ติวตร.ศาลล่าพวกหลบหนี รับก๊วนนช.แม้วจับไม่ง่าย


เพิ่มเพื่อน    

 ก๊วนหนีคดีมีหนาว! เลขาฯ ศาลยุติธรรมเผยจัดอบรมตำรวจศาลชุดแรกหลัง 16 ก.ค.นี้อย่างเข้มข้น ประเดิมตามจับผู้ต้องหาหรือจำเลยที่สวมกำไลข้อเท้า EM 163 ราย ส่วนก๊วน น.ช.ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ไม่ได้หยุดอยู่กับที่ให้ตามจับได้ง่ายๆ แต่เชื่อความร่วมมือในกระบวนการยุติธรรมจะดีขึ้น พร้อมเตรียมเชื่อมโยงข้อมูลกับ ตม.ทั่วประเทศสกัดหลบหนีออกนอกประเทศ 

    เมื่อวันจันทร์ นายสราวุธ เบญจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวถึงความพร้อมการจัดอัตรากำลังเจ้าพนักงานตำรวจศาล (Court Marshal) ในงานสัมมนาสื่อมวลชนสัมพันธ์ประจำศาลยุติธรรม วันที่ 29-30 มิ.ย.ที่ผ่านมา ณ โรงแรม Oakwood ศรีราชา ว่า กำลังอัตราของเจ้าพนักงานตำรวจศาลในเบื้องต้นขณะนี้ได้กำหนดไว้ 40 อัตรา มีผู้สมัครเข้ามาหลายร้อยคน ซึ่งได้ทำการคัดเลือกคุณสมบัติที่เหมาะสมแล้ว รอการยืนยันโอนย้ายเพื่อมาบรรจุเป็นเจ้าพนักงานตำรวจศาล โดยในส่วนตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มระดับชำนาญการพิเศษ, ชำนาญการนั้นส่วนใหญ่ก็รับโอนมาจากทหาร, ตำรวจ  และหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมที่เกี่ยวข้อง สำหรับภารกิจเมื่อได้รับบรรจุมาแล้วก็จะพิจารณาตามหน้าที่ที่เหมาะสมต่อไป เช่น เรื่องการดูแล กู้ระเบิดก็ต้องมีเพราะดูแลความปลอดภัยทั้งอาคารศาล หรือ เรื่องเกี่ยวกับระบบ รวมทั้งระบบอาวุธยุทโธปกรณ์ ระบบข้อมูลข่าวสาร 
    นายสราวุธกล่าวว่า เมื่อหน่วยงานต้นสังกัดมีคำสั่งให้โอนย้ายแล้ว สำนักงานศาลยุติธรรมก็จะมีคำสั่งรับโอนมาทันที ซึ่งขณะนี้ยังไม่ครบ 40 อัตรา แต่ในวันที่ 16 ก.ค.นี้จะต้องจัดกำลังอัตราให้ได้จำนวนใกล้เคียงที่สุด โดยหลังจากวันที่ 16 ก.ค.แล้วอีก 4-5 วัน สํานักงานศาลยุติธรรมก็จะจัดการฝึกอบรมเจ้าพนักงานตำรวจศาลที่ศูนย์ฝึกอบรมตลิ่งชัน โดยจะเป็นการอบรมเพิ่มความเข้มข้นจากผู้เชี่ยวชาญ ปรมาจารย์ด้านกฎหมาย ทั้งอดีตผู้พิพากษาศาลฎีกาหรืออดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม ส่วนทักษะภาคสนามนั้นส่วนใหญ่ผู้รับโอนมาบรรจุก็ผ่านการฝึกอบรม มีทักษะมาจากหน่วยงานสังกัดเดิมอยู่แล้ว ซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจศาลนี้จะถือเป็นข้าราชการศาลยุติธรรมประเภทหนึ่งด้วย จะมีความเจริญก้าวหน้าตามสายงาน โดยสามารถเติบโตได้ตำแหน่งสูงสุดคือระดับรองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ถ้าเทียบระดับตามระบบซีคือซี 10 
    เลขาธิการศาลยุติธรรมกล่าวถึงภารกิจของเจ้าพนักงานตำรวจศาลว่า คือการติดตามจับกุมผู้ต้องหาหรือจำเลยที่สวมกำไลข้อเท้า EM แล้วหลบหนีระหว่างการพิจารณาคดีของศาล ขณะนี้มีจำนวน 163  ราย เมื่อจะมีเจ้าพนักงานตำรวจศาลเข้ามาเริ่มทำหน้าที่ในวันที่ 16 ก.ค.นี้ ก็จะได้รับมอบภารกิจในการติดตามจับกุมให้กลับมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต่อไป ซึ่งคาดว่าเป็นการทําลายอุปกรณ์ EM ทิ้งแล้วหลบหนีไป โดย พ.ร.บ.เจ้าพนักงานตำรวจศาล พ.ศ.2562 มาตรา 5 เมื่อศาลได้ออกหมายจับผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกหรือคำสั่งศาล ให้ศาลมีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานตำรวจศาลเป็นผู้จัดการตามหมายจับ หากศาลเห็นสมควรอาจให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจเป็นผู้จัดการตามหมายจับด้วย โดยมีเจ้าพนักงานตำรวจศาลเป็นผู้สนับสนุนก็ได้
    "กฎหมายเขียนให้เจ้าพนักงานตำรวจศาลมีหน้าที่ประสานงานให้ตำรวจที่มีอำนาจหน้าที่ หรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องตามหมายจับผู้ต้องหาหรือจำเลยนั้นทำการจับกุมก่อน แต่หากยังไม่ดำเนินการหรือกรณีนั้นเป็นความจำเป็นเร่งด่วน เจ้าพนักงานตำรวจศาลก็สามารถดำเนินการได้เอง ทั้งนี้เพราะด้วยข้อจำกัดที่เจ้าพนักงานตำรวจศาลเรามีจำนวนน้อย 40 อัตรา ในส่วนของตำรวจมีกำลังถึง 200,000 นาย มีหน้าที่หลักในการติดตามจับกุมตัวอยู่แล้ว"
     นายศราวุธกล่าวต่อว่า เจ้าพนักงานตำรวจศาลไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อให้ซ้ำซ้อนกับระบบปกติ ระบบตำรวจศาลเป็นผู้ประสานงานหรือหน่วยเสริมในภารกิจที่ขาดเจ้าภาพชัดเจน เช่นกรณีล่าสุดการฟ้องคดีจะขาดอายุความใน 4-5 วัน แล้วก็รู้ตัวผู้ต้องหาที่จะต้องติดตามจับกุมตัวมาฟ้อง ก็ไม่มีใครชี้ตัวให้จับมา แต่ถ้ามีเจ้าพนักงานตำรวจศาลแล้ว หากเป็นกรณีที่คดีได้อยู่ในกระบวนการขั้นตอนของศาลแล้ว คดีจะขาดอายุความในไม่กี่วัน ถ้าเห็นตัวผู้นั้นตำรวจศาลก็ต้องไปเช็กข้อมูล แล้วแจ้งประสานไปยังตำรวจในท้องที่หรือผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้จับกุมได้เลย จึงเป็นการอุดช่องว่างในการทำงานเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
    เมื่อถามว่า ในส่วนของผู้ต้องหาและจำเลยที่เคยดำรงตำแหน่งสำคัญแล้วหลบหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ เช่น นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ยังหลบหนีการจับกุมดำเนินคดีอาญา, นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ซึ่งมีคดีในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ศาลได้พิพากษาจำคุกไว้แล้ว และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาจำคุกแล้วเช่นกันในคดีจำนำข้าว เมื่อมีเจ้าพนักงานตำรวจศาลแล้วจะสร้างมิติใหม่  ทำให้การติดตามจับกุมมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นหรือไม่ นายสราวุธกล่าวว่า ในส่วนผู้ต้องหาหรือจำเลยที่หลบหนีคดีไปต่างประเทศนั้น เป็นเรื่องของการประสานงานระหว่างประเทศและตำรวจสากล หรืออินเตอร์โพล (INTERPOL) การติดตามจับกุมตัวบุคคลที่กระทำผิดของเราในต่างประเทศนั้น เราไม่มีเขตอำนาจในต่างประเทศ โดยเจ้าพนักงานตำรวจศาลตามกฎหมายของเรานี้ไม่ใช่ตำรวจโลก แต่ยังเป็นตำรวจไทยที่มีอำนาจหน้าที่ในเขตของประเทศไทยเท่านั้น 
    ทั้งนี้ ในลักษณะทั่วไปของผู้ต้องหาและจำเลยที่หลบหนีไปต่างประเทศนั้น มักจะมีศักยภาพในการเดินทางไปยังประเทศต่างๆ โดยไม่ได้หยุดอยู่ที่ใดเฉยๆ ให้ตามจับกุมตัวได้ง่ายๆ ดังนั้นในส่วนการประสานงานกับต่างประเทศก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเสียทีเดียวด้วย
    "เรื่องนี้ผมเชื่อมั่นว่าระบบตำรวจศาล และความร่วมมือในกระบวนการยุติธรรมจะดีขึ้น แต่ปัญหาเหล่านี้ก็ใช่ว่าจะทำได้เพียงฝ่ายเดียว ตัวอย่างเช่นเรื่องการเชื่อมโยงข้อมูลหมายจับ-หมายค้นระบบออนไลน์อิเล็กทรอนิกส์ ตำรวจให้ความร่วมมือดีมาก ผบ.ตร.มอบให้ พล.ต.ท.ชนสิษฏ์ วัฒนวรางกูร ผช.ผบ.ตร.กำกับดูแล ก็ช่วยกันเปลี่ยนระบบให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และกระจายไปทั่วประเทศด้วยเรื่องนี้ต้องชม ขณะที่เรื่องการประสานทำระบบเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างศาลกับ ตม.ทั่วประเทศ ที่จะให้รู้ว่าคดีใดศาลมีคำสั่งผู้ต้องหาหรือจำเลยที่ได้ประกันตัวห้ามเดินทางออกนอกประเทศ  ซึ่งศาลได้เตรียมเชื่อมโยงระบบข้อมูลผ่านทางออนไลน์เป็นข้อมูลส่งถึงด่าน ตม.ทั่วประเทศ ก็ทำหนังสือถึง ผบ.ตร.เรียบร้อยแล้ว แต่ 6 เดือนที่ผ่านมาเรื่องยังติดอยู่ที่กองบัญชาการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เราก็พยายามทำให้ระบบเหล่านี้เกิดขึ้นให้ได้เร็ว" เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมระบุ.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"