
เลขาธิการ ป.ป.ช.แจงคดีโรงพักยังไม่สะเด็ดน้ำ ชี้หากส่งถึงมืออัยการจะแถลงแบไต๋แน่ “สุเทพ” ลั่นพร้อมต่อสู้ไม่หนีแน่ อัดอั้นมานานจะได้เผยความจริง ลั่นไม่ใช่ “หมา” ที่ต้องไปเลียใครเพื่อเป่าคดี “วิญญัติ” ขู่จับตา อสส.คนใหม่ทำหน้าที่เคาะคดี
เมื่อวันพุธที่ 24 ก.ค. นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าว ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ทุจริตในโครงการก่อสร้างโรงพักทดแทน 396 แห่ง ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ว่ายังอยู่ในระหว่างขั้นตอนของคณะกรรมการฯ และสำนักงาน ป.ป.ช.ยังไม่แล้วเสร็จ จึงไม่สามารถบอกอะไรได้
เมื่อถามย้ำว่า ชี้มูลแล้วหรือยังอยู่ระหว่างรอส่งให้อัยการสูงสุด นายวรวิทย์ตอบว่า ขั้นตอนของ ป.ป.ช.รวมทุกอย่าง ตั้งแต่เรื่องรับรองรายงานการประชุม การส่งหลักฐานให้อัยการ ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการ ถ้าส่งให้อัยการแล้วจะแถลงให้ทราบต่อไป รวมถึงทุกๆ เรื่องจะเปิดเผยหลังส่งให้อัยการแล้ว เพราะมีหลายเรื่องสำคัญที่จะเปิดเผยหลังจากส่งให้อัยการแล้ว
“ขั้นตอนการยื่นเรื่องให้อัยการต้องส่งให้อัยการภายใน 30 วัน หากเป็นคดีของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และอัยการต้องส่งฟ้องศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองภายใน 180 วัน แต่ถ้าอัยการเห็นว่าสำนวนยังไม่สมบูรณ์ ต้องแจ้งต่อ ป.ป.ช.ภายใน 90 วัน เพื่อตั้งคณะทำงานร่วมกัน ส่วนนักการเมืองที่ถูกชี้มูลความผิดต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ต้องรอให้ศาลมีคำสั่งรับเรื่องไว้ก่อน” นายวรวิทย์ชี้แจงถึงขั้นตอน
ขณะที่นายสุเทพกล่าวในเรื่องนี้ว่า อยากถามทาง ป.ป.ช.ว่าเขาชี้มูลความผิดเรื่องอะไร เพราะอ่านตามข่าวจากหนังสือพิมพ์เท่านั้น เนื้อหาลึกๆ ต้องรอให้ได้รับแจ้งจาก ป.ป.ช.อย่างชัดเจนก่อน แล้วจะชี้แจงในแต่ละประเด็นตามข้อกล่าวหา เพราะเรื่องนี้เป็นที่สนใจของประชาชน จำเป็นต้องมีคำอธิบายต่อประชาชน
นายสุเทพย้ำว่า เรื่องดังกล่าวได้มีการหยิบยกมาเป็นประเด็นทางการเมืองกล่าวหาโจมตีตนเองมาหลายปี ตั้งแต่ช่วงที่เลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ปี 2556 ซึ่งคนที่เป็นตัวตั้งตัวตีคือ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งก็ได้ดำเนินคดีกับนายธาริต และตอนนี้ถูกคำพิพากษาจำคุก แต่ก็มีกระบวนการพยายามดำเนินคดีต่อ โดยเรื่องอยู่ใน ป.ป.ช. 5 ปีเศษ นานมากเป็นประวัติการณ์ เพราะฉะนั้นเมื่อ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลมา ก็เป็นโอกาสที่จะได้นำหลักฐานไปพิสูจน์ตามกระบวนการยุติธรรม แล้วคดีนี้คงใช้เวลาไม่นาน เพราะต้องไปสู่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
“ผมต้องกราบเรียนต่อพี่น้องประชาชนที่มีใจเมตตากับผมมาตลอด ต้องทนรำคาญใจ ไม่สบายใจไปสักพักหนึ่ง เพราะอีกไม่นานความจริงก็จะปรากฏ ส่วนคนที่คิดร้ายกับผม ไม่ว่าเป็นกลุ่มเก่า กลุ่มใหม่ ผมไม่ติดใจอะไร ให้เขาลิงโลดยินดีไปสักพัก ผมก็ได้แต่ปลง เพราะว่าก่อนหน้านี้ก็มีคนพยายามมาบอกให้ผมไปกราบไหว้วิงวอนใครบางคน ผมก็มาคิดว่าผมทำงานการเมืองมาตลอดเวลา ผมก็มีศักดิ์ศรี ผมไม่ใช่สุนัข เพราะฉะนั้นผมตั้งใจอย่างเดียวว่าถ้าเพื่อประชาชนแล้วให้ผมทำอะไรผมก็ทำได้ แต่ว่าจะไปขอความเมตตาจากคนที่คิดว่ามีอำนาจแล้ว แต่ผมเลือกที่จะพิสูจน์ศักดิ์ศรี ด้วยการนำความจริงทั้งหมดไปสู้คดีในศาลฎีกา ผมจะไม่หลบหนีไปไหน เตรียมตัวที่จะสู้คดี เพราะฉะนั้นใครจะวิพากษ์วิจารณ์อย่างไรก็แล้วแต่ ผมขออนุญาตเรียนชี้แจงว่าเวลาอีกไม่นานก็จะรู้ความจริง” นายสุเทพกล่าว
ด้านนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน และเลขาธิการสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิเสรีภาพ (สกสส.) กล่าวว่า คดีนี้เริ่มมาจากนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทยขณะนั้น มีการแถลงเรื่องการทุจริตปฏิบัติหน้าที่ในโครงการดังกล่าวจนนำคดีไปร้องที่ดีเอสไอ ซึ่งเรื่องนี้ก็มีการอภิปรายในสภา และดีเอสไอได้สั่งฟ้องนายสุเทพ แต่ก็มีปัญหาว่าคดีเป็นอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช.หรือไม่ จนภายหลัง ป.ป.ช.ก็รับคดีไว้ไต่สวนตั้งแต่ปี 2556 แต่พอเข้าปี 2557 เป็นช่วงยึดอำนาจ เรื่องก็มีการเงียบลง จึงได้ไปยื่นเรื่องติดตามคดีนี้ถึง 5 ครั้ง และได้เข้าให้ข้อมูลกับ ป.ป.ช.ตั้งแต่ปี 2558-2560
นายวิญญัติกล่าวอีกว่า ตามขั้นตอนหลังจาก ป.ป.ช.ชี้มูลคดีนี้แล้ว เมื่อพิจารณาห้วงเวลาในการดำเนินคดีจะอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนแปลงผู้นำองค์กรที่จะได้ อสส.คนใหม่ จึงขอฝากเรื่องนี้ไปยัง อสส.คนใหม่ ที่คณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) เพิ่งได้มีมติผ่านความเห็นชอบบุคคลซึ่งมาจากตำแหน่งเดิมคืออธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ เพราะเคยมีข้อกังขาและข้อสังเกตเกี่ยวกับเรื่องการพิจารณาคดีกบฏ กปปส. และคดีอื่นๆ ในคดีพิเศษหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นคดีวัดพระธรรมกาย หรือคดีฟอกเงินของฝ่ายการเมือง โดยจะติดตามต่อว่า อสส.คนนี้จะมีความเป็นกลางหรือไม่อย่างไร
“ผมเชื่อมั่นว่าคดีนี้พยานหลักฐานชัดเจน และมีข้อเท็จจริงที่ไม่สามารถถกเถียงกันได้แล้วว่าอำนาจในการอนุมัติของนายสุเทพ ในฐานะรองนายกฯ ที่ได้แก้ไขมติ ครม. และสั่งอนุมัติสัญญาแบบรายภาคให้เป็นสัญญาเดียว เรื่องนี้มันเถียงไม่ได้ ดูแล้วว่าเป็นเจตนาในการปฏิบัติหน้าที่แบบใด หลักฐานมันชัดก็จะต้องพิจารณากัน” นายวิญญัติระบุ
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 18 ก.ค. ที่ประชุม ก.อ.มีมติเอกฉันท์แต่งตั้งนายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อธิบดีอัยการคดีพิเศษขึ้นดำรงตำแหน่ง อสส.คนที่ 15 แทนที่นายเข็มชัย ชุติวงศ์ อสส. ที่จะครบวาระในวันที่ 30 ก.ย.นี้.
|
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
| อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
| 'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
| ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
| วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
| "การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
| เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |