แก้ปัญหาให้ตรงเป้า ในหลวงมีพระราชดำรัสแก่ครม.ชุดใหม่/'บิ๊กตู่'พร้อมลุยงาน


เพิ่มเพื่อน    


    “ในหลวง” มีพระราชดำรัสแก่คณะรัฐมนตรี งานใดๆ ก็ต้องมีปัญหา ต้องแก้ไขให้ตรงเป้าตรงจุด และเข้มแข็งอดทน ให้มุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่ตามคำถวายสัตย์ฯ เพื่อประโยชน์สุขและความมั่นคงของประเทศชาติและประชาชน “ประยุทธ์” โปรยยาหอมห้องประชุม ครม. รอพี่ๆ มานานแล้ว ขอทุกคนร่วมใจทำงานเป็นรัฐบาลของคนทั้งประเทศ “เพื่อไทย” วางเป้าถล่มคุณสมบัติ รมต.ในงานแถลงนโยบาย ไล่ชื่อมีนับสิบตั้งแต่บิ๊กตู่ถึงหม่อมเต่า “ธนาธร” เพ้อประเทศไทยยังไร้ประชาธิปไตย พร้อมนำต่อสู้แม้คดีถือหุ้นสื่อจะผิด
    เมื่อวันอังคารที่ 16 กรกฎาคม เวลา 17.45 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จออก ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีนำคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งใหม่เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ 
    ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัสแก่ ครม. ความว่า ขอถือโอกาสนี้ ให้พรให้ท่านมีกำลังใจ ความมั่นใจ ความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้ได้ตามคำถวายสัตย์ปฏิญาณ ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์สุขและความมั่นคงของประเทศชาติและประชาชน งานใดๆ ก็ต้องมีอุปสรรค งานใดๆ ก็ต้องมีปัญหา เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องแก้ปัญหา และเข้าหางาน เพื่อให้การบริหารประเทศเป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามสถานการณ์ โดยแก้ไขให้ตรงเป้าตรงจุด และมีความเข้มแข็งอดทน ก็ขอให้คณะรัฐมนตรี และรัฐบาลได้มีกำลังใจ มีพลังที่จะปฏิบัติหน้าที่ด้วยดี ด้วยความถูกต้องต่อไป
และในเวลา 18.00 น. ภายหลัง พล.อ.ประยุทธ์เดินทางกลับเข้าทำเนียบฯ หลังจากเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ฯ ได้ขึ้นไปสักการะพระพรหมบนตึกไทยคู่ฟ้าทันที จากนั้นได้ลงมาภาพหมู่ร่วมกับคณะรัฐมนตรีทั้งหมด หน้าสนามหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ซึ่งบรรยากาศการถ่ายภาพนั้น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ได้มายืนรอเป็นคนแรก ก่อนที่รัฐมนตรีคนอื่นๆ จะทยอยตามมา โดยนายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ได้หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเซลฟีตัวเอง พร้อมถ่ายภาพสื่อมวลชนเพื่อเป็นที่ระลึกด้วย ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ทักทาย ครม.ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส โดยปฏิเสธตอบคำถามใดๆ ต่อ สื่อมวลชน โดยใช้นิ้วแตะที่ริมฝีปากเป็นสัญลักษณ์เพื่อบอกว่ายังไม่ขอพูด
หลังถ่ายภาพหมู่ร่วมกันเสร็จ พล.อ.ประยุทธ์ได้มาสักการะศาลพระพรหมเจ้าที่ และศาลตายาย จากนั้นนายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงพระราชกระแสรับสั่งหลังเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณว่า เป็นพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดไม่ได้ ซึ่งทุกคนปลื้มปีติ ที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เข้าถวายสัตย์ฯ โดยทุกคนได้ถวายสัตย์ฯ ว่าจะทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เพื่อประเทศชาติและประชาชนต่อไป พระองค์ท่านได้พระราชทานกำลังใจให้คณะรัฐมนตรีทั้งหมดให้ทำงานได้ดีอย่างที่ตั้งใจไว้ ทำให้ทุกคนปลาบปลื้ม ซึ่งหลังจากนี้จะประชุมเพื่อทำความเข้าใจ คงไม่มีอะไรมากนัก เพราะทุกคนคุ้นเคยกันอยู่แล้ว มีประสบการณ์มากกว่าตนเองด้วยซ้ำ แต่จะคุยกันว่าต่อจากนี้จะทำงานร่วมกันได้อย่างไร 
    “ผมยินดีที่ทุกคนมาช่วยงานแบบนี้ ผมยินดีจริงๆ จะได้ไม่มีปัญหากันต่อไปในอนาคต ที่ผ่านมามีปัญหากันอยู่บ้าง จะด้วยความเข้าใจหรือด้วยเจตนาดีก็ตาม แต่เราได้พิสูจน์แล้วว่าเราได้เดินหน้าประเทศมาถึงวันนี้ได้รัฐบาลใหม่อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นผมคิดว่าสิ่งที่เราต้องเตรียมการกันต่อไปคือการแถลงนโยบายและการจัดทำพระราชบัญญัติงบประมาณ ซึ่งจะมีการหารือกันในวันนี้เพื่อให้เดินหน้าไปสู่ความเรียบร้อย ประเทศชาติหยุดไม่ได้ จะมีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม แต่เราต้องยุติปัญหาบางปัญหาที่ไม่จำเป็นออกไปให้ได้บ้าง และสร้างความรักความสามัคคี ประเทศชาติให้มากยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งหลักชัยของเราคือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ รวมถึงประชาชนด้วย” พล.อ.ประยุทธ์ระบุ 
เมื่อถามถึงการตั้งโฆษกประจำสำนักนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ยังไม่ใช่วันนี้
    ทั้งนี้ ระหว่างให้สัมภาษณ์ นายกฯ มีสีหน้ายิ้มแย้ม และสังเกตได้ว่านายกฯ มีสีหน้าปลาบปลื้มและตื้นตัน โดยระหว่างที่นายกฯ เดินขึ้นตึกบัญชาการ 1 เป็นประธานการประชุม ครม.นัดแรก ได้ยกมือขวาตบไปที่อกข้างซ้ายเบาๆ พร้อมกล่าวว่า มีความสุข
    นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า เมื่อได้รับฟังพระบรมราโชวาทแล้ว ทุกคนต้องน้อมใส่เกล้าฯ ทำงานเต็มที่เพื่อถวายพระองค์ท่าน มีรับสั่งว่าให้ช่วยทำงานเพื่อบ้านเมือง แค่นี้ก็ถือว่าอธิบายทุกอย่าง
    นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า ในหลวงมีกระแสพระราชดำรัสดีมาก โดย ครม.พร้อมรับสนองพระบรมราชโองการ
    นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม กล่าวถึงพระราชกระแสรับสั่งว่า ขอให้ตั้งใจทำงาน การทำงานย่อมมีอุปสรรค
    นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.การต่างประเทศ  กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัสแสดงความยินดีต่อ ครม. ขอให้ทำงานสำเร็จ ราบรื่น ก้าวข้ามปัญหาอุปสรรคต่างๆ 
    นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า มีกระแสพระราชดำรัสขอให้ ครม.มีสุขภาพแข็งแรง และช่วยกันแก้ปัญหา
นายประภัตร โพธสุธน รมช.เกษตรและสหกรณ์กล่าวว่า ในหลวงมีรับสั่งว่าขอให้ทุกๆ คนมีสุขภาพแข็งแรง ขอให้ทุกคนเข้มแข็ง ทุกอย่างมีอุปสรรค ทุกอย่างก็มีปัญหา ทุกคนต้องช่วยกันแก้ไข และขอให้ทุกคนมีสุขภาพแข็งแรง
    ขณะที่คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศึกษาธิการ กล่าวถึงพระราชดำรัสในหลวงว่า ทรงให้กำลังใจในการทำหน้าที่ให้ดีที่สุด และทำงานให้เกิดผลสำเร็จอย่างที่ตั้งใจไว้ เพื่อประเทศชาติประชาชน ซึ่งพวกเราทุกคนก็ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณ และน้อมรับกระแสพระราชดำรัส
นายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข กล่าวว่า ในหลวงรับสั่งว่าการทำงานต้องแก้ไขให้ตรงเป้า ตรงจุด ช่วยให้บ้านเมืองมีพลังในการบริหารประเทศให้ประสบความสำเร็จ 
    นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวถึงการเข้าปฏิบัติงานในกระทรวงว่า จะเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในวันที่ 22 ก.ค.นี้
ส่วนนายณัฏฐพลกล่าวว่า จะเข้าทำงานที่กระทรวงในวันที่ 18 ก.ค.นี้ เวลา 07.49 น. โดยก่อนหน้านี้ได้พูดคุยกับ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ อดีต รมว.ศึกษาธิการ และดูโครงสร้างของกระทรวงแล้ว รวมถึงอะไรหลายอย่างพอสมควร ซึ่งยังต้องได้รับฟังข้อมูลจากเจ้าหน้าที่กระทรวงเพิ่มเติม ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้หารือเรื่องการแบ่งงานกับรัฐมนตรีช่วยคนอื่น คงจะได้หารือกันหลังจากนี้
    ต่อมาในการประชุม ครม.นัดแรก พล.อ.ประยุทธ์กล่าวเปิดการประชุมว่า ในโอกาสที่ได้เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณแล้ว ถือเป็นมงคลแก่ ครม.ทุกคน และแสดงความยินดีทุกคนที่ได้เข้ามาร่วมงานกัน โดยตั้งใจว่าจะเป็นรัฐบาลของคนทั้งประเทศ เพราะฉะนั้นการทำงาน ก็จะจัดสรรหน้าที่ในความรับผิดชอบ ในแต่ละภาคและกลุ่มจังหวัดให้กับทุกคนอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้การทำงานและการดูแลประชาชน เกิดความทั่วถึงทุกกลุ่มทุกฝ่าย ส่วนนโยบายทางการเมืองเป็นเรื่องของแต่ละคน โดยนายกฯ จะดูแลทุกอย่างให้ดีที่สุด
บิ๊กตู่โปรยยาหอมรัฐมนตรี
    "ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี เป็นเกียรติ และมีความสุขที่ได้ทำงานกับพี่ๆ ทุกคน ห้องประชุมแห่งนี้รอทุกท่านมาหลายปีแล้ว เช่นเดียวกับผมก็รอทุกคนมาหลายปีแล้วเช่นกัน ซึ่งการทำงานที่ผ่านมาก็เดินหน้าตามโรดแมป ไม่ได้มีความมุ่งหวังว่าจะอยู่ให้นาน ไม่เคยคิดเลยตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ ซึ่งวันเวลาก็ผ่านพ้นไป บางคนอาจจะรู้สึกว่ามันนานเกินไป ผมก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน แต่ก็ได้ช่วยกันแก้ไขปัญหามามากมาย วันนี้มีทั้งรัฐมนตรีเก่าและใหม่ ก็ขอให้ทุกคนเดินหน้าในการทำงานร่วมกัน ด้วยความรักความสามัคคี ไม่แบ่งแยก และดูแลทุกอย่างตามที่ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณไว้" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
รายงานข่าวจากที่ประชุม ครม.แจ้งว่า​ พล.อ.ประยุทธ์ได้มอบหนังสือ 3 เล่มให้กับรัฐมนตรีทุกคน ประกอบด้วย​ หนังสือเศรษฐกิจดิจิทัล, ทางรอดในโลกใบใหม่ แห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 และหนังสือการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 โดยหนังสือทุกเล่มจะมีลายเซ็นของนายกฯ พร้อมข้อความว่า “ขอแสดงความยินดีและขอบคุณขอให้ประสบความสำเร็จ ลงชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
    ทั้งนี้ ก่อน ครม.เข้าพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณ บรรยากาศที่ทำเนียบรัฐบาลเต็มไปด้วยความคึกคัก โดยรัฐมนตรีหลายคนได้ทยอยเดินทางมารวมตัวกันที่ตึกบัญชาการ 1 ตั้งแต่ช่วงบ่าย โดยนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ เดินทางมาเป็นคนแรก ตามด้วยนายอนุทิน ขณะที่รัฐมนตรีในสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เดินทางมาอย่างพร้อมเพรียงกัน นำโดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์
    ส่วนบรรยากาศที่ตึกภักดีบดินทร์ ซึ่งเป็นตึกที่รัฐมนตรีชุดใหม่จะมารวมตัวถ่ายภาพก่อนเดินเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ฯ ก็มีรัฐมนตรีได้ทยอยเดินทางเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดย ม.ร.ว.จัตุมงคล โสภณกุล รมว.แรงงาน เดินทางมาถึงลำดับแรก ตามด้วย นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดิจิทัลฯ ขณะที่นายสุริยะและนายสมศักดิ์เดินทางมาโดยรถคันเดียวกัน และต่อมาเวลา 15.35 น. พล.อ.ประยุทธ์เดินทางมายังห้องทำงานตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เพื่อรอเวลานำ ครม.เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณ
    กระทั่ง 15.53  น. ครม.ที่รวมตัวกันอยู่ที่ตึกภักดีบดินทร์ได้ขึ้นรถยนต์ที่มาต่อขบวนรอจำนวน 8 คัน ออกจากทำเนียบฯ ไปยังพระที่นั่งอัมพรสถาน และต่อมาเวลา 16.05 น. นายกฯ ได้เดินทางออกจากตึกไทยคู่ฟ้าไปยังพระที่นั่งอัมพรสถานเช่นกัน
    นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ กล่าวถึงการประชุม ครม.ชุดใหม่นัดแรกว่า จะมีการขอมติเห็นชอบร่างนโยบายที่จะแถลงต่อรัฐสภา ถ้าหากไม่มีปัญหาอะไรก็สามารถส่งพิมพ์และแจกจ่ายให้กับ ส.ส.ได้ภายใน 24 ชม. ขณะเดียวกัน ที่ประชุม ครม.จะให้ความเห็นชอบแต่งตั้งนายดิสทัต โหตระกิตย์ เป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์เสนอ 
    ด้านนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ว่าที่หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์พิเศษไทยรัฐทีวี ถึงพรรค พท.ในยุคนี้ว่า พรรคประกอบด้วยบุคลากร 3 กลุ่ม ทั้งซีเนียร์ กลุ่มกลางๆ และกลุ่มเด็ก ซึ่งล้วนเป็นบุคลากรที่จะถูกบรรจุลงไปยังคณะกรรมการต่างๆ และจะทำงานอย่างจริงจัง โดยมีผู้ใหญ่ในพรรควางกรอบให้เดินไปในแนวเดียวกัน 
แจงไม่พบนายใหญ่
    เมื่อถามย้ำอีกว่า ในช่วงที่ผ่านมามักมีข่าวสมาชิกและแกนนำของพรรคเพื่อไทย (พท.) บินไปพบกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ต่างประเทศอยู่เป็นประจำ จะทำอย่างไรให้สลัดภาพเหล่านี้ออกจากพรรคได้ นายสมพงษ์กล่าวว่า ในข้อเท็จจริงตัวเองไม่เคยพบกับนายทักษิณมานานแล้ว แต่ข่าวแบบนี้ไม่รู้จะว่าอย่างไร ส่วนสมาชิกพรรคคนใดจะไปพบกับนายทักษิณส่วนตัว ก็เป็นเรื่องของเขา พรรคห้ามไม่ได้ ส่วนสโลแกนของพรรคที่เปลี่ยนจากทักษิณคิด เพื่อไทยทำ มาเป็นประชาชนคิด เพื่อไทยทำนั้น คือหัวใจของพรรคคือประชาชน เมื่อประชาชนว่าอย่างไร พรรคก็ทำอย่างนั้น ซึ่งไม่ใช่เฉพาะประชาชนที่คิด แต่พรรคร่วมคิดด้วย และยึดมั่นที่หัวใจคือประชาชน
    นายสมพงษ์ยังกล่าวถึงการอภิปรายในช่วงแถลงนโยบายของรัฐบาล ว่ามุ่งเน้นไปที่ตัว พล.อ.ประยุทธ์ และรัฐมนตรีที่ร่วมในรัฐบาลที่แล้ว ส่วนรัฐมนตรีใหม่ที่ยังไม่เคยทำงาน ก็อาจดูเรื่องที่มาและความไม่ถูกต้องทางจริยธรรม ซึ่งส่วนใหญ่เปิดเผยออกมาก่อนหน้านี้แล้วจากสื่อมวลชน
“นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎรก็มีประสบการณ์สูง ทำหน้าที่ประธานได้อย่างดี และมีวิธีหาทางออกได้ เป็นประธานที่เก่ง ซึ่งส่วนตัวเคารพนับถือนายชวน แต่ความเก่งของนายชวนก็อาจทำให้ฝ่ายค้านอึดอัด จึงขอฝากด้วยว่า ประธานอย่าทำให้ฝ่ายค้านอึดอัดมากนักในความเก่งของท่าน” นายสมพงษ์กล่าวถึงการทำหน้าที่ของนายชวนในสภา
    นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด ว่าที่โฆษกพรรค พท.กล่าวว่า ฝ่ายค้านจะยกระดับการทำงานให้เข้มข้นภายใต้แนวคิดประชาชนคิด เพื่อไทยทำ นำทุกข์ร้อนของพี่น้องประชาชนสะท้อนให้รัฐบาลเร่งแก้ไข โดยระหว่างรอเอกสารนโยบายของรัฐบาลที่จะแถลง พรรคได้เตรียมผู้อภิปรายตามกรอบนโยบายของรัฐบาล ซึ่งจะให้ความสำคัญกับทุกมิติ รวมถึงคุณสมบัติของรัฐมนตรี ซึ่งจากการรวบรวมข้อมูลในขั้นต้น จะมีรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายเรื่องคุณสมบัติจำนวนมาก ตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์, พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ, พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา, นายอุตตม สาวนายน, ร.อ.ธรรมนัส, นายสุริยะ, นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ, นายพุทธิพงษ์, ม.ร.ว.จัตุมงคล, นายนิพนธ์ บุญญามณี, นายสาธิต ปิตุเตชะ, นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล, น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ และนายเทวัญ ลิปตพัลลภ เป็นต้น
    “5 ปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ได้รับทั้งเวลาและโอกาสจากการมีเครื่องมือพิเศษเป็นตัวช่วย ถึงเวลาที่ต้องเตรียมตัวให้พร้อมกับโลกแห่งความเป็นจริงของการทำงานที่ฝ่ายตรวจสอบจะทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง หากเคารพและเชื่อมั่นประชาชน ต้องเปิดพื้นที่ให้ทุกฝ่ายได้ทำหน้าที่ โดยยึดเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นศูนย์กลาง" นายอนุสรณ์กล่าว
    นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรค พท.กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ขอฝ่ายค้านอย่าฉวยโอกาสอภิปรายไม่ไว้วางใจในการอภิปรายนโยบายรัฐบาล ว่าเท่าที่สังเกตการณ์แสดงความเห็นของ พล.อ.ประยุทธ์ ช่วงหลังๆ เห็นชัดเจนว่าไม่เข้าใจปรัชญาประชาธิปไตยแล้วยังไม่รู้เรื่องกลไกของสภาอีกด้วย เรื่องนี้น่าห่วง จึงฝากให้ พล.อ.ประยุทธ์ศึกษาประเพณีปฏิบัติที่สภาแต่ละยุคเขาทำกันมา การอภิปรายนโยบายของรัฐบาลก็คือการแสดงความเห็นว่านโยบายของรัฐบาลจะตอบโจทย์ของประเทศและประชาชนหรือไม่ จัดได้สอดคล้องกับข้อกำหนดของกฎหมายที่เกี่ยวข้องตลอดทั้งแผนยุทธศาสตร์หรือไม่ ได้คำนึงถึงสถานะการเงินการคลังของประเทศเพียงใด 
    “การตอบโจทย์ของประเทศหรือไม่ จำเป็นต้องอธิบายโจทย์ อธิบายถึงความสำเร็จและความล้มเหลวในอดีตเป็นฐานพิจารณา และเพื่อให้การนำนโยบายไปใช้ให้บรรลุผล ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะชี้ให้เห็นถึงความเหมาะของตัวบุคคลที่จะมาเป็นรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้ขับเคลื่อนนโยบาย ฉะนั้น พล.อ.ประยุทธ์ต้องเข้าใจตามนี้ก่อน แล้วอย่าวิตกเกินไป ทำใจให้สบาย รักษาสุขภาพให้ดี และถ้าบอกว่าให้เกียรติสมาชิกควรอยู่ร่วมประชุมให้นานที่สุดด้วย” นายสุทินกล่าว
    วันเดียวกัน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ให้สัมภาษณ์สำนักข่าว VOA Thai  ถึงภารกิจการไปต่างประเทศถูกวิจารณ์ว่าทำให้ประเทศไทยเสียหาย ว่าเป็นคำโจมตีของฝั่งตรงข้ามอยู่แล้ว จากคนที่ไม่อยากเห็นประชาธิปไตยเกิดขึ้นในไทย ขอชี้แจงว่า พวกเราไม่ได้มีเจตนาร้ายกับประเทศ มีแต่เจตนาดี มีความตั้งใจที่อยากทำให้ประเทศเดินไปข้างหน้าได้ ซึ่งมีวิธีเดียวนั่นคือทำให้ประเทศไทยกลับมาเป็นประชาธิปไตยอีกครั้ง หยุดยั้งวงจรรัฐประหาร ปฏิรูปกองทัพ ทำให้รัฐประหารไม่เกิดขึ้นอีกในประเทศไทย
เพ้อประเทศยังไม่มี ปชต.
    เมื่อถามว่า ขณะนี้ได้เริ่มเข้ามาทำงานในสภา แต่หลายส่วนก็ยังเป็นมรดกทางการเมืองของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ทำให้ความตั้งใจที่จะแก้ไขในสิ่งที่อยากทำนั้นทำได้ไม่เต็มที่ นายธนาธรตอบว่า ขอนิยามระบบการเมืองนี้ว่าคือระบบ คสช.ที่มาจากการเลือกตั้งน่าจะเหมาะสมที่สุด นี่ไม่ใช่ประชาธิปไตย ไม่ใช่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างเป็นประชาธิปไตย คิดว่าระบบ คสช.มันยังอยู่กับเราในรูปแบบของรัฐธรรมนูญ ดังนั้นพรรคอนาคตใหม่ยืนยันว่าจะสู้และผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสภาอย่างสันติ เราอยากทำการเมืองที่สร้างสรรค์ มีการอภิปรายที่สร้างสรรค์ อยากทำการเมืองที่ทำเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนจริงๆ ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของแกนนำของพรรคหรือนายทุนพรรค
    เมื่อถามว่า พล.อ.ประยุทธ์เคยมาเยือนทำเนียบขาว และได้รับการต้อนรับจากประธานาธิบดีทรัมป์ เมื่อปี 2559 ขณะที่เมืองไทยยังอยู่ภายใต้ คสช. นายธนาธรกล่าวว่า คงไม่สามารถก้าวก่ายรัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ เพราะนายโดนัลด์ ทรัมป์ ก็มาจากการเลือกตั้ง แต่สิ่งที่อยากสื่อสารไปถึงประชาชน ถ้าอยากได้ประชาธิปไตยหรือสังคมที่คนทุกคนเท่าเทียมกัน สังคมที่มีนิติรัฐ เราไม่สามารถเรียกหาสังคมนี้ได้จากนานาชาติ แต่เราต้องสร้างเอง
    และเมื่อถามย้ำว่า ในขณะนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่าตนเองกับประธานาธิบดีทรัมป์นั้นมีความเหมือนกัน คือเป็นผู้นำที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง นายธนาธรกล่าวว่า ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นชัดเจนของ พล.อ.ประยุทธ์ คือเปลี่ยนแปลงจากรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยไปเป็นรัฐบาลที่เป็นเผด็จการ รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ทั้งชุด 1 และชุด 2 ไม่มีทางปฏิรูปได้เลย ขนาดรัฐบาลชุดที่ 1 ที่มีอำนาจมาตรา 44 ก็ยังทำไม่ได้ และรัฐบาลชุดนี้ที่มีพรรคร่วม 19 พรรคไม่มีทางปฏิรูปที่มีความหมายได้เลย
    "ยกตัวอย่าง ถ้าเราจะเดินไปข้างหน้า อยากให้เมืองของเราอิสระในการใช้ทรัพยากร การพัฒนาทิศทางของเมืองควรให้ชาวเมืองมีส่วนร่วมและกำหนดเอง ไม่ต้องขึ้นอยู่กับกระทรวงต่างๆ แต่ให้แต่ละเมืองมีอำนาจในการออกแบบนโยบาย และพัฒนาเมืองของตัวเองได้ นี่จะเป็นการปลดปล่อยศักยภาพของประเทศครั้งใหญ่ ซึ่งการจะทำอย่างนี้ได้ต้องปฏิรูประบบราชการ ต้องเอาอำนาจที่อยู่ศูนย์กลางกลับมาอยู่ที่เมือง สิ่งนี้จะไม่เห็นจากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ 2” นายธนาธรกล่าว
    นายธนาธรกล่าวอีกว่า เรื่องอะไรก็แล้วแต่ที่ต้องแตะต้องกับผลประโยชน์ การปฏิรูปอะไรก็แล้วแต่ที่จะต้องใช้เจตจำนงทางการเมืองอย่างมหาศาล จะไม่เห็นเพราะ 19 พรรคที่เข้ามาทำงานร่วมกัน ไม่ได้มาอยู่ตรงกลางเหมือนกัน ไม่ได้มีความฝันเหมือนกัน ไม่ได้อยากเห็นประเทศไทยไปข้างหน้าในทิศทางเดียวกัน แต่เข้ามาร่วมกันเพียงเพราะอยากจะเป็นรัฐบาล ดังนั้นการปฏิรูปที่ต้องแตะต้องเชิงโครงสร้าง ซึ่งไทยจำเป็นมาก การปฏิรูปที่จำเป็นต้องชนกับกลุ่มผู้มีอิทธิพลในเรื่องนั้น หรือด้านนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้นในรัฐบาลชุดนี้แน่
    นายธนาธรยังกล่าวถึงคดีถือหุ้นสื่อว่า ไม่ต้องเตรียมความพร้อมอะไร ในฐานะที่ตัดสินใจมาทำงานการเมืองแล้ว ไม่ว่าเป็น ส.ส.หรือไม่เป็น ส.ส.ก็สามารถทำงานการเมืองได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งคดีในศาลรัฐธรรมนูญไม่ใช่คดีอาญา แค่ร้องเรียนคุณสมบัติ ต่อให้ตัดสินว่าคุณสมบัติผิด ก็ไม่ได้เข้าสภา แต่ยังทำงานการเมืองต่อได้ ยังผลิตนโยบายเพื่อให้ผลประโยชน์ของประชาชนได้รับการปกป้อง เดินสายต่างประเทศได้ 
    "การเป็น ส.ส.หรือไม่ใช่ ส.ส. ไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง ต่อให้ถูกตัดสิทธิ์จาก ส.ส. ธนาธรยังเป็นหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่อยู่ ธนาธรก็ยังเป็นแคนดิเดตนายกฯ อยู่ ธนาธรก็ทำงานการเมืองให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในประเทศไทยต่อไป" นายธนาธรระบุ แต่ปฏิเสธที่จะพูดถึงพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 151 ที่ระบุว่าผู้สมัครรู้ตัวว่าไม่มีสิทธิแล้วยังสมัครรับเลือกตั้ง ระวางโทษจำคุก 1-10 ปี ปรับ 20,000-200,000 บาท และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งจะเป็นผู้ชี้ขาด.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"