ศาลคลี่ปมถวายสัตย์ ผู้ตรวจส่งเรื่องให้วินิจฉัย ฝ่ายค้านไม่จบลุยซักฟอก


เพิ่มเพื่อน    


    “ประยุทธ์” นำ ครม.รับพระราชดำรัสพร้อมลายพระราชหัตถ์หน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สุดปลื้มปีติซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ อารมณ์ดียิ้มร่าตลอดวัน ย่องเงียบโผล่ตึกนารีสโมสรระหว่างทีมโฆษกแถลง พร้อมโชว์ลายพระราชหัตถ์ฉบับจริง เมินกระทู้สดฝ่ายค้าน ลั่นจะทำเหมือนนายกฯ คนอื่นๆ ที่จะตัดสินใจเองไปตอบเองหรือไม่ ส่วนที่ผู้ตรวจฯ ส่งศาลตีความก็ทำไป “ฝ่ายค้าน” ไม่จบ ย้ำลุยญัตติอภิปรายไม่ลงมติต่อ “ปิยบุตร” ตั้งโต๊ะแถลงไม่ใช่ถวายสัตย์ฯ ใหม่ คนจบได้มีแค่ “ประยุทธ์” คนเดียว
    เมื่อวันอังคารที่ 28 สิงหาคม พุทธศักราช 2562 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระราชดำรัสพร้อมลายพระราชหัตถ์ ในโอกาสที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ เมื่อวันที่ 16 ก.ค.2562 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน
    ในโอกาสนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นำ ครม.รับพระราชดำรัสพร้อมลายพระราชหัตถ์หน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อน้อมรับใส่เกล้าใส่กระหม่อมไว้เป็นสิริมงคล และเป็นเครื่องกำกับสติเตือนใจสืบไป
 ภายหลังเสร็จสิ้นพิธีนายกฯ ได้กล่าวกับ ครม. ว่าขอให้ทุกคนยึดมั่นตามกระแสพระราชดำรัสที่พระราชทานไว้
    ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ได้เดินทางไปเป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมผู้บัญชาการทหารสูงสุด ภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ประจำปี 2562 (Chiefs of Defense Conference 2019: CHOD 2019) ที่ห้องแกรนด์ ฮอลล์ ชั้น 2 โรงแรมดิแอทธินี ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม และทักทายผู้มาร่วมประชุม 
จากนั้น เวลา 09.08 น. ที่บริเวณหน้าตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์สวมชุดปกติขาวเดินมายังบริเวณตึกบัญชาการ 1 อย่างอารมณ์ดี พร้อมทักทายกลุ่มช่างภาพสื่อมวลชนว่า “วันนี้ดีนะ เมื่อเช้าไปเปิดงานมา” เมื่อถามว่าหลังจากพิธีวันนี้จะมีผลกระทบอะไรต่อการอภิปรายในสภาหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า อย่าไปวิจารณ์อะไรกันให้มากนักเลย
    และเวลา 13.50 น. พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์หลังประชุม ครม.อย่างอารมณ์ดี โดยเมื่อเจอสื่อมวลชนได้ส่งยิ้มหวานให้พร้อมกล่าวว่า ทุกครั้งที่ประชุม ครม.ก็มีความสุข หลายอย่างได้นำเข้าสู่การพิจารณาร่วมกันเป็นมติของ ครม. ไม่ว่าจะมาจากพรรคการเมืองใด มีการพูดคุยและหารือกันทุกประเด็นทุกมิติ มีการรับฟังข้อสังเกตจากทั้งภายในภายนอก รวมทั้งข้อวิพากษ์วิจารณ์ในโซเชียลฯ ก็นำมาหารือร่วมกัน ถือเป็นการสร้างการรับรู้และทำความเข้าใจร่วมกัน ไม่เช่นนั้นก็ทำงานร่วมกันไม่ได้ ความขัดแย้งจะมีสูง ดีใจที่ทุกอย่างได้หารือกันอย่างเรียบร้อยในหลายประเด็น
    เมื่อถามว่า หลังพิธีวันนี้เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้วจะส่งผลทำให้ปัญหาที่เคยมีการวิพากษ์วิจารณ์จบลงหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “ผมไม่อาจจะกล่าวได้ว่าจะสามารถไปจบเรื่องอื่นได้หรือไม่ แต่ก็เป็นเรื่องที่พวกเราคือคณะรัฐมนตรีทุกคนซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ เป็นเรื่องที่ผมทำเรื่องขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตไป ท่านก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ลงมาเป็นลายลักษณ์อักษร เป็นสิ่งที่คณะรัฐมนตรีและรัฐมนตรีนำไปสู่การปฏิบัติ ซึ่งก็จะเชิญพระราชดำรัสไปใส่กรอบประดับไว้ที่ทำงานหรือที่บ้านก็แล้วแต่ แต่ต้องเป็นที่อันสมควร ของผมก็เช่นกัน จะเก็บไว้ที่ทำเนียบรัฐบาลของผม ซึ่งถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นในเรื่องของการถวายสัตย์ฯ ที่ผ่านมามีการเผยแพร่ผ่านทางสื่อทางโซเชียลฯ และโทรทัศน์ต่างๆ เพราะฉะนั้นวันนี้เป็นลายลักษณ์อักษรลงมา ซึ่งก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตามที่ขอพระราชทานไป ส่วนเรื่องอื่นก็ให้เป็นเรื่องอื่นต่อไป ไปว่ากันมา"
    ทำเหมือนนายกฯ คนอื่น
    พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ในส่วนของคำถามอื่นๆ อาทิ รัฐบาลต้องแถลงนโยบายใหม่หรือไม่ เรื่องนี้ไม่ขอตอบ รวมทั้งเรื่องงบประมาณต่างๆ ซึ่งสามารถชี้แจงได้อยู่แล้ว ในส่วนที่มาของงบประมาณและรายได้ ซึ่งมีเขียนไว้อย่างชัดเจน ส่วนที่ฝ่ายค้านยังเดินหน้าตรวจสอบและยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมตินั้น ก็เป็นเรื่องเขา แล้วแต่เขา ใครมีสิทธิ์อะไรตรงไหนก็ทำไป 
    เมื่อถามว่าที่ พล.อ.ประยุทธ์พูดว่าหากมีการอภิปรายก็พร้อมชี้แจงด้วยตัวเองนั้น มีความพร้อมมากแค่ไหน พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า พูดถึงเรื่องอื่น เรื่องใดที่ตอบได้ก็จะไปตอบ แต่เรื่องใดที่ไม่ควรตอบก็ไม่ตอบ หรือไม่ก็มอบหมายคนอื่นไปตอบแทน จะทำเหมือนกับนายกฯ คนอื่นทำมา 
"ที่ผมพูดหมายถึงว่าผมพยายามเข้าไปฟังสภาเขาพูด ถ้าเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ ผมจะได้รับฟังมาแก้ปัญหาของเรา เพราะบางครั้งก็เป็นการฟังความข้างเดียว บางครั้งรัฐบาลก็ต้องไปชี้แจง โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องและรับผิดชอบไปชี้แจง  และถ้าผมอยู่ด้วยก็จะได้ชี้แจงไปบ้างในประเด็นดังกล่าวเพื่อเสริมกัน จะได้เกิดความเข้าใจร่วมกันว่าบางอย่างทำได้ บางอย่างทำไม่ได้" นายกฯ ระบุ
    เมื่อถามว่า ได้ทราบหรือยังว่าวันนี้ผู้ตรวจการแผ่นดินได้ส่งเรื่องปมถวายสัตย์ฯ ไปยังศาลรัฐธรรมนูญ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ยังไม่ทราบ แต่ถ้าเขาส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญก็ให้ส่งไป เป็นเรื่องของผู้ตรวจการแผ่นดิน 
    ถามอีกว่า ถ้ามีการตั้งกระทู้ถามนายกฯ จะไปตอบเองหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า การยื่นกระทู้ถามเขาจะส่งเรื่องเพื่อบรรจุวาระในช่วงเวลาแค่วันเดียว แล้วจะให้ผู้ถูกถามไปตอบทันทีในวันเดียวกัน  บางทีก็กระชั้นไปนิดหนึ่ง ตอนนี้อยู่ระหว่างหารือว่าจะทำอย่างไร แต่ถ้าเป็นญัตติอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 152 ต้องส่งล่วงหน้า ซึ่งดูเหมือนจะประชุมกันในวันจันทร์ เป็นเรื่องที่สามารถจัดตัวแทนหรือผู้รับผิดชอบโดยตรงไปชี้แจงแทนได้ เว้นแต่ที่เป็นประเด็นเรื่องของตนเอง 
    เมื่อถามย้ำว่า แล้วถ้ามีการยื่นอภิปรายแนวโน้มจะให้คนอื่นไปชี้แจงแทนหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวปฏิเสธว่า “ไม่ใช่ เรื่องนี้ผมจะไม่ส่งคนอื่น เพราะถือเป็นเรื่องของผม เป็นเรื่องที่ผมจะตัดสินใจด้วยตัวเอง"
    ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้ขอให้ พล.อ.ประยุทธ์เชิญพระราชดำรัสมาแสดงต่อช่างภาพและสื่อมวลชน พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า "คงไม่เหมาะสม เพราะส่วนอื่นเป็นสำเนาให้ ครม. ที่ผมขอพระราชทานนั้น ตัวจริงอยู่ที่ผม ไม่ต้องกังวล อย่างไรก็ของจริง มีลายพระราชหัตถ์ต่างๆ เรียบร้อย ซึ่งผมก็จะตั้งไว้ในที่อันสมควร"
    เมื่อถามย้ำว่า คิดว่าการวิพากษ์วิจารณ์จะจบลงหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไปถามคนวิจารณ์ อย่ามาถามตนเอง เพราะเป็นคนถูกวิจารณ์ ต้องไปถามคนวิจารณ์ถึงความเหมาะสม ไปว่ากันมา ไม่ไปก้าวล่วงใครทั้งสิ้น และเมื่อถามว่า นายกฯ โล่งใจเกี่ยวกับปมปัญหาเรื่องนี้แล้วหรือยัง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า "ผมก็เฉยๆ ของผม แต่ผมปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณที่ได้พระราชทานมาให้ตามที่ผมขอพระราชทานขึ้นไป และพระราชทานกลับมาเท่านั้นเอง หลังจากวันที่ 16 ก.ค.ที่ผ่านมา ผมได้ทำเรื่องเพื่อขอไป ซึ่งก็มีพระราชดำรัสลงมาตามที่สำเนาไป" 
เมื่อถามว่า ดูเหมือนนายกฯ จะสบายใจหลังจากพิธีเมื่อช่วงเช้าผ่านไป พล.อ.ประยุทธ์ยิ้มพร้อมกล่าวว่า ก็สบายใจมาทุกวัน และมีคนเตือนมาให้อารมณ์ดี ซึ่งลุยงานมาโดยตลอด ไม่มีเคยหยุด ส่วนการเตรียมการลงพื้นที่ต่างจังหวัดนั้น ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังคิดอยู่ว่าจะไปไหนต่อ เช่นเดียวกับการประชุม ครม.นอกสถานที่ในต่างจังหวัด
เข้าตึกนารีฯ โชว์
    ภายหลัง พล.อ.ประยุทธ์แถลงข่าวเสร็จสิ้น ได้เดินจากตึกบัญชาการไปตึกไทยคู่ฟ้า โดยระหว่างทางเดิน นายกฯ ได้ตรวจดูต้นไม้ในสวนหย่อมอย่างอารมณ์ดี โดยนายกฯ ได้ขึ้นไปยังห้องทำงาน ใช้เวลาประมาณ 10 นาที จากนั้นเวลา 14.15 น. พล.อ.ประยุทธ์พร้อมคณะผู้ติดตามได้เดินออกจากตึกไทยคู่ฟ้ามายังตึกนารีสโมสรอย่างกะทันหัน ในระหว่างที่โฆษกและรองโฆษกประจำสำนักนายกฯ ได้แถลงผลการประชุมไปประมาณ 10 นาที ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ได้ขึ้นไปยังโพเดียมแถลงข่าวพร้อมเชิญพระราชดำรัสและลายพระราชหัตถ์ที่ใส่กรอบมาแสดงต่อสื่อมวลชนให้บันทึกภาพ 
โดยนายกฯ กล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า ขอให้สนใจการแถลงข่าวของทีมโฆษกด้วย ไม่ใช่สนใจแต่นายกฯ เพราะนี้คือตัวแทนนายกฯ ซึ่งนายกฯ ได้กล่าวหยอกโฆษกว่าวันนี้โดนแย่งซีนเหรอ ก่อนนั่งที่โพเดียมและกล่าวว่า วันนี้คณะโฆษกมีเรื่องจะชี้แจงให้สื่อมวลชนทราบหลายเรื่อง ตนเองดูดีขึ้นหรือไม่ ดูดียิ้มแย้มแจ่มใสใช่หรือไม่ ตนเองต้องยิ้มแข่งกับท่านโฆษกหน่อย เป็นเกียรติซึ่งกันและกัน
    จากนั้นนายกฯ ได้ลงจากโพเดียมและเชิญพระราชดำรัสพร้อมลายพระราชหัตถ์แสดงให้สื่อบันทึกภาพอีกครั้ง พร้อมเชิญมาแสดงหน้าตึกนารีสโมสรตามคำขอของสื่อมวลชนด้วย ก่อนจะเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้าอย่างอารมณ์ดี ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ พล.อ.ประยุทธ์มาแถลงที่ตึกนารีสโมสร
นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกฯ แถลงผลประชุม ครม.ว่า ในที่ประชุมนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบกรณีที่สื่อมวลชนหรือผู้คนในสังคมคิดว่า พล.อ.ประยุทธ์จะไม่ไปตอบกระทู้ในสภาในประเด็นถวายสัตย์ฯ ซึ่งในข้อเท็จจริงไม่เคยมีการส่งเรื่องแจ้งให้ไปตอบ แต่มาบอกว่านายกฯ ไม่ไปตอบ ทั้งที่ไม่เคยมีหนังสือ ไม่เคยมีเรื่องส่งเข้ามาว่าให้ไปตอบแต่อย่างไร ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 7 ส.ค. มีการยื่นกระทู้ แต่เมื่อทราบว่านายกฯ มีภารกิจไป จ.ยะลา จึงถอนกระทู้ออก เพราะทราบว่านายกฯ มาไม่ได้อยู่ดี จากนั้นครั้งที่ 2 ก็ไม่ได้มีหนังสือมาเช่นเดียวกัน เพราะในวันนั้นนายกฯ ไปปฏิบัติภารกิจสำคัญคือการปิดการฝึกภาคทะเล ซึ่งเอาไว้รองรับวิกฤติระดับชาติ ซึ่งเหล่านี้คือข้อเท็จจริง 
“ขอเรียนให้สื่อมวลชนและสังคมทราบ ประชาชนจะได้เข้าใจว่าไม่เคยมีหนังสือให้นายกฯ ไปตอบกระทู้เข้ามาแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นนายกฯ ไม่เคยปฏิเสธไม่ไปตอบ และในตอนท้ายของการประชุม นายกฯ ฝากให้ทุกกระทรวงทำงานแก้ปัญหาร่วมกันอย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน นายกฯ ก็ทำงานเต็มที่เพื่อให้ประเทศเดินหน้าไปได้ ขอให้ทุกคนหากมีอะไรก็หารือกัน และขอให้เข้าใจเจตนาของนายกฯ ด้วยว่าไม่มีอะไร จะทำเพื่อประเทศไทยเท่านั้น” นางนฤมลระบุ
    ขณะเดียวกัน ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน  นายรักษเกชา แฉ่ฉาย เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน แถลงผลประชุมผู้ตรวจการแผ่นดินว่า ที่ประชุมมีมติเอกฉันท์ให้ส่งเรื่องพร้อมความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 46 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 เพื่อให้วินิจฉัยว่าการที่นายกฯ กล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณตนไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 161 เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ และละเมิดสิทธิเสรีภาพของนายภานุพงศ์ ชูรักษ์ นักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง ที่เป็นผู้ยื่นคำร้องหรือไม่ โดยผู้ตรวจการแผ่นดินเห็นว่า แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะส่งคำชี้แจงมาว่าก่อนเข้ารับหน้าที่ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้แล้ว เป็นการกระทำที่ครบถ้วนตามกระบวนการและขั้นตอน  ถือว่าการถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ได้ปฏิบัติสำเร็จโดยสมบูรณ์ ทั้งโดยนิตินัยและพฤตินัย และการถวายสัตย์ของ ครม.เป็นเรื่องของ ครม.กับพระมหากษัตริย์ แตกต่างจากการกล่าวคำปฏิญาณตนของ ส.ส. โดยผู้ตรวจการแผ่นดินจะยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญในช่วงวันที่ 27 ส.ค. ส่วนรัฐบาลจะต้องหยุดการปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อนหรือไม่ เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญที่จะพิจารณา ซึ่งผู้ตรวจการฯ ไม่ได้ยื่นคำร้องประเด็นดังกล่าว
    นายรักษเกชาแถลงอีกว่า ในส่วนของคำร้องของนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย และนายอัยย์ เพชรทอง เลขาธิการองค์กรปกป้องพระพุทธศาสนาเพื่อสันติภาพ ร้องในประเด็นเดียวกันนั้น เมื่อผู้ตรวจฯ พิจารณาแล้วเห็นว่ากรณีการถวายสัตย์ฯ ไม่ครบเป็นเรื่องของการกระทำ ไม่ใช่บทบัญญัติกฎหมาย จึงไม่ได้เป็นประเด็นว่าข้อความหรือถ้อยคำในการกล่าวถวายสัตย์ฯ มีปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญที่ต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญ และเมื่อเป็นการกระทำก็เห็นว่าไม่ใช่การกระทำทางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลปกครอง จึงมติให้ยุติเรื่องในส่วนของ 2 คำร้องนี้
    ตีตกคำร้องเสรีพิศุทธ์
    สำหรับกรณีที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ขอให้พิจารณาส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 46 พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญว่า การประชุมสภาผู้แทนราษฎรและประชุมรัฐสภา เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. เพื่อเลือกนายกฯ เป็นการกระทำที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่นั้น  จากคำชี้แจงของนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาระบุว่าในการประชุมร่วมกันของรัฐสภาได้จัดให้มีการเสนอชื่อบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกฯ โดยมี ส.ส.เสนอชื่อ 2 ท่าน คือ พล.อ.ประยุทธ์ และนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และมี ส.ส.รับรองโดยเปิดเผยไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวน ส.ส.ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่  โดยไม่มี ส.ส.คนใดเสนอรายชื่อเพิ่มเติม ประธานรัฐสภาจึงดำเนินการให้สมาชิกรัฐสภาอภิปรายและให้ความเห็นชอบต่อไป จึงเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในมาตรา 159 วรรคสอง การกระทำของประธานรัฐสภาจึงเป็นไปโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญแล้ว  ไม่ได้มีลักษณะเป็นการละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ และฟังไม่ได้ว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์เป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจึงให้ยุติเรื่อง
    พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ กล่าวประเด็นนี้ว่า ไม่ตอบแล้ว ต้องถามผู้ตรวจการแผ่นดิน และไม่กังวลอะไร ส่วนกรณีพิธีรับพระราชดำรัสและลายพระราชหัตถ์ในช่วงเช้านั้น ไม่รู้ ถ้าถามก็ตอบไม่รู้ เมื่อถามว่ารู้สึกสบายใจขึ้นหรือไม่ ก็สบายใจมาตลอดอยู่แล้ว 
    ด้านความเคลื่อนไหวของพรรคฝ่ายค้านนั้น นายโภคิน พลกุล คณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณีผู้ตรวจการแผ่นดินมีมติส่งประเด็นการถวายสัตย์ฯ ไม่ครบถ้วนไปให้ศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนศาลจะรับหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่ศาลจะพิจารณา แต่เห็นว่ากรณีนี้ถือเป็นสิ่งที่ดี ที่จะได้มีการชี้ขาดต่อไป ส่วนการเข้าชื่อขอเปิดอภิปรายโดยไม่ลงมติ ไม่ได้หวังไปตีรวนหรือหาเรื่อง เพียงแต่อยากใช้เวทีทางสภาหาความชัดเจน
นายสุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวว่า เมื่อผู้ตรวจการแผ่นดินส่งประเด็นปมถวายสัตย์ฯ ไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ในส่วนของพรรคฝ่ายค้านที่เข้าชื่อยื่นอภิปรายนายกฯ ปมถวายสัตย์ฯ ไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 นั้น เรายังเดินหน้าต่อไป เพราะเรื่องสภาก็จะว่ากันไป ส่วนเรื่องทางกระบวนการยุติธรรมก็ทำไป จะได้เดินกันทั้ง 2 ทางที่จะทำงานคู่กันไป ไม่ได้เป็นอะไรที่ทำให้เกิดความเสียหาย พรรคร่วมฝ่ายค้านไม่ได้มุ่งจะอภิปรายเพียงอย่างเดียว แต่จะเสนอแนะสิ่งที่เป็นประโยชน์ด้วย เพราะในการยื่นเปิดอภิปรายไม่ได้มีแต่เรื่องถวายสัตย์ฯ เพียงเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องนโยบายรัฐบาลที่แถลงต่อรัฐสภาโดยไม่ได้ชี้แจงที่มาของรายได้ที่จะอภิปรายด้วย  
    ส่วนนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) แถลงถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ และ ครม.เข้ารับพระราชดำรัสพร้อมลายพระราชหัตถ์ต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ ว่าขอยืนยันตามความเห็นของนายวิษณุว่าไม่ใช่การถวายสัตย์ปฏิญาณครั้งใหม่ การถวายสัตย์ปฏิญาณมีไปเมื่อวันที่ 16 ก.ค. ซึ่งในฐานะแฟนคลับหนังสือของนายวิษณุได้อธิบายเรื่องราวเหล่านี้ไว้ว่า เมื่อนายกฯ นำ ครม.เข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายสัตย์ฯ เมื่อถวายสัตย์ฯ เสร็จแล้ว โดยทั่วไปพระมหากษัตริย์จะมีพระราชดำรัสเพื่ออำนวยพรหรือให้กำลังใจแก่รัฐมนตรีในการปฏิบัติหน้าที่ในฝ่ายบริหารต่อไป ในอดีตที่ผ่านมา ครม.ก็ได้นำพระราชดำรัสเหล่านี้มาเป็นแนวปฏิบัติในการบริหารประเทศ โดยนายวิษณุได้เขียนไว้ว่า ในสมัยนายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกฯ ได้มีการขอพระบรมราชานุญาตนำพระราชดำรัสมาตีพิมพ์เป็นลายลักษณ์อักษรเข้ากรอบรูปสวยงามแจก ครม.ทุกคน เพื่อให้เป็นเครื่องเตือนใจในการทำงาน แต่ครั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ทำนั้นเป็นครั้งแรกที่มีการจัดพิธีดังกล่าว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม จะทำแบบที่นายบรรหารทำ ครม.ชุดอื่นหรือ พล.อ.ประยุทธ์ทำ ก็ถือว่าไม่ใช่การถวายสัตย์ปฏิญาณใหม่ 
ฝ่ายค้านลั่นยังไม่จบ
    นายปิยบุตรกล่าวอีกว่า ต้องมาพิจารณาต่อไปว่าการถวายสัตย์ฯ ของ พล.อ.ประยุทธ์ เมื่อวันที่ 16 ก.ค.นั้นสมบูรณ์หรือไม่ ในข้อความต่างๆ พล.อ.ประยุทธ์ได้ถวายสัตย์ฯ ยืนยันว่าไม่ครบ ตัว พล.อ.ประยุทธ์ก็ยังไม่เคยบอกว่าตัวเองพูดครบถ้วนทุกคำตามรัฐธรรมนูญในมาตรา 161 จึงเป็นปัญหาต่อเนื่องต่อไป ปัญหานี้ยังได้รับการยืนยันจากการที่ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในคำร้องที่มีผู้ร้องมาว่าการที่ พล.อ.ประยุทธ์ถวายสัตย์ฯ ไม่ครบถือว่าเป็นการกระทำที่ใช้อำนาจโดยมิชอบและน่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ ส่งผลกระทบสิทธิของเขาต่อเนื่องไปยังมติ ครม.ที่ออกมา หรือการแต่งตั้งข้าราชการการเมืองต่างๆ สมบูรณ์หรือไม่ และยังไม่มีองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญใดวินิจฉัยยืนยันในเรื่องนี้ สุดท้ายจึงต้องรอดูว่าจะมีคำวินิจฉัยออกมาอย่างไร
    “คิดว่าพี่น้องประชาชนรู้สึกอึดอัดใจว่าทำไมเรื่องนี้ไม่จบเสียที กินเวลามาแล้วเป็นเดือน ผม ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ และพรรคร่วมฝ่ายค้าน สุดท้ายจะจับจ้องอยู่กับเรื่องแค่นี้ไม่คิดถึงเรื่องปัญหาปากท้อง ปัญหาการบริหารราชการแผ่นดินเลยหรือ ผมอยากจบเรื่องนี้ใจจะขาด แต่คนที่จะจบได้คือ พล.อ.ประยุทธ์ ผมเป็นคนแรกที่ทักท้วงในสภาตั้งแต่วันแถลงนโยบายรัฐบาล แต่ตัวนายกฯ ไม่ยอมแก้ปัญหาเรื่องนี้ ไม่ตอบ ไม่พูดว่าครบหรือไม่ครบ ท่านไม่ได้ตอบอะไรทั้งสิ้น ใช้วิธีเงียบ ยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่ได้หวังล้มรัฐบาล แต่ต้องการความแน่นอนชัดเจน เพื่อให้ ครม.ทำหน้าที่ได้สมบูรณ์แบบตามรัฐธรรมนูญ ใครที่บอกให้จบเรื่องนี้แล้วไปแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจดีกว่าช่วยไปบอก พล.อ.ประยุทธ์ให้จับเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ถ้าแก้ปัญหาแต่แรก เรื่องไม่บานปลายมาขนาดนี้” นายปิยบุตรกล่าว
    เมื่อถามว่า หลังผู้ตรวจการแผ่นดินยื่นกรณีการถวายสัตย์ฯ ยังจะเดินหน้าอภิปรายในสภาตามมาตรา 152 ของรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายปิยบุตรกล่าวว่า ยังไม่มีการหารือกับพรรคเพื่อไทย แต่พรรคยืนยันว่าแม้ผู้ตรวจการแผ่นดินได้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้ว แต่สภายังสามารถพิจารณาญัตติดังกล่าวได้ โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยออกมาก่อน ซึ่งเป็นไปตามหลักการแบ่งแยกอำนาจ ระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายตุลาการ ซึ่งรัฐสภากับศาลรัฐธรรมนูญมีศักดิ์และสิทธิ์เท่ากัน ไม่มีใครด้อยไปกว่าใคร
    พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ  โพสต์เฟซบุ๊กช่วงเวลาเดียวกับที่ พล.อ.ประยุทธ์นำ ครม.รับพระราชดำรัสพร้อมลายพระราชหัตถ์ว่า การที่ พล.อ.ประยุทธ์และ ครม.ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายสูงสุดของประเทศ และเป็นกฎหมายมหาชนที่ควรศักดิ์สิทธิ์จนกลายเป็นสมบัติส่วนตัวเพื่อสืบทอดอำนาจนั้น ถือเป็นแบบอย่างการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่เคารพกฎหมายของผู้นำประเทศฝ่ายบริหาร จะเกิดสถานการณ์ผู้คนในสังคมไม่เคารพกฎหมาย บ้านเมืองจะไร้ระเบียบตามมา จนนำไปสู่วิกฤตการณ์ความแตกแยกที่ยากต่อการแก้ไขต่อไป.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"