าข่ายอื้อ

    ที่ศาลรัฐธรรมนูญ วันที่ 21 มิ.ย. นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ได้ส่งทีมกฎหมายมายื่นหนังสือต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอขยายเวลาในการส่งเอกสารคำชี้แจงกรณีถือหุ้นสื่อในบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด จากวันที่ 8 ก.ค. ซึ่งเป็นวันครบกำหนด 30 วัน โดยศาลรัฐธรรมนูญอนุญาตให้ขยายเวลายื่นคำชี้แจงครั้งที่ 1 
    ทีมกฎหมายให้เหตุผลถึงการขอขยายเวลาครั้งนี้ว่า เป็นไปเพื่อตรวจสอบความถูกต้องของเอกสาร ไม่ได้มีปัญหาอะไร รวมถึงมาตรวจสำนวนด้วยว่ามีความคืบหน้าอย่างไรหรือไม่ ทั้งนี้ เมื่อยื่นคำร้องแล้วต้องรอดูว่าศาลรัฐธรรมนูญจะอนุญาตให้ขยายเวลาครั้งที่ 2 ตามที่ได้ร้องขอหรือไม่
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การยื่นขอขยายเวลาครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 2 หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยอนุญาตให้ขยายเวลาออกไป 30 วัน ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 8 ก.ค. หากศาลรัฐธรรมนูญอนุญาต จะเท่ากับว่านายธนาธรยืดเวลายื่นคำชี้แจงออกไป 45 วัน รวมกับ 15 วันที่ศาลรัฐธรรมนูญให้ยื่นคำชี้แจงตามขั้นตอน ก็จะทำให้นายธนาธรมีเวลาทำคำชี้แจงนานถึง 60 วัน      
    สำหรับคดีหุ้นวี-ลัค มีเดีย ของนายธนาธรนั้น ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งรับคำร้องของ กกต.ไว้วินิจฉัยเมื่อวันที่ 23 พ.ค. และสั่งให้นายธนาธรหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย
    ขณะที่นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค อนค. แถลงข่าวหัวข้อ "มาตรฐานการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ กรณี 41 ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลถือหุ้นสื่อ" ระบุว่า ตั้งแต่ปี 2562 แนวทางการตัดสินของศาลมี 2 กรณี ได้แก่ 1.เกณฑ์การพิจารณาว่ามีการถือหุ้นสื่อจริงหรือไม่ 2.กรณีศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่เป็นการชั่วคราว โดยกรณีแรก มีคำพิพากษา 2 คดีหลักๆ ได้แก่ กรณีของนายภูเบศวร์ เห็นหลอด ผู้สมัคร ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ และ 2.นายคมสันต์ ศรีวนิชย์ ผู้สมัคร ส.ส.จากพรรคประชาชาติ ซึ่งวางแนวทางไว้แล้วว่า พิจารณาจากหนังสือบริคณห์สนธิ หากมีวัตถุประสงค์ข้อใดข้อหนึ่งที่ระบุว่าเกี่ยวกับสื่อสิ่งพิมพ์ ถือว่าคนนั้นทำบริษัทสื่อจริง โดยไม่ได้ดูว่าเขาประกอบกิจการจริงหรือไม่ แต่ดูจากวัตถุประสงค์เท่านั้น ซึ่งทั้ง 2 คนก็ถูกพิพากษาว่ามีลักษณะต้องห้ามจนถูกตัดสิทธิ์ ซึ่งนี่เป็นแนวบรรทัดฐานกรณีแรก
    นายปิยบุตรกล่าวว่า กรณีการร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญตามช่องทางมาตรา 82 ตามรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรนูญ สามารถสั่งพิจารณาสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว ซึ่งเกิดกับนายธนาธร หลังจากที่ กกต.ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ซึ่งคำสั่งของศาลระบุว่ามีเหตุอันควรสงสัย และ 2.หากปล่อยให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป จะเกิดปัญหาทางกฎหมายจนเป็นอุปสรรคในสภาผู้แทนราษฎร ทั้งสองกรณีทำให้เราต้องมาไล่กันว่ากรณีอื่นๆ ที่เคยเกิดขึ้น และกำลังจะเกิดขึ้น จะยึดบรรทัดฐานแบบไหน 
    เลขาฯ พรรค อนค.กล่าวว่า มี 4 กรณีที่ใกล้เคียงกัน ได้แก่ 1.กรณีนายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.การต่างประเทศ 2.กรณี 4 รัฐมนตรี 3.กรณีของนายธนาธร 4.กรณี 41 ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล ซึ่งกรณีนายดอน กกต.มีการยื่นคำร้องในวันที่ 1 พ.ค.2560 ใช้เวลาพิจารณา 386 วัน ก่อนส่งศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญใช้เวลาพิจารณาว่าจะสั่งให้หยุดหรือไม่หยุดอีก 70 วัน สุดท้ายศาลมีคำวินิจฉัยว่านายดอนไม่ผิด 
    "กรณีรัฐมนตรี กกต.มีการยื่นคำร้องต่อ กกต.ในวันที่ 23 ม.ค.2561 ใช้เวลา 355 วัน ถึงส่งคำร้องไปศาลรัฐธรรมนูญ ก่อนศาลรัฐธรรมนูญ ใช้เวลาพิจารณาอีก 75 วัน ก่อนวินิจฉัยว่าไม่ต้องหยุด และจนถึงตอนนี้ก็ยังรอคำวินิจฉัยอยู่ว่าผิดหรือไม่ ส่วนกรณีนายธนาธร มีการยื่นคำร้องต่อ กกต.ในวันที่ 25 มี.ค.2562 กกต. ใช้เวลา 51 วัน ส่งคำร้องไปศาลรัฐธรรมนูญ ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้เวลาเพียง 7 วันพิจารณารับคำร้อง ก่อนมีคำสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่เป็นการชั่วคราว ด้วยเหตุบังเอิญเป็นอย่างยิ่ง สั่งให้หยุดในวันที่ 23 พ.ค. ซึ่งในวันที่ 24 เป็นวันเปิดสภา และวันที่ 25 พ.ค. เป็นวันประชุมสภาครั้งแรก" เลขาฯพรรค อนค.กล่าว
    นายปิยบุตรกล่าวว่า กรณี 41 ส.ส. ได้มีการยื่นเรื่องในวันที่ 4 มิ.ย 2562 ให้ประธานสภาฯ ซึ่งประธานสภาฯ ใช้เวลา 8 วัน ก่อนยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ก่อนศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่อง ตอนนี้ก็ยังรอคำตอบอยู่ว่า ศาลมีคำสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่เป็นการชั่วคราวหรือไม่ ถึงวันนี้ก็ผ่านไป 9 วันแล้ว ซึ่งก็ไม่ทราบว่าจะใช้บรรทัดฐานแบบใดกันแน่ ในเมื่อข้อเท็จจริงคล้ายกันทั้ง 4 กรณี เหตุใดกรณีของนายธนาธรจึงเร็วผิดปกติ
จี้มาตรฐาน'ศาลรธน.'
    "การถือหุ้นสื่อของนายธนาธร เมื่อเทียบกับกรณี 41 ส.ส.นั้นไม่เหมือนกันจริงๆ เพราะนายธนาธรโอนหุ้นหมดแล้วตั้งแต่วันที่ 8 มี.ค.2562 ทำให้ไม่มีหุ้นสื่ออยู่ในมือ แต่กรณี 41 ส.ส.นั้น ยังคงมีหุ้นอยู่หลังวันที่ 8 มี.ค.ไปแล้วอย่างชัดเจน โดยไม่ได้มีการถกเถียงกันด้วยซ้ำว่าถือหุ้นอยู่จริงหรือไม่ แต่ที่พยายามบอกว่า บริษัทของพวกเขาไม่ได้ทำสื่อ ซึ่งผมอยากถามว่าแล้วกรณีนายภูเบศวร์และนายคมสันต์ ตกลงประเทศนี้จะเอามาตรฐานแบบไหนกันแน่ หากยึดเอาตามมาตรฐานของศาลฎีกา อย่างไรเสียก็ต้องวินิจฉัยว่า อยู่ในลักษณะต้องห้าม” นายปิยบุตรกล่าว
    เลขาฯ พรรค อนค.กล่าวว่า กรณีของนายธนาธรไปเอามาจากคำร้องของนายคนหนึ่ง ที่ก๊อบปี้มาจากข่าวของสำนักข่าวแห่งหนึ่ง โดยพิจารณาดูเพียงเอกสารแบบรายชื่อผู้ถือหุ้น หรือ บอจ.5 และหนังสือบริคณห์สนธิ โดยไม่ได้ไต่สวนให้ละเอียด ซึ่งคณะกรรมการไต่สวนของ กกต. ยังไต่สวนไม่จบ แต่ กกต.ทั้ง 7 ท่านกลับมีมติส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญแล้ว หากจะบอกว่า กกต.ตรวจสอบละเอียดนั้น ไม่น่าใช่ ขณะที่กรณี 41 ส.ส. เราค้นไปถึงว่ามีการประชุมผู้ถือหุ้นอยู่จริง มีพยานหลักฐานชัดเจนทั้งหมด หรืออย่างกรณีนายคมสันต์และนายภูเบศวร์นั้น กกต.ไม่ได้เรียก ทั้ง 2 ไปให้ข้อมูลใดๆ แต่ส่งเรื่องให้ศาลฎีกาตัดสินเลย เมื่อนำมาเทียบเคียงกันดูกับกรณีของนายดอน และ 4 รัฐมนตรี ใช้เวลาเกือบปี ในการตรวจสอบ พอไปถึงศาลยังใช้เวลาอีก 2 เดือนเศษ ก่อนจะบอกว่าไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ เพราะฉะนั้นไม่เกี่ยวว่าผู้ร้องเป็น ส.ส. เข้าชื่อยื่นเรื่องผ่านประธานสภาฯ หรือเป็นประชาชนที่ร้องไปยัง กกต.
    "ที่บอก 27 ส.ส.พปชร.สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ เพราะกำลังปฏิบัติเรื่องสำคัญอยู่ ผมต้องชี้แจงว่า คำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญนั้น ระบุว่า หากให้นายธนาธรปฏิบัติหน้าที่ต่อ จะก่อให้เกิดปัญหาในสภา เนื่องจากเป็นการปฏิบัติภารกิจสำคัญ แต่ 27 ส.ส.กลับบอกว่า พวกเขากำลังทำหน้าที่สำคัญ เพราะฉะนั้นปล่อยให้พวกเขาทำหน้าที่เถอะ แล้วสุดท้ายมาตรฐานนั้นอยู่ตรงไหน หากเป็นเรื่องสำคัญเหมือนกัน ก็ต้องหยุด ไม่อย่างนั้นก็ยิ่งเสียหาย เพราะทั้ง 27 ท่านอยู่ในรัฐบาล เสียงปริ่มน้ำ ซึ่งส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงนายกรัฐมนตรีได้เลย หากใช้มาตรฐานเดียวกัน กรณี 41 ส.ส. ต้องได้รับการปฏิบัติแบบเดียวกัน" เลขาฯพรรค อนค.กล่าว
    นายปิยบุตรกล่าวว่า พรรค อนค.ยืนยันถ้าเลยเวลาแบบนี้ไปเรื่อยๆ ทั้งที่เป็นกรณีเดียวกัน เราไม่ได้มีอำนาจไปแทรกแซงการทำงานของศาล ศาลมีอำนาจพิจารณา แต่เราก็มีเสรีภาพในการแสคงความเห็น ที่อย่างน้อยต้องกระทุ้งเตือนให้สังคมเห็นว่าทำไมเรื่องที่คล้ายกันถึงปฏิบัติไม่เหมือนกัน  
    “ผมเรียนว่าเราไม่ได้ตั้งคำถามต่อองค์กรใดองค์กรหนึ่ง แต่เป็นการตั้งคำถามต่อกระบวนการยุติธรรม พรรค อนค.ไม่ได้เรียกร้องอะไรเลย เพียงแต่ขอให้มีมาตรฐานต่อกระบวนการยุติธรรมอย่างเท่าเทียมกัน สิ่งที่เหมือนกันต้องได้รับการปฏิบัติเหมือนกัน สิ่งที่แตกต่างกันก็ต้องได้รับการปฏิบัติแตกต่างกัน ความยุติธรรมจะเกิดขึ้นได้นั้น ต้องตั้งอยู่บนศรัทธาของพี่น้องประชาชน ไม่ใช่การเขียนกฎหมาย ต่อให้คุณเขียนกฎหมายว่าทุกองค์กรต้องใช้อำนาจด้วยความยุติธรรม ก็ไม่สามารถสร้างกระบวนการยุติธรรม” นายปิยบุตรกล่าว
    ถามว่า คำร้องของพรรค พปชร. เป็นการใช้เทคนิคทางกฎหมายเพื่อชี้ช่องทางออกให้ศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายปิยบุตรกล่าวว่า ไม่มีปัญหา ตนเคารพวิธีการสู้คดีของแต่ละฝ่าย จะสู้เรื่องหยุมหยิมระหว่างเรื่องหนังสือกับคำร้องก็ไม่เป็นไร แต่ไม่ส่งผลถึงขั้นยกฟ้อง เรายืนยันทำเป็นคำร้องอย่างครบถ้วน
    “ส่วนจะขอใช้วิธีการสู้คดีในการไต่สวน ทางเราดูกฎหมายแล้วพบว่าทำไม่ได้ แต่ถ้าท่านทำได้ และศาลให้ทำ ผมก็ขอทำบ้างกับกรณีของนายธนาธร” นายปิยบุตรกล่าว
    ซักถึงเรื่องที่นายธนาธรขอขยายเวลาเข้าชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญออกไปอีก 15 วัน เลขาฯ พรรค อนค.กล่าวว่า ในชั้นการพิจารณาของศาล ถือเป็นชั้นสุดท้ายแล้ว ต้องรอบคอบและใช้สิทธิของเราตรวจสอบเอกสารให้แม่นชัดเจนครบถ้วน
    ถามว่า มีกรณีไหนหรือไม่ที่ศาลฎีกามีคำตัดสินไปแล้ว แต่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินโดยสร้างบรรทัดฐานใหม่ นายปิยบุตรกล่าวว่า ยังไม่เคยมี คดีนี้ต้องลองจับตาดูว่าจะเป็นอย่างไร
    เลขาฯ พรรค อนค.ยังปฏิเสธข่าวการปรับบทบาทของ น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรค ว่ากระแสข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง น.ส.พรรณิการ์ยังเป็น ส.ส.และเป็นโฆษกพรรค ยังคงมีบทบาทในการทำงานหลายเรื่อง 
    "ที่ต้องตั้งรองโฆษกเพิ่ม ต้องเรียนว่าทุกพรรคก็มีรองโฆษก งานของพรรคมีมากขึ้น จึงต้องตั้งรองโฆษกมาแบ่งงาน ผมตั้งใจไว้ว่าต้องการให้ ส.ส.แบ่งเขตมาเป็นรองโฆษกด้วย เพราะเขามีผลงานในการทำพื้นที่ หาเสียงจนชนะเลือกตั้ง ไม่ใช่จะมาจาก ส.ส.บัญชีรายชื่อทั้งหมด ดังนั้น น.ส.พรรณิการ์ยังมีบทบาทสำคัญในด้านการต่างประเทศและสิทธิมนุษยชน" เลขาฯพรรค อนค.กล่าว
ยื่นสอบฝ่ายแค้นคืน
    วันเดียวกัน นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ผู้ยื่นเรื่องต่อ กกต.ให้ตรวจสอบกรณีนายธนาธรถือครองหุ้นในกิจการสื่อสิ่งพิมพ์ของบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด และอีกหลายบริษัท ที่อาจจะเข้าข่ายขัดคุณสมบัติตามมาตรา 98 (3) แห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ประกอบมาตรา 42 (3) ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ.2561 ห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า "ถึงอนาคตหมด เวลายื่นคำชี้แจง กกต.ทำเป็นผยอง หอบเอกสารมาเป็นลัง แถมคุยโม้ว่าชี้แจงได้หมด แต่กับศาล รธน. ขอขยายอีกรอบ 2 แล้ว ไม่แน่จริงนี่หว่า..."
    ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) มีรายงานว่า ในสัปดาห์หน้า พรรค พปชร.เตรียมนำรายชื่อ ส.ส.ในฝั่งของ 7 พรรคการเมือง กรณีถือครองหุ้นหรือเป็นเจ้าของกิจการสื่อ ประมาณ 30 คน ไปยื่นถึงนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อดำเนินการส่งเรื่องให้ศาลพิจารณาต่อไป เนื่องจากพบมีแกนนำคนสำคัญของพรรคเพื่อไทยอยู่ในจำนวนดังกล่าวด้วย ได้แก่ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ ที่มีชื่อปรากฏในข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ว่าเป็น 1 ในกรรมการของบริษัท ชินดิเคท แอ็ดเวอร์ไทชิ่ง จำกัด ซึ่งเป็นกรรมการที่ลงชื่อผูกพันบริษัทได้ โดยวัตถุประสงค์ของการประกอบกิจการคือ รับจัดทำโฆษณาทางโทรทัศน์ ภาพยนตร์ หนังสือพิมพ์ รวมถึงหนังสือ นิตยสาร วิทยุ ในการออกแบบโฆษณา การทำป้ายโฆษณา
    นอกจากนี้ ยังพบนายไพโรจน์ โล่ห์สุนทร ส.ส.ลำปาง พรรคเพื่อไทย มีชื่อเป็นกรรมการในบริษัท สยามเทเลโฟน ไดเรคทอรี่ จำกัด ซึ่งวัตถุประสงค์ในประกอบกิจการมีทั้งสิ้น 44 ข้อ โดยในข้อ 41 ระบุว่า ประกอบธุรกิจทางด้านการให้บริการข่าวสาร ข้อมูลต่างๆ ผ่านข่ายงานบริการขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยและการสื่อสารแห่งประเทศไทย เช่น การให้บริการของโฟโนเทเลกซ์ และในข้อ 42 ประกอบกิจการรับจ้างทำโฆษณาทางวิทยุโทรทัศน์ และทางสื่ออื่นทุกชนิด กิจการรับส่งข่าวภายในประเทศและจากทั่วโลก โดยใช้โทรศัพท์แบบระบบธรรมดาและระบบคอมพิวเตอร์ 
    เช่นเดียวกับนายนิยม เวชกามา ส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย ซึ่งมีชื่อเป็น 1 ในกรรมการบริษัท มติไท จำกัด ซึ่งวัตถุประสงค์ในการจดทะเบียนกิจการข้อหนึ่งระบุว่า ประกอบกิจการโรงพิมพ์ รับพิมพ์หนังสือ และออกหนังสือพิมพ์.
    


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"