บาดแผลที่ยังรักษาไม่หาย


เพิ่มเพื่อน    

 ขณะที่ เรือแป๊ะ เริ่มออกอ่าว ออกทะเล โดยจะไปสู่จุดหมายปลายทางได้หรือไม่ อย่างไร หรือสามารถไปได้ไกลแค่ไหน ก็ตามที แต่สำหรับห้วงระยะเวลาเมื่อถึง ณ ขณะนี้ คงต้องถือว่าอะไรต่อมิอะไรในบ้านเมือง น่าจะพอ เข้าที่-เข้าทาง ได้มั่งแล้ว ไม่ถึงกับน่าหวาดหวั่น ขวัญสยอง เคร่งขมึง ตึงเครียด เหมือนอย่างที่เคยเป็นมา-เป็นไป เมื่อครั้งอดีต...

                                                                       -----------------------------------------------

                คือไม่จำเป็นต้องพึ่งบริการ รัฐบาลเผด็จการ ใดๆ อีกต่อไป อาศัยรัฐบาลที่แม้จะออกไปทางประชาธิปไตยแบบ ไฮบริด อยู่บ้าง แต่ก็น่าจะพออยู่ๆ กันไปได้นั่นแหละทั่น โดยเฉพาะเมื่อแต่ละสิ่ง แต่ละอย่าง ดูจะเริ่มหวนกลับมาสู่การใช้ วิถีทางรัฐสภา เป็นทางออก ทางระบาย ไม่ได้เถลไถล เป๋ไป-เป๋มา สู่วิถีทางอื่นๆ ไม่ว่าใครจะ ค้าน หรือใครจะ แค้น ก็คงต้องไปออกแรงไล่ฟัด ไล่บี้ ไล่งับ ไปแค้นจัดกัดดะฝังเขี้ยวจมน่อง กันในสถานที่รโหฐาน หรือสถานที่ที่ตัวบทกฎหมายเขาจัดรองรับเอาไว้ให้ ไม่จำเป็นต้องออกมาเพ่นพ่าน นอนกลางดิน กินกลางทราย หลบลูกกระสุน ลูกระเบิด เหมือนก่อนๆ...

                                                                        ----------------------------------------------

                แต่ที่ยังคงเป็นติ่งๆ หรือเป็นเสมือน บาดแผล ซึ่งยังมิอาจรักษาให้หายขาด หรือกระทั่งอาจ ฝังลึก จนหาทางเยียวยาได้ลำบากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ยังส่งผลให้เกิดการไล่ล่า การแยกฝ่าย แบ่งฝ่าย แบ่งมึง แบ่งกู ชนิดพร้อมจะโดดถีบกันทุกเมื่อ ก็คงหนีไม่พ้นไปจากแผลใหญ่ แผลฉกรรจ์ ที่มันอุบัติขึ้นมาในช่วง ทศวรรษแห่งความมืดมน นั่นเอง โดยที่การ รักษาแผล ที่ว่านี้ คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ ว่ามันออกจะเป็นอะไรที่ยากซ์ซ์ซ์เย็นเต็มที แถมยิ่งปล่อยให้มันติดเชื้อ เรื้อรัง ขึ้นไปนานเท่าไหร่ มันก็ออกจะเป็นอะไรที่น่าเหน็ด น่าเหนื่อย ไปด้วยกันทุกฝ่าย ไม่ว่าฝ่ายมัน ฝ่ายเรา หรือฝ่ายมึง ฝ่ายกู ที่ต้องเจ็บๆ ปวดๆ รวดร้าวคันคะเยอไปอีกนานเท่านาน...

                                                                       ------------------------------------------------

                ด้วยเหตุเพราะใครก็ตาม ที่คิดโดดเข้ามารักษา เยียวยา แต่ถ้าหากปราศจากตบะ บารมี ปราศจากสถานะความเป็นกลางซึ่งทุกๆ ฝ่าย ยินยอมพร้อมใจพอที่จะยอมรับกันได้ ก็มักถูก ถีบหน้าหงาย โดยฝ่าตีนของแต่ละฝ่าย ที่ต่างพร้อมจะไปหยิบเอา ความยุติธรรม ในแง่ของตัวบท กฎหมาย มาใช้เป็นมาตรฐานอ้างอิง ไปตามมาตรฐานฝ่ายมึงและฝ่ายกู จนแทบหามาตรฐานใดๆ ที่ ลงตัว แทบมิได้ เผลอๆ...ส่งผลให้มาตรฐานทางกฎหมาย ถูกกล่าวหาว่าเป็น สองมาตรฐาน กันไปซะนี่ อีกทั้งไม่ว่าจะอาศัยมาตรฐานใดๆ ก็แล้วแต่ ทุกสิ่งทุกอย่าง...ย่อมหนีไม่พ้นที่จะต้องเป็นไปตาม มาตรฐานของนางปอร์เชีย ที่ว่าไว้ในนิยายเรื่อง เวนิส-วานิช ตามพระราชนิพนธ์คำแปลของล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 นั่นแหละทั่น คือต่างออกไปในแนว ฉะนั้นยิวแม้อ้างยุติธรรม-จงกำหนดจดจำไว้ด้วยว่า-ภายใต้กระแสยุติธรรมา-ยากจะหาความสุขเกษมเปรมดิ์ใจ  อะไรประมาณนั้น...

                                                                      --------------------------------------------------

                ดังนั้น...ภายใต้อาการบาดเจ็บ แต่ละฝ่าย แต่ละราย ซึ่งต่างได้แผลกันไปคนละแผล-สองแผล และยังคงต้องติดเชื้อ เรื้อรัง มาจนตราบเท่าทุกวันนี้ อันนี้นี่แหละ...ที่ถ้าปล่อยให้มันกลายเป็น แผลที่รักษาไม่หาย ต่อไป มันจะก่อให้เกิดอาการฝังลึก ลุกลามแฝงเชื้อ ซ่อนเชื้อ จนอาจกระจายเข้าไปสู่เส้นเลือด ในวันหนึ่ง วันใด หรือไม่ อย่างไร??? ระหว่างที่ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่ม เข้าที่-เข้าทาง   หรือ เข้ารูป-เข้ารอย ขึ้นมามั่งแล้ว คงต้องเก็บไป คิดเป็นการบ้าน กันอย่างจริงๆ จังๆ ไม่น้อยไปกว่าการเสียเวลาไปหยิบเอาเรื่องโน้น เรื่องนี้ มาคิดมาก หรือคิดเล็ก-คิดน้อย โดยไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์โพดผลใดๆ ขึ้นมาซักเท่าไหร่...

                                                                       ------------------------------------------------

                แต่สำหรับการคิดรักษาแผล ที่ติดเชื้อ เรื้อรัง มาจนตราบเท่าทุกวันนี้...ยังไงๆ ย่อมก่อให้เกิดประโยชน์จำนวนไม่น้อย ไม่ว่าต่อผู้ที่ยังมีแผลติดตัว หรือผู้ที่ไม่ได้รับบาดแผลใดๆ เลย เพราะบรรดาความเจ็บปวด รวดร้าว ของผู้คนในสังคมรายใดก็ตามที ย่อมถือเป็น หน้าที่ ที่มวลสมาชิกในสังคมนั้น พึงต้องรับรู้ รับทราบ พึงที่จะช่วยเหลือ เยียวยา บรรเทาเบาบางอาการเจ็บ อาการปวด แม้เป็นไปไม่ได้ในทางร่างกาย แต่เพียงแค่ในทางจิตใจก็ยังดี สังคมทั้งสังคมมันถึงจะพอ อยู่เย็น-เป็นสุข ขึ้นมาได้มั่ง แม้ไม่ต้องถึงยุคพระศรีอาริย์ หรือยุคชาววิไลใดๆ ก็ตามแต่...

                                                                      ------------------------------------------------

                แต่ก็นั่นแหละ...ด้วยเหตุเพราะแผลมันลึก มันติดเชื้อ เรื้อรัง มานานเต็มที มันเลยคงต้องอาศัยตบะ และบารมี และอาศัยสถานะความเป็นกลางที่ทุกๆ ฝ่ายยินยอมพร้อมใจที่จะยอมรับ โดยปราศจากข้อกังขาใดๆ ต่อไปอีก ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เลยออกไปทาง จนด้วยเกล้าฯ ไปด้วยประการฉะนี้ นอกเสียจากต้องหันไปอาศัย มาตรฐานของนางปอร์เชีย ที่ชี้แนะ ชี้นำ เอาไว้ประมาณว่า อันความกรุณาปรานี-จะมีใครบังคับก็หาไม่-หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจ-จากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน-เป็นสิ่งดีสองชั้นพลันปลื้มใจ-ทั้งผู้ให้และผู้รับสมถวิล-เป็นกำลังเลิศพลังอื่นทั้งสิ้น-เจ้าแผ่นดินผู้ทรงพระกรุณา-ประดุจทรงวราภรณ์สุนทรสวัสดิ์-เรืองจรัสยิ่งมงกุฎสุดสง่า-แม้พระแสงทรงดำรงซึ่งอาชญา-เพื่อประชาพสกนิกร-ประดับพระวรเดชวิเศษฤทธิ์-อันสถิตอนุภาพสโมสร-แต่โดยการุณยธรรมอันสุนทร-ยังงามงอนกว่าพระแสงอันแรงฤทธิ์-เสถียรในหฤทัยพระราชา-ดุจพระคุณของเทวาผู้มหิทธิ์-แลเทียมเท่าเทียบเทพอมฤต-ยามบพิตรเผยแผ่พระกรุณา นั่นแล...

                                                                         ------------------------------------------------

                ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้...จาก Latin proverb... The welfare of the people is the highest law. – ความอยู่ดีมีสุขของปวงประชา คือกฎหมายสูงสุด...

                                                                           ------------------------------------------------ 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"