เรือดำน้ำรำลึก (1)


เพิ่มเพื่อน    

 

    ณ สถานที่แห่งหนึ่ง เมื่อปลายปี พ.ศ.2549 ครั้งยังเป็นคนข่าวหนุ่มฟ้อ ผมได้ยินเสียงพูดกันแว่วๆ ว่า “คนไทยซื้อเรือดำน้ำโซเวียต” และกำลังจะมีการลากเรือดำน้ำลำนี้กลับเมืองไทย ผมหูผึ่ง แล้วเข้าไปร่วมวงสนทนา ก่อนเอ่ยปากว่า “ผมไปด้วยได้มั้ย”
        วันต่อมาได้รับคำตอบว่า “ไปได้” ก็เลยต้องตัดใจลาออกจากงานประจำ เพราะภารกิจลากเรือดำน้ำคาดว่าจะกินเวลาเกือบ 5 เดือน ผู้ซื้อเรือดำน้ำคือ “คุณเจษฎา เดชสกุลฤทธิ์” เจ้าของพิพิธภัณฑ์เจษฎาเทคนิคมิวเซียม ซึ่งพิพิธภัณฑ์เปิดตัวต่อสาธารณะเป็นครั้งแรกในการแถลงข่าวเรื่องการลากเรือดำน้ำนี้เมื่อเดือนธันวาคม 2549 ผมเองได้รับความเมตตาให้ร่วมขบวนไปด้วยในฐานะผู้บันทึกการเดินทาง

 
จุดที่เรือดำน้ำ U-194 เคยจอดที่เมืองอูเมโอ ประเทศสวีเดน

    เรือดำน้ำที่คุณเจษฎาซื้อเป็นเรือของอดีตสหภาพโซเวียต เจ้าของคือชายจากฟินแลนด์ ชื่อ “ติโม วัลลิน” วัย 42 ปี เขาซื้อเรือดำน้ำมาจากรัฐบาลรัสเซียในราคาที่ถูกเหลือเชื่อหลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลายในต้นทศวรรษที่ 90 รัสเซียจำต้องขายยุทโธปกรณ์ออกไปเป็นจำนวนมาก เพราะเศรษฐกิจของประเทศกำลังย่ำแย่ ตอนติโมซื้อมาใหม่ๆ เรือดำน้ำสภาพยังดีอยู่ ถ้าไม่ถอดตอร์ปิโดก็ยังยิงได้
    เรือดำน้ำลำนี้เป็นเรือวิสกี้คลาส (Whisky Class) ใช้สำหรับลาดตระเวนระวังภัยในยุคสงครามเย็นระหว่าง 2 ขั้วอำนาจการเมืองโลก ประชาธิปไตยและคอมมิวนิสต์ เป็นรุ่น Projecktu 613 ผลิตออกมา 256 ลำตามคำสั่งของโจเซฟ สตาลิน เมื่อประมาณ 40 ปีก่อนหน้านั้น
    27 ตุลาคม 2524 เรือลาดตระเวน S-363 ตามชื่อเรียกของโซเวียต แต่ภายหลังสวีเดนเรียก U-137 ได้เกยตื้นห่างจากคาร์ลสกรูนา ฐานทัพเรือทางใต้ของสวีเดนประมาณ 10 กิโลเมตร เรือดำน้ำติดอยู่บนกองหินเกือบ 10 วัน เกิดการเผชิญหน้าจนเกือบนำไปสู่สงครามย่อยๆ ทางสวีเดนอ้างว่าใช้เครื่องตรวจจับรังสีแกมมาพบหัวรบนิวเคลียร์ อานุภาพทำลายล้างอาจพอๆ กับที่สหรัฐใช้ถล่มเมืองนางาซากิของญี่ปุ่น แต่โซเวียตปฏิเสธข้อกล่าวหา เหตุการณ์น่าขนลุกขนพองนี้เรียกกันต่อมาว่า “วิสกี้ออนเดอะร็อก”
    เจ้าหน้าที่ของโซเวียตนายหนึ่งยอมรับสารภาพว่า ในเรือดำน้ำลำดังกล่าวมีตอร์ปิโดบางลูกติดหัวรบนิวเคลียร์จริง และได้รับคำสั่งให้ทำลายเรือดำน้ำทิ้งทันทีหากกองทัพเรือสวีเดนบุกเข้าค้น
    ลำที่คุณเจษฎาซื้อมานี้ก็เป็นรุ่นเดียวกับวิสกี้ออนเดอะร็อก ติโมใช้ชื่อ U-194 ตั้งแต่ซื้อมาจากรัสเซีย ซึ่งผมขอยกยอดเรื่องของสเปกเรือไปไว้อธิบายวันหลัง


 ขณะเจรจากับเจ้าหน้าที่บริษัทเรือเฟอร์รีที่เมืองอูเมโอ ประเทศสวีเดน

    ติโมได้นำเรือดำน้ำมาทำเป็นพิพิธภัณฑ์จอดหมุนเวียนตามชายฝั่งทะเลบอลติกของฟินแลนด์และสวีเดนอยู่หลายเมือง ขายตั๋วให้คนที่สนใจเข้าไปเยี่ยมชม หรือใครจะเช่าจัดงานเลี้ยงรื่นเริงก็ได้
    แต่เวลา 15 ปี ก็เพียงพอสำหรับการทำหน้าที่ “อนุสรณ์สงครามเย็น สู่สื่อกลางสันติภาพ” ตามที่ติโมตั้งปณิธานไว้ คุณเจษฎาตัดสินใจซื้อเพราะเห็นว่าเจษฎาเทคนิคมิวเซียมขณะนั้นมียานพาหนะครบเกือบทุกประเภทแล้ว ทั้งรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ หัวจักรรถไฟ จักรยาน เครื่องบินทหาร เครื่องบินพาณิชย์ เรือหลายชนิด ขาดก็แต่เรือดำน้ำ
    เมื่อได้เรือดำน้ำเป็นกรรมสิทธิ์แล้วก็จัดการหาเรือลาก จากนั้นฝ่ายเรือลากก็ออกแบบเส้นทางการนำเรือดำน้ำ U-194 สู่ประเทศไทย ตามแผนการจะเริ่มลากจากเมืองเฮลซิงบอร์ก ทางใต้ของสวีเดน ซึ่งเป็นเขตทะเลบอลติก ออกสู่ทะเลเหนือ ผ่านเดนมาร์ก เยอรมนี แหวกช่องแคบอังกฤษ ที่คั่นระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส เข้ามหาสมุทรแอตแลนติก แวะเมืองลาสปาลมาสในหมู่เกาะคานารีของสเปน เพื่อเติมน้ำมันเรือและซื้อเสบียงกรัง แล้วดิ่งลงมหาสมุทรแอตแลนติกใต้ โฉบไปทางแหลมกู๊ดโฮปของแอฟริกาใต้ ที่ตั้งชื่อไว้แก้เคล็ด ความจริงแล้วมีเรือมาอับปางที่แหลมนี้เป็นประจำ


 ที่เมืองวาซา ประเทศฟินแลนด์ รถของติโมเปิดประตูไม่ได้ ต้องพึ่งวิชาโจรขโมยรถของชายคนนี้

    จากนั้นล่องไปทางทิศตะวันออก ผ่านใต้ทวีปแอฟริกา เฉี่ยวๆ มาดากัสการ์ เลยไปแวะที่พอร์ตหลุยส์ เมืองหลวงของประเทศมอริเชียส ก่อนมุ่งสู่ความเวิ้งว้างของมหาสมุทรอินเดีย เข้าทะเลอันดามัน ตรงไปยังแผ่นดินไทยที่ภูเก็ต แวะสัมผัสเกาะสวรรค์ให้หายคิดถึงบ้านสักคืนสองคืนแล้วลากต่อลงไปยังมาเลเซีย มุดช่องแคบมะละกา ผ่านสิงคโปร์ หักหัวขึ้นเหนือสู่ทะเลอ่าวไทย เข้าปากแม่น้ำเจ้าพระยา ล่องขึ้นไปพระนครศรีอยุธยา และที่นั่นก็จะเป็นบ้านใหม่ของเรือดำน้ำ U-194 โดยขณะนั้นพิพิธภัณฑ์ของคุณเจษฎามีแผนจะย้ายจากนครชัยศรีไปอยู่ตรงนั้นด้วย (แต่ล้มเลิกไปแล้ว)
    วันที่ 10 มกราคม 2550 ผมกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่มักคุ้นกันชื่อ “สุธรรม นทีทอง” หรือ “พี่หมี” (ปัจจุบันบวชเป็นภิกษุสงฆ์ เวลานี้ท่านกำลังเดินธุดงค์จากตะวันตกสู่ตะวันออกของสหรัฐอเมริกา ส่วนหนึ่งของภารกิจเดินรณรงค์สันติภาพรอบโลก) นั่งเครื่องบินจากสุวรรณภูมิไปลงที่สนามบินอาร์ลันดา ชานกรุงสตอกโฮล์ม ติโมรอรับอยู่ที่สนามบิน เขาพาร่างอวบอ้วนพร้อมรถตู้เชฟโรเลตสีแดงมากับเรือเฟอร์รี ข้ามทะเลบอลติกมาจากฟินแลนด์ในเช้าวันเดียวกันนั้น
    ชายอีกคนเข้ามาสมทบ “ผุดผาดน้อย วรวุฒิ” อดีตยอดมวยไทยเจ้าของฉายา “ไอ้หมูแข้งทอง” ผู้เป็นคนเผยแพร่มวยไทยให้ยุโรปรู้จัก อยู่ฝรั่งเศส 23 ปี และในเวลานั้นย้ายมาสอนที่สวีเดนได้ 3 ปี ผุดผาดน้อยรู้จักกับคุณเจษฎาตั้งแต่สมัยอยู่ที่ฝรั่งเศส จะขออาสาลงเรือกลับเมืองไทยด้วย


 คุณสุธรรม (ปัจจุบันเป็นพระสงฆ์) ที่ท่าเรือเมืองวาซา ประเทศฟินแลนด์ อีกจุดที่เรือดำน้ำเคยจอด

    “สวัสดีครับลุงหมู” ผมเรียกชื่อเล่น แกย้อนว่า “ไอ้หนุ่มเอ็งพูดไม่เพราะเลย” ผมก็เข้าใจทันที “ขอโทษครับพี่หมู” ตอนนั้นแกอายุ 56 ปีแล้ว แต่ยังดูหนุ่มอยู่มาก เราสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว เพราะผมดื่มไวน์เป็นเพื่อนแกทุกคืน
    พวกเรา 4 คนในเชฟโรเลต เริ่มเดินทางย้อนอดีตของเรือดำน้ำ U-194 ไปตามเมืองต่างๆ ริมฝั่งทะเลบอลติก ที่เรือลำนี้เคยจอดให้ผู้คนได้สัมผัสชื่นชม คืนแรกนอนที่โรงแรม Ditt Hotel เมืองเยฟเล (Gavle) วันต่อมาเข้าไปเที่ยวในเมืองซุนด์สวาล (Sundsvall) และออกนอกเส้นทางไปยังเมืองบิสพ์กอร์เดน เขตรากุนดา (Ragunda) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เสด็จฯ เยือนเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2440 ในการเสด็จ ประพาสยุโรปครั้งที่ 1
    100 ปีต่อมา หน่วยงานรัฐ ชาวไทยในสวีเดน และเทศบาลท้องถิ่นสวีเดนร่วมกันสร้างพระบรมราชานุสรณ์ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 ขึ้น เป็นศาลาทรงไทย ความสูง 28 เมตร กว้างและยาวด้านละ 10 เมตร ด้านในประดิษฐานพระรูปเท่าพระองค์จริง เป็นสถานที่ในการพบปะในวันสำคัญและการทำกิจกรรมต่างๆ ของชาวไทยในสวีเดน ปัจจุบันมีศูนย์วิปัสสนาด้วย
    เสียดายเราไปถึงตอนกลางคืน ศาลาปิดแล้ว ไม่สามารถเข้าไปกราบพระพุทธเจ้าหลวงข้างในได้ อากาศตอนนั้นหนาวมาก ติดลบ 10 กว่าองศา ผมถ่ายวิดีโอได้ไม่กี่นาทีก็ปวดนิ้วจนขยับไม่ได้ พี่หมูอยู่สวีเดนมา 3 ปี ใส่ถุงมือก็ยังหนาว กลับเข้ารถแล้วก็รีบกระดกวอดก้าที่ติดมาคนละอึก ค่อยยังชั่ว 


 เตาทำอาหารที่บ้านของติโม

    เรากลับมาเข้าเส้นทางชายฝั่งอีกครั้งที่เมืองเอิร์นสโคลด์สวิก (Örnsköldsvik) คืนนั้นพักที่โรงแรม Scandic Hotel วันต่อมาขึ้นเหนือไปที่อูเมโอ (Umeå) ซึ่งเราจะต้องนั่งเรือข้ามไปยังฟินแลนด์เย็นนั้น ติโมโทรศัพท์จองที่พัก อธิบายว่าเป็นเรือนจำเก่า เอามาดัดแปลงทำเป็นโรงแรม แต่ยังให้บรรยากาศเดิมๆ พวกเราก็ลุ้นกันว่าขอให้ห้องเต็ม แล้วห้องก็เต็มสมใจชาวไทย
    ตอนจะลงเรือเกิดปัญหา เจ้าหน้าที่เรือเฟอร์รีไม่ยอมให้พี่หมูลงเรือ เพราะแกไม่ได้พกพาสปอร์ตมา มีแต่บัตรเรสซิเดนซ์ฝรั่งเศส แกคิดว่าเป็นกลุ่มเชงเก้นเหมือนกันไม่น่ามีปัญหา ฝ่ายติโมปั้นเรื่องขึ้นมาว่าเขาเป็นพี่น้องคนละแม่กับพี่หมู ติโมเกิดที่เยอรมนี พี่หมูเกิดฝรั่งเศส และโม้อะไรอีกหลายอย่าง สุดท้ายเจ้าหน้าที่ให้ผ่านอย่างงงๆ  
    นั่งเรือ 5-6 ชั่วโมงก็ถึงฟินแลนด์ที่เมืองวาซา (Vaasa) ตั้งตามชื่อราชวงศ์วาซาของสวีเดน ซึ่งในอดีตฟินแลนด์เคยถูกสวีเดนยึดครองอยู่นานเกือบ 700 ปีเลยทีเดียว คืนนี้พักที่ Sokos Hotel วาซาเป็นเมืองที่ดูคึกคักพอสมควร แต่เราไม่ได้ออกไปเที่ยว เพราะกินมื้อเย็นมาจากในเรือแล้ว นั่งที่บาร์ของโรงแรมชั่วโมงกว่าๆ ก็เข้านอน


 หิมะตกหนักที่เมืองโพรี ประเทศฟินแลนด์

    สายๆ วันต่อมาติโมพาไปยังจุดที่เคยจอดเรือดำน้ำ ท้องฟ้าสีหม่นหมอง น้ำบริเวณท่าเรือกลายเป็นน้ำแข็งและถูกปกคลุมด้วยปุยหิมะ เป็นครั้งแรกของผมที่ได้สัมผัสตัวแทนความหนาวนี้ อ้าปากรับเกล็ดสีขาวที่ร่วงลงจากฟ้า จึงได้รู้ว่าหิมะไม่มีรสชาติ
    จากนั้นติโมขับรถเลียบฝั่งตะวันตกของประเทศฟินแลนด์ลงมาทางใต้ถึงเมืองโพรี (Pori) ซึ่งบ้านของเขาตั้งอยู่ในเขตชานเมือง ภรรยาติโมทำพายแซลมอนและพายบลูเบอร์รีไว้ต้อนรับ พร้อมกาแฟร้อนๆ
    บ้านของติโมเป็นบ้านโบราณ ในอาณาบริเวณเดียวกันมีถึง 11 หลัง ส่วนมากไว้เก็บยานพาหนะทั้งใหม่-เก่าที่เขาสะสมไว้เป็นจำนวนมาก ซาวน่าแบบดั้งเดิมก็มี ข้าวของบางอย่างที่ติดมากับเรือดำน้ำ U-194 เขาเก็บไว้ในอาคารหลังหนึ่ง อาทิ กระติกน้ำอเนกประสงค์ของทหารโซเวียต เข็มขัด เข็มกลัด เขาแจกให้เราเท่าที่เราจะเอาไปได้
    คืนนั้นเราพักที่ Sokos Hotel โรงแรมที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศ ติโมกับภรรยาพาเราไปกินข้าวเย็นที่ร้านหนึ่งใกล้ๆ โรงแรมก่อนจะแยกย้ายกัน วันต่อมาพายุหิมะพัดถล่ม บ้านติโมโดนหนักถึงขั้นไฟดับ ฮีทเตอร์ทำงานไม่ได้ เวลาบ่าย 2 หลังจากช่างไฟฟ้าซ่อมเสร็จเขาก็ออกมาหาเราขณะที่เรากินเคบับและพิซซ่าอยู่ที่ร้านอาหารข้างๆ จัตุรัส Market Square แล้วพาไปยังเกาะ Reposaari ที่เรือดำน้ำเคยจอด ซึ่งมีถนนเชื่อมต่อกับแผ่นดินใหญ่ ห่างจากตัวเมืองโพรีราว 30 กิโลเมตร


 รถกวาดหิมะทำงานอย่างรวดเร็วเพื่อให้ชีวิตประจำวันของชาวเมืองดำเนินไปได้ไม่ติดขัด

    ติโมแวะดูกิจการล่องเรือบริการนักท่องเที่ยว (ในฤดูร้อน) ของเขา แล้วพาไปชมบ้านพักชาวประมงในถนนใกล้ๆ ท่าเรือ เขาบอกว่าหนังฮอลลีวูดเรื่อง White Night ได้มาถ่ายทำแถวนี้ ใช้คนท้องถิ่นเป็นนักแสดงตัวประกอบจำนวนมาก ออกฉายปี พ.ศ.2528 เนื้อหามีความเกี่ยวข้องกับสงครามเย็น แต่ออกแนวดราม่า มีเพลง Say You, Say Me ของ Lionel Richie เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ที่ดังมาก  
           เย็นนั้นติโมต้องรีบกลับบ้าน เพราะสภาพอากาศยังแย่อยู่ นอกจากภรรยาแล้วก็ยังมีหมา แมว และกระต่ายในกรงที่ต้องดูแล พวกเรา 3 คนกินข้าวเย็นกันที่ร้านอาหารเม็กซิกันของโรงแรม พี่หมีขึ้นนอนแต่หัวค่ำ ส่วนผมกับพี่หมูดื่มไวน์คนละสอง-สามแก้วก็ตามขึ้นไป
    ตอนเที่ยงวันต่อมาติโมมารับเราไปที่บ้านอีกครั้งแล้วจึงออกเดินทางลงใต้ไปที่เมืองอุสิเกาปุงกิ (Uusikaupunki) ท่าเรือแรกของ U-194 บนแผ่นดินฟินแลนด์ เขายังชี้ให้ดู Maritime School โรงเรียนการเดินเรือที่เขาเคยเข้าเรียนอยู่ประมาณครึ่งปี ตั้งอยู่ใกล้ๆ จุดจอดเรือดำน้ำ จากนั้นพาพวกเราเดินทางต่อไปยังเมืองท่าตูรกุ (Turku) เพื่อขึ้นเรือเฟอร์รีของบริษัท SeaWind Line (ปัจจุบันล้มเลิกกิจการไปแล้ว) กลับสตอกโฮล์ม


 ผู้สูงอายุออกมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติเพราะรถกวาดหิมะทำงานอย่างรวดเร็ว

    เรือออกประมาณ 4 ทุ่ม เรากินมื้อค่ำกันในร้านอาหารของเรือ ผมลองไปหยอดเหรียญเสี่ยงโชคกับเครื่องเล่นที่เรียกว่า Cash & Carry แต่พอเสียประมาณ 6 ยูโรก็เลิก (ฟินแลนด์ใช้เงินสกุลยูโร ส่วนสวีเดนใช้เงินสกุลโครน)
    ในเรือเฟอร์รีขนาดใหญ่นี้มีแหล่งบันเทิงอยู่ครบครัน นอกจากตู้เสี่ยงโชคจำนวนหนึ่งแล้วยังมีร้านขายสินค้าปลอดภาษีด้วย ผมซื้อเสื้อและกระเป๋ามาอย่างละชิ้นแล้วกลับไปนั่งดื่มต่อที่โต๊ะ พี่หมีขอตัวไปนอน ติโมนั่งต่ออยู่อีกสักพักก็ลุกตาม ผมรอดูว่าพี่หมูหยุดเมื่อไหร่ก็จะหยุดด้วย กระทั่งตี 2 กว่าๆ ไวน์หมด ผมหันไปมองแกเพื่อจะเอาคำตอบ แกพยักหน้า ผมโล่งอก เพราะนี่หมายความว่า “นอนเถอะ”
    ในห้องนอนของเราที่เป็นแบบเคบิน 4 เตียง สำหรับ 4 คน ติโมไม่ได้นอนอยู่ เขาเฉลยตอนรุ่งเช้าว่าถ้าเขานอนร่วมกับพวกเราคงไม่มีใครหลับลง เพราะเขากรนดังมาก แม้ภรรยาก็ยังขอแยกห้องนอน เขาเลยแอบจ่ายพิเศษให้กับพนักงานเรือคนหนึ่งเป็นเงิน 20 ยูโร
    เพื่อขอนอนคนเดียวในห้องที่ว่างทั้ง 4 เตียง.

 

 

แกลลอรี่


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"