กระตุ้นจีดีพีหรือกระตุ้นจิตสำนึกกันดี?


เพิ่มเพื่อน    

 หยวน อ่อน... ดอลลาร์ อ่อน...แต่ บาทไทย ดันแข็งโด่เด่ ปานประดุจท่อนไม้หน้าสาม หรือปานประดุจรับประทานไวอะกร้าเข้าไปประมาณ 2 กำมือ แต่ถูกบังคับให้ยืนเคารพธงชาติอะไรประมาณนั้น แม้เป็นอะไรที่ สง้า (สง่า) อยู่พอสมควร แต่คงหนีไม่พ้นต้องยืนงอไป งอมา เฮ้ออ์อ์อ์...อะไรมันจะปวดแข้ง ปวดเข่า เท่านี้ย่อมไม่มีอีกแล้ว...

                                                           ----------------------------------------------------

                คืออาจเพราะเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของบ้านเรา ค่อนข้างแน่นปึ๋ง แน่นปั๋ง ไทยแลนด์ แดนสยาม จึงกลายเป็นแดนสวรรค์ หรือเป็น แหล่งพักเงิน ของบรรดาเงินทุนที่มันไหลมา-ไหลไปตามธรรมชาติของมัน เพื่อแสวงหากำไรแม้แต่เล็กๆ น้อยๆ ก็ยังดี ดังนั้น...เมื่อเกิดการไหลเข้าของเงินทุน โดยถ้าเป็นทุนระยะยาวยังไม่เท่าไหร่ แต่สำหรับทุนระยะสั้นๆ ที่หวังจะ เก็งกำไร นี่สิ ออกจะเป็นอะไรที่น่าปวดแข้ง ปวดขา ปวดเข่า ปวดหัวหน่าว ซะเหลือเกิน โดยเฉพาะเมื่อมองถึง ตัวเลขส่งออก ที่ออกอาการไหลทะรูดทะราดยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เห็นว่าตัวเลขเดือนมิถุนาฯ ติดลบไปแล้ว 2.5 เปอร์เซ็นต์ ตลอดทั้งปีจะลบเท่าไหร่ก็ยังมิอาจคาดคะเนได้ แต่น่าจะเหนื่อยยาก แสนเข็ญ มิใช่น้อย...

                                                              -------------------------------------------------

                โดยจะไปโยนภาระทุกสิ่งทุกอย่างให้รัฐบาล หรือธนาคารแห่งประเทศไทย คงไม่น่าจะถูกเรื่องกันซักเท่าไหร่นัก เพราะเอาเข้าจริงๆ แล้ว โดยต้นสายปลายเหตุ มันก็มีที่มาจากความเป็นไปของโลกนั่นแหละทั่น คือถ้าหากประเทศที่มี ขนาดเศรษฐกิจ ใหญ่โตเป็นอันดับหนึ่ง อันดับสอง ของโลก อย่างคุณพ่ออเมริกาและคุณพี่จีน ท่านไม่ไล่กัด ไล่ฟัด ไล่บี้ ซึ่งกันและกัน ชนิดออกอาการ แค้นจัด-กัดดะ-ฝังเขี้ยวจมน่อง กันซะให้ได้ ประเทศเล็กๆ ระดับหญ้าแพรกทั้งหลาย ก็คงไม่ถึงกับต้องแหลกลาญ เพราะรายการ ช้างชนช้าง มากมายซักเท่าไหร่...

                                                               --------------------------------------------------

                แต่ในเมื่อบรรดาปวงชนชาวอเมริกา...ดันตัดสินใจเลือก ทรัมป์บ้า มาเป็นนายขายหน้าเอย ด้วย ลูกบ้า ของผู้นำอเมริการายนี้ ก็เลยก่อให้เกิด ปัญหา ในระดับโลกทั้งโลกพลอยต้องซวยไปด้วยอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ การเปิดฉาก สงครามการค้า กับจีน ด้วยการขึ้นภาษีศุลกากรรอบแล้ว รอบเล่า จนแทบไม่เหลือรายการสินค้าใดๆ ที่จะให้ขึ้นอีกต่อไปแล้ว และเมื่อเจอกับการโต้กลับแบบ ลอง มาร์ช ของคุณพี่จีน ชนิดมึงมั่ง-กูมั่ง จากสงครามการค้า กลายเป็นสงครามเทคโนโลยี และทำท่าว่าอาจกลายเป็นสงครามการเงินขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ เหลือแต่ สงครามเลือด เท่านั้นเอง ที่ยังต้องรอวัดใจกันต่อไป...

                                                              ----------------------------------------------------

                ด้วยลักษณะอาการเช่นนี้นี่เอง...ไม่ว่าประเทศไหนต่อประเทศไหน ล้วนแล้วแต่ต้องหัวทิ่ม หัวตำ ไปด้วยกันทั้งสิ้น ยิ่งประเทศที่ต้องพึ่งพาการส่งออกเป็นหลักใหญ่ อย่างเช่นไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาทั้งหลาย แม้พื้นฐานเศรษฐกิจจะแข็งแกร่ง แข็งโป๊ก ไปถึงขนาดไหน แต่ยังไงๆ...คงต้องเจอกับผลกระทบมากบ้าง น้อยบ้าง ไปตามสภาพ โดยถ้าหากเป็นผลกระทบในช่วงระยะสั้นๆ อาจไม่ถึงกับหนักหนา สาหัส มากมายซักเท่าไหร่ แต่ถ้าดูจากกิริยาอาการ การไล่ฟัด ไล่งับ ระหว่างอภิมหาอำนาจทั้งหลายแล้ว มันคงกะจะให้ เจ๊ง กันไปข้าง หรือมันคงสู้กันยาวว์ว์ว์ ปานประดุจตระกูล เการพ เปิดศึกกับตระกูล ปาณฑพ ในสมรภูมิทุ่งกุรุเกษตร ตามแบบฉบับคัมภีร์ภควัทคีตาโน่นเลย...

                                                                ---------------------------------------------------

                ดังนั้น...การเตรียมตัว เตรียมมาตรการ สำหรับประเทศเล็กๆ อย่างไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา จะเพียงแค่คิดรับมือ รับสถานการณ์ แต่เฉพาะในช่วงระยะสั้นๆ เท่านั้น คงไม่น่าจะถูกเรื่อง หรือไม่น่าจะเข้าท่าซักเท่าไหร่นัก คือจะไปชุลมุน วุ่นวาย อยู่แต่เฉพาะเรื่อง บาทแข็ง-บาทอ่อน หรือประเภทหันไป อัดฉีด กระตุ้นโน่น กระตุกนี่ กระทอกเข้า กระทอกออก ชนิดเมื่อยแขน เมื่อยขา กันไปทั้งประเทศ ในช่วงระยะสั้นๆ นั้น...อาจคงพอได้ หรืออาจพอให้คลายเครียดกันไปเป็นพักๆ แต่สำหรับระยะยาวแล้ว มีแต่เหนื่อยกับเหนื่อย เผลอๆ อาจหัวใจวาย หรืออาจขาดใจตายขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้...

                                                                 --------------------------------------------------

                เพราะอย่างที่บอกไว้แล้วนั่นแหละว่า งานนี้...มันคงสู้กันยาวว์ว์ว์ จากสงครามการค้า กลายเป็นสงครามเทคโนโลยี หรืออาจลุกลามบานปลายกลายเป็นสงครามการเงิน ที่อาจต้องจบลงแบบ สงครามการเงินปี ค.ศ.1930 หรือสงครามการเงินในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ ที่เรียกๆ กันว่า Great Depression นั่นเอง คือจบลงด้วย สงครามเลือด หรือ สงครามโลกครั้ง 2 กันจนได้ และถ้าหากมันเป็นไปในแนวนี้ขึ้นมาเมื่อไหร่ สิ่งที่ต้องเตรียมตัว เตรียมใจ เตรียมมาตรการรับมือกับฉากสถานการณ์เช่นนี้ มันคงหนีไม่พ้นต้องอาศัย มาตรการระยะยาว นั่นแล...

                                                                   --------------------------------------------------  

                ซึ่งมาตรการระยะยาวที่ถือว่าเหมาะสม สอดคล้อง กับความเป็นไปของโลกในลักษณะดังกล่าวได้ดีที่สุด ถูกต้องที่สุด มีความเป็นไปได้มากที่สุด ก็คงหนีไม่พ้นไปจากมาตรการที่ถูกเรียกขานกันในนาม เศรษฐกิจพอเพียง นั่นเอง โดยต้องเป็น พอเพียง แบบจริงๆ จังๆ ไม่ใช่แบบนกแก้ว นกขุนทอง ต่อไปอีกแล้ว พอเพียงชนิดลึกลงไปถึงจิตสำนึก และจิตใต้สำนึก ของผู้คน ชุมชน สังคมและประเทศอย่างทั่วถึง และทั่วด้านไปด้วยกันทั้งหมด อะไรที่มันขัดแย้งกับมาตรการระยะยาว ต้องหาทางลด-ละ-เลิก ลงไปให้น้อยที่สุด แทนที่จะเอาแต่กระตุก กระตุ้นจีดีพี สู้หันมากระตุก กระตุ้นจิตสำนึกของผู้คน น่าจะเข้าท่ากว่าเป็นไหนๆ...

                                                                     -----------------------------------------------

                ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Seneca (อีกครั้ง)... It is not the man who has too little who is poor, but the one who craves more.- ผู้ที่มีไม่มากไม่ใช่คนจน เพราะคนจนคือผู้ที่อยากมีโดยไม่รู้จักพอ...

                                                                       ---------------------------------------------- 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"