ทางออกเศรษฐกิจกับอนาคตประเทศไทย


เพิ่มเพื่อน    

      เห็นภาพกราฟฟิก...ที่หนังสือพิมพ์ ประชาชาติธุรกิจ เขาไปหยิบเอาตัวเลขจีดีพีระหว่างไตรมาส 1 กับไตรมาส 2 ของแต่ละประเทศ แต่ละซีกโลก มาเปรียบเทียบให้เห็นกันจะจะ ก็สามารถสรุปได้โดยทันที ว่าภาวะเศรษฐกิจในช่วงนี้ มันคงหนีไม่พ้นต้อง หัวทิ่ม กันไปทั่วทั้งโลก หรือเป็นอะไรที่น่าสยดสยอง น่าขนลุกขนพอง มิใช่น้อย...

                                                             ------------------------------------------------------

      ยิ่งเจอกับ ข่าวล่า-มาเรือ ว่าด้วยหัวขบวนรถจักรของเศรษฐกิจโลก อย่างอเมริกาและจีน ดันหันมาใส่เกียร์เดินหน้าแบบเต็มสูบ กะจะวิ่งชนกัน แบบให้พังพินาศ ให้ฉิบหาย กันไปข้าง งัดเอาภาษีการค้า หรืออัตราภาษีศุลกากร มาใช้เป็นเครื่องมือในการปกป้อง กีดกัน และการโจมตีซึ่งกันและกัน ชนิดไม่ต่างไปจากการ ดวลปืน ในหนังคาวบอยฮอลลีวูด อะไรทำนองนั้น โอกาสที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะหวนกลับคืนไปสู่ความสงบ ราบรื่น และเรียบนิ่ง พอที่จะทำมาค้าขาย พอที่จะ ส่งออก กันได้ถนัดๆ คงน่าที่จะต้องรอคอยกันไปอีกนาน...

                                                               -------------------------------------------------------

      และแน่ล่ะว่า...ภายใต้ ข้อเท็จจริง ของบรรยากาศทำนองนี้ แต่ละประเทศคงหนีไม่พ้นต้องหันมากระตุก หันมากระตุ้นเศรษฐกิจ ภายในประเทศตัวเอง กันอย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ โดยเฉพาะประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาทั้งหลาย ที่เคยกระตุกกันมาตลอด 4 ปี 5 ปี มาถึง ณ ขณะนี้...ก็คงหนีไม่พ้นต้องซอยยิกๆ กันอีกจนได้ แต่มันจะช่วยให้อะไรกระเตื้องขึ้นมาได้อีกซักกี่มาก-น้อย อันนี้...คงต้องคิดซะว่าวอท เอฟเวอร์ วิลบี วิลบี ก็แล้วกัน เพราะอย่างที่เคยว่าๆ เอาไว้แล้วนั่นแหละว่า การกระตุกไปนานๆ...น่าจะไม่ก่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพมากมายซักเท่าไหร่นัก ยิ่งถ้าแนวโน้มทางเศรษฐกิจมันออกไปทางซึมยาวว์ว์ว์ หรือออกไปทางลองมาร์ช ขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าจะยังมีเรี่ยว มีแรงกระตุก ไปได้อีกถึงขั้นไหน...

                                                                   -----------------------------------------------------

      ยิ่งถ้าหากการกระตุก การกระตุ้นนั้นๆ...มันส่ออาการออกไปทาง หน้ามืด นอกจากมันจะไม่ได้ช่วยให้เกิดผลตอบแทนที่คุ้มค่า คุ้มประโยชน์ อย่างที่ควรจะเป็นแล้ว มันอาจกลายเป็นตัวทำลาย ความชอบธรรมทางการเมือง   อันถือเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อเสถียรภาพของรัฐบาลใดๆก็ตาม มากซะยิ่งกว่าจำนวนเสียง จำนวนเก้าอี้ ของ ส.ส.ในรัฐสภาที่เพียรพยายามดูดแล้ว ดูดอีกกันอยู่ในระหว่างนี้ ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า แต่ก็นั่นแหละ...ดูเหมือนว่ารัฐบาล ท่านคงมองไม่เห็น ทางออกอื่นๆ มากไปกว่าการต้องซอยยิกๆ กันไปตามสภาพ การวิ่งไล่แจกเงินเด็กๆ การคิดจะไปปิดผับ ปิดบาร์ เอาตอนตีสาม ตีสี่ การเปิดไฟเขียวให้ถมทะเลกันเป็นพันๆ ไร่ ไปจนถึงการขุดทอง หาทอง ที่อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ต่อชาวบ้าน ชาวช่อง ฯลฯ มันเลยเป็นข้อเสนออันมิอาจปฏิเสธได้ หรือย่อมต้องเป็นไปด้วยประการละฉะนี้...แล...

                                                                    ------------------------------------------------------

      สิ่งที่น่าคิด น่าสะกิดใจ สำหรับผู้ที่ยังรักและห่วงใยต่อชาติบ้านเมือง จนไม่อยากจะเอามือ หรือเอาตีนราน้ำ แม้จะอึดอัดขัดใจกับรัฐบาลอยู่บ้างในบางครั้ง บางครา ก็น่าจะเป็นการหันมาช่วยคิด ช่วยตั้งคำถามกันดูว่า เอาเข้าจริงๆแล้ว...มันยังพอมี ทางออกอื่นๆ ที่นอกเหนือจากทางออกที่รัฐบาลแต่ละรัฐบาล หรือแต่ละประเทศ ต้องหันมาอาศัยกรรมวิธีในการกระตุก การกระตุ้น แบบชนิดเหมือนๆ กัน หรือแบบเป็นไปในทางเดียวกันเท่านั้น หรือไม่ อย่างไร??? และทางออกที่ว่านั้น จะสามารถก่อรูป ก่อร่าง ให้เป็น รูปธรรม ไม่ใช่ออกไปทาง นามธรรม เหมือนกับการท่องๆ บ่นๆ คาถาศักดิ์สิทธิ์ แบบนกแก้ว นกขุนทอง กันไปเรื่อยๆ ได้จริงๆ หรือไม่ อีกทั้งทางออกที่ว่านี้...มันจะเหมาะสม สอดคล้อง กับแนวโน้มของความเป็นไปของโลกในระยะสั้น และระยะยาว ได้มาก-น้อยเพียงใด???

                                                                       ------------------------------------------------------

      อันนี้นี่แหละ...ที่คงต้องช่วยคิดๆ กันแบบจริงๆ จังๆ  เพราะถ้าหากความเป็นไปในทางเศรษฐกิจ มันหนักหนา สาหัส ถึงขั้นอย่างที่มันเคยเป็นไปเมื่อครั้งอดีต คือเป็นไปในแบบต้องหัวทิ่มกันไปทั่วทั้งโลก หรือ ถดถอย กันไปทั่วทั้งโลก ผลกระทบทางเศรษฐกิจอันเคยเป็นที่จดจำกันในระดับประวัติศาสตร์ อย่างที่เรียกๆ กันว่า การถดถอยครั้งยิ่งใหญ่ (The Great Depression) นั้น ไม่เพียงแต่เป็นตัวสร้างความเจ็บปวด รวดร้าว ให้กับผู้คนทั่วทั้งโลก แต่มันยังนำมาซึ่ง การเปลี่ยนแปลง ในบริบทที่กว้างขวาง ลึกซึ้ง แผ่ซ่านไปในแทบจะทั่วทั้งโลก ทั้งในทางการเมือง สังคม หรือแม้กระทั่งประเพณี วัฒนธรรม และค่านิยมต่างๆ เอาเลยก็ว่าได้...

                                                                      ------------------------------------------------------

      โดยเฉพาะสำหรับบ้านเรานั้น...หลังจาก การถดถอยครั้งใหญ่ เมื่อช่วงประมาณปี ค.ศ.1929-1930 อีกแค่ประมาณ 2-3 ปีเท่านั้นเอง อุบัติการณ์การเปลี่ยนแปลง ที่เรียกว่า การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ก็อุบัติตามมาอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ โดยไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปเถียงกัน ว่ามันจะดี-ไม่ดี เหมาะ-ไม่เหมาะ สอดคล้อง-ไม่สอดคล้อง กับประเทศไทย สังคมไทย ให้ต้องยุ่งยาก มากความ โดยเฉพาะสำหรับผู้คนยุคหลังๆ เนื่องจากสิ่งที่ว่ามันได้เกิดขึ้นมาแล้ว เกิดขึ้นมาบน ข้อเท็จจริง อันมิอาจปฏิเสธของเหตุการณ์ความเป็นไปเมื่อครั้งอดีต แต่สำหรับอนาคตเบื้องหน้านั้น ก็อย่างที่หนังเรื่อง แบ็ก ทู เดอะ ฟิวเจอร์ ของ สตีเวน สปีลเบิร์ก เขาสรุปเอาไว้นั่นแหละว่า อนาคตนั้น...สามารถเป็นอะไรก็ย่อมได้ ขึ้นอยู่กับว่าปัจจุบันเราจะคิด เราจะเขียนมันขึ้นมาในลักษณะไหน???

                                                                         ----------------------------------------------------

      ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก George Santayana (อีกครั้ง)... Those who cannot remember the past are condemned to repeat it. – ผู้ที่ไม่จดจำอดีต ผู้นั้นมีกรรมจำต้องย้อนรอยอดีต...

                                                                           ------------------------------------------------------


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"