เริ่มเปิดม่านประชาธิปไตย


เพิ่มเพื่อน    

                เอาเป็นว่า...วันนี้ อาจพอได้ เอามันซ์ซ์ซ์ กันไปตามสภาพ สำหรับการอภิปรายแถลงนโยบายของรัฐบาล ที่ไม่ว่าใครจะเป็นเสือ เป็นวัว หรือเป็นได้แค่ เขียนเสือให้วัวกลัว ไปจนถึงแม้เกิดการกลายพันธุ์ไปเป็นสัตว์ประเภทอื่น ไม่ว่าจิ้งจก ตุ๊กแก หรือสัตว์ประหลาดก็ตาม แต่อย่างน้อย...ก็คงพอได้เห็นรายการถ่มถุย ดึงเสื้อ สับศอก เสียบขาหลัง มากบ้าง-น้อยบ้าง ไปตาม วาสนา ของบรรดา นักการเมือง ทั้งหลาย...

                                  --------------------------------------------------

                แต่ก็นั่นแหละ...การปะทะกันระหว่างนักการเมืองฝ่ายรัฐบาล กับนักการเมืองฝ่ายค้าน จะให้มันมันซ์ซ์ซ์หยดชนิดติ๋งๆๆ หรือมันซ์ซ์ซ์ระเบิดเถิดเทิง เหมือนอย่าง หงส์แดงลิเวอร์พรุน (พูล) ปะทะกับ ผีแดงแมนฯ ยูฯ หรือ เจ้าบุญทุ่มบาร์เซโลนา เจอกับ ราชันชุดขาว เรอัล มาดริด อะไรทำนองนั้น...คงลำบาก!!! แม้แต่ ปราสาทสายฟ้า-บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เจอกับ กิเลนผยอง-เอสซีจี เมืองทอง เผลอๆ...อาจมันซ์ซ์ซ์กว่า ประมาณร้อยห้าสิบเท่าเป็นอย่างน้อย เพราะโดยมาตรฐาน นักการเมือง แบบไทยๆ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาล หรือฝ่ายค้านก็ตาม ส่วนใหญ่...มันมักออกไปทาง ฟุตบอลหลังวัด หรือ มวยวัด อะไรประมาณนั้น...

                                   ---------------------------------------------------

                ด้วยเหตุนี้...ก็คงต้อง ดูไป-ทำใจไป หรือถ้าหากทำใจไม่ไหว ก็อาจ บิดปุ่มหนี ไม่ก็หันไปควานหายา ทัมใจ มาละลายน้ำ หรือจะเอามาซดแบบสดๆ ทั้งซอง แล้วแต่รสนิยมของใคร-ของมันจะว่ากันไปตามสภาพ ส่วนดูแล้ว...มันจะก่อให้เกิดประโยชน์โพดผลใดๆ ขึ้นมามั่งหรือไม่ หรือต้องให้ผู้ปกครองคอยแนะนำอยู่ข้างๆ อันนั้น...ก็คงแล้วแต่จะใคร่ครวญ พิจารณากันเอาเอง แต่ก็อย่างที่คุณน้อง ผักกาดหอม ท่านเขียนเอาไว้เมื่อวันวานนั่นแหละว่า มันคงไม่ได้ขึ้นอยู่กับคำพูด คำแถลง ของสิ่งที่ถูกนำมาเสนอเป็นนโยบายต่างๆ หรือสิ่งที่ถูกหยิบยกมาอภิปราย มาวิพากษ์ วิจารณ์ กันตามเรื่อง ตามราว เพราะสุดท้าย...มันคงอยู่ที่ การกระทำ นั่นแหละเป็นหลัก ทำได้-ทำไม่ได้ ทำยาก-ทำง่าย ก็อยู่ที่ฝ่ายผู้ลงมือปฏิบัติ และฝ่ายผู้ทำหน้าที่ตรวจสอบ ว่าจะเอาจริง-เอาจัง หรือเอากันแบบเล่นๆ แบบการ เล่นการเมือง ของบรรดา นักการเมือง ทั้งหลาย...

                                   -----------------------------------------------------

                คือถ้าฝ่ายผู้ลงมือปฏิบัติ หรือฝ่ายรัฐบาล หนักไปทาง เล่นๆ อีกไม่นาน-ไม่ช้า ก็คงได้มันซ์ซ์ซ์ย่อง มันซ์ซ์ซ์หยด เพราะหนีไม่พ้นต้องเจอกับการอภิปรายซึ่งหนักหน่วงยิ่งไปกว่านั้น หรือหนักกว่าการอภิปรายนโยบายรัฐบาลหลายต่อหลายเท่า นั่นก็คือการ อภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐบาล รัฐมนตรี ไม่ว่าเป็นรายบุคคลหรือเป็นคณะก็ตาม อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้เลย แม้ว่ามาตรฐานของผู้อภิปรายจะหนักไปทาง หลังวัด หรือ มวยวัด ก็เถอะ แต่ระหว่างที่วืดไป-วืดมา ป่ายซ้าย-ป่ายขวา มันย่อมมีสิทธิ์โดนแก้ม โดนคาง โดนกระบอกตา ได้มั่ง และนักการเมืองรายใดก็ตามที่โดนอภิปรายไม่ไว้วางใจ ถึงแม้...ไม่ตาย แต่ก็มักโตช้า หรือเลี้ยงไม่โตไปโดยตลอด เอาเลยก็เป็นได้...

                                -------------------------------------------------------

                แต่ถ้าหากผู้อภิปรายไม่ไว้วางใจใครๆ ก็ตาม...ดันมีฐานะเป็นแค่ ฝ่ายแค้น ไม่ใช่ ฝ่ายค้าน ตัวผู้อภิปรายเองนั่นแหละ อาจตกอยู่ในสภาพเลี้ยงไม่โต หรือต้องตาย (ทางการเมือง) ได้เช่นกัน การมีทั้งฝ่ายผู้ลงมือปฏิบัติ และฝ่ายผู้ทำหน้าที่ตรวจสอบ ร่วมเป็นองค์ประกอบภายใต้ระบอบที่เรียกๆ กันว่า ประชาธิปไตย และภายใต้ วิถีทางรัฐสภา นั้น มันจึงเป็นอะไรที่ค่อนข้าง ลงตัว หรือครบถ้วน สมบูรณ์ อยู่พอสมควร แต่อย่างว่า...เหตุที่ประชาธิปไตยต้องตายแล้ว ตายเล่า หรือกลายเป็น ประชาธิป...ตาย ซะทุกทีไป ก็ด้วยเหตุเพราะบรรดา ผู้ที่มีหน้าที่ หรือบรรดา นักการเมือง ทั้งหลาย ดันไม่ได้ทำตามหน้าที่ หรือทำเกินหน้าที่ หรือทำอะไรที่นอกเหนือไปจากหน้าที่ที่ระบบเขามอบหมายให้ไว้ อันนี้นี่แหละ...ที่มันเลยกลายเป็น ปัญหา เพราะ ตัณหา ในรูปหนึ่ง รูปใด ก็แล้วแต่จะเรียก...

                               ------------------------------------------------------

                ดังนั้น...การหวนกลับคืนมาสู่ความเป็นประชาธิปไตยกันอีกครั้ง ไม่ว่าจะครึ่งใบ เต็มใบ เมื่อไหร่ก็แล้วแต่ บรรดานักการเมืองและนักประชาธิปไตยทั้งหลาย ก็พึงต้องระลึก ต้องสำนึก และตระหนัก เอาไว้ให้จงหนัก ว่าจะต้องร่วมกันประคับประคองระบบและระบอบชนิดนี้ ร่วมหาทางไม่ให้มันต้องตายแล้ว ตายอีก หรือต้องตายรอบใหม่ กันในแบบไหน อย่างไร ซึ่งโดย คำตอบ ในเรื่องนี้ แม้ไม่ถึงกับง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก คือเพียงแค่บรรดา นักการเมือง ทั้งหลาย ไม่ว่าฝ่ายรัฐบาล หรือฝ่ายค้าน พยายาม ทำหน้าที่ ของตัวเองอย่างจริงจัง จริงใจ และโดยบริสุทธิ์ใจ พร้อมที่จะยึดมั่น ก้าวเดิน ไปตาม วิถีทางรัฐสภา โดยไม่คิดหันเหไปสู่วิถีทางอื่นๆ เพียงเพื่อสนองตอบต่อ ตัณหา ของตัวเองเท่านั้น เพียงเท่านี้...ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็ย่อมไม่เป็น ปัญหา อีกต่อไป

                                   -------------------------------------------------

                เพราะโดยตัว ระบบ และ ระบอบ มันได้สร้างความ ลงตัว ของมันเอาไว้แล้ว แต่สิ่งที่อาจดูยากอยู่บ้าง คงหนีไม่พ้นการที่จะต้องหาทางลด-ละ-เลิก ตัณหา ไม่ว่ารูปหนึ่ง รูปใด ลงไปให้น้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ ไม่ว่าผู้ที่มีหน้าที่ลงมือปฏิบัติ จะปฏิบัติอย่างไร โง่มั่ง ฉลาดมั่ง เชยซ์ซ์ซ์ไปมั่ง คงไม่ถึงกับหนักหนา สาหัส มากมายซักเท่าไหร่ ขอเพียงแต่อย่าทุจริต ประพฤติมิชอบ ไม่ว่าโกงแล้วไม่แบ่งให้ใคร หรือโกงแล้วเอามาแบ่งกันมั่ง อันนี้...มีแต่ฉิบหายกับฉิบหาย หรือตายกับตาย ลูกเดียวเท่านั้นเอง เช่นเดียวกับผู้ที่มีหน้าที่ตรวจสอบ ถ้ายังสามารถดำรง รักษา ความเป็น ฝ่ายค้าน ไม่แปลงสภาพตัวเองให้กลายเป็น ฝ่ายแค้น โอกาสที่ เผด็จการ จะมุดรั้วเข้ามากระทืบฝ่ายประชาธิปไตย ย่อมแทบเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วแน่ๆ ดังนั้น...ก็เอาเถอะ จะถ่มถุย สับศอก ดึงเสื้อ เสียบขาหลัง กันไปถึงขั้นไหน ถ้าลองตระหนัก สำนึก ถึงสิ่งที่ว่านี้ ก็ขอเชิญพ่อเจ้าประคุณรุนช่อง รุนกันตามสบาย เพราะผู้ดู-ผู้ชมทางบ้านอย่างเราๆ-ทั่นๆ เบื่อเมื่อไหร่ ใกล้อ้วกแตกเมื่อไหร่ ย่อมสามารถ บิดปุ่มหนี ได้แบบฉับพลัน-ทันที

                                 ----------------------------------------------------

                ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Sanskrit saying... “I know what is right, but feel no inclination to follow it; I know what is wrong but cannot desist from it.- ข้าพเจ้าทราบดีว่า...อะไรถูกต้อง แต่ไม่อยากทำ ข้าพเจ้าทราบดีว่า...อะไรผิด แต่อดทำไม่ได้...”

                                  ---------------------------------------------------- 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"