บนเส้นทางไปยัง ‘เว้’


เพิ่มเพื่อน    


ริมแม่น้ำหอม เมืองเว้ ยามเริ่มต้นราตรี

     หากเอเยนต์ทัวร์ในย่านถนนข้าวสารบ้านเราใช้มอเตอร์ไซค์รับลูกค้าจากเกสต์เฮาส์ไปส่งยังรถบัสที่จอดรออยู่บนถนนใหญ่หรือจุดสะดวกจอดต่างๆ เพื่อเดินทางต่อไปยังเมืองท่องเที่ยวอื่น ที่ดานังก็มีคล้ายๆ กัน แต่ฝ่ายที่พักจะเป็นคนจ้างมอเตอร์ไซค์ “แกร็บไบค์” มารับลูกค้าไปส่งยังหน้าบริษัททัวร์ โดยที่บริษัททัวร์กับเจ้าของรถบัสที่มารับเราอาจจะไม่ใช่เจ้าของเดียวกัน
         โชคยังดีที่ผมมีกระเป๋าเสื้อผ้าใบหนึ่งและเป้ใบเล็กอีกใบสำหรับใส่ข้าวของที่ห้ามหาย การซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์จึงไม่เป็นปัญหานัก อยากทราบอยู่เหมือนกันว่าหากผมมีกระเป๋าล้อลากมาด้วย ทางฝ่ายที่พักซึ่งเป็นผู้ขายตั๋วรถบัสไปเมืองเว้ให้ผมจะแก้ปัญหาอย่างไร เป็นไปได้ว่าพวกเขาน่าจะเรียกแกร็บแท็กซี่มาแทน
    รีเซฟชั่นสาวจ่ายเงินให้กับหนุ่มคนขับมอเตอร์ไซค์ ซึ่งผมมองไม่เห็นว่าเป็นจำนวนกี่ดอง แต่แน่นอนว่าได้บวกไว้ในค่าตั๋วอยู่แล้ว ผมรับหมวกกันน็อกมาจากคนขับมอเตอร์ไซค์แล้วขึ้นซ้อนท้าย หนุ่มน้อยบึ่งออกไป ข้ามสะพานมังกรไปยังฝั่งเมืองใหม่ วิธีการรับ-ส่งผู้โดยสารแบบนี้สาวๆ จากเมืองไทยไม่ชอบแน่ๆ เพราะแดดดานังในเดือนกรกฎาคมยังร้อนอยู่มาก ยิ่งระยะทางนั่งมอเตอร์ไซค์ไกลราว 3 กิโลเมตร ย่อมไม่พ้นต้องบ่นกับคนขายตั๋ว


รถบัสนอน 3 แถว 2 ชั้น อีกหนึ่งวิธีการเดินทางยอดนิยมในเวียดนาม

    เจ้าหน้าที่ในบริษัททัวร์หาเก้าอี้ให้ผมนั่งได้ไม่กี่นาทีรถบัสก็มาจอดหน้าบริษัท ในรถบัสมีผู้โดยสารจากฮอยอันที่จะเดินทางต่อไปเว้นอนอยู่แล้วราวครึ่งคัน ที่ต้องบอกว่านอน เพราะเบาะของรถบัสเป็นแบบนอน มี 2 ชั้น จำนวน 3 แถวเรียงหนึ่ง เท่ากับมีทางเดิน 2 ช่อง เบาะรถไม่สามารถปรับให้ตั้งตรงได้ แค่เอนมากหรือเอนน้อยเท่านั้น นี่คือวิธีการเดินทางในเวียดนามของนักท่องเที่ยวแบ็กแพ็กเกอร์ส่วนใหญ่ นอกจากนี้ก็ยังมีรถตู้ มินิบัส แท็กซี่ และรถไฟ ซึ่งเมื่อเฉลี่ยต่อคนแล้วรถไฟราคาแพงสุด ส่วนรถบัสโดยสารระหว่างเมืองนั้นวิ่งช้ายิ่งกว่าหวานเย็นบ้านเรา และนักท่องเที่ยวมักต้องจ่ายแพงกว่าคนท้องถิ่นประมาณ 2 เท่า
    ผมเลือกเบาะด้านขวาเตียงบน เพราะรถเวียดนามวิ่งเลนขวา หมายจะดูวิวให้ถนัดถนี่ และที่ไม่เลือกเตียงล่าง เพราะกลัวเท้าผู้เดินผ่านมาจะเฉียดใบหน้ายามกำลังเพลิดเพลิน รถบัสโดยสารคันนี้ไม่มีกลิ่นเท้ารบกวนเหมือนที่ผมเคยใช้บริการข้ามประเทศลาว-เวียดนามเมื่อ 6 ปีก่อน โชเฟอร์แจกถุงพลาสติกให้ใส่รองเท้าเพื่อวางไว้ที่ช่องตรงปลายเท้าของแต่ละคน แต่การที่นอนโดยเท้าต่อหัวเรียงกันไปเรื่อยๆ ใครตัวยาว-ขายาวก็คงมีปัญหานิดหน่อย เช่นเดียวกับคนที่นอนอยู่ปลายเท้า เพราะอาจจะมีหัวแม่เท้ายื่นมาช่วยแคะขี้หูให้โดยไม่ขออนุญาต
    รถบัสออกตรงเวลาบ่าย 2 โมง วิ่งข้ามแม่น้ำฮานกลับไปฝั่งเมืองเก่า ออกสู่ถนนเลียบอ่าวดานัง ชายหาดบริเวณนี้สู้หาดหมีเคไม่ได้เลย แทบไม่เห็นนักท่องเที่ยว แต่ในทะเลไม่ห่างจากฝั่งมีเรือกระด้งลอยลำกระเด้งกระดอนไปตามแรงคลื่นอยู่หลายลำ ทั้งนี้ อ่าวดานังและหาดหมีเคถูกคั่นไว้ด้วยแหลมซอนจา ซึ่งมีภูเขาซอนจากินพื้นที่ส่วนใหญ่ของแหลมนี้ ภูเขาซอนจาในยุคสงครามเวียดนาม หรือสงครามอินโดจีน ครั้งที่ 2 (ค.ศ.1955-1975) ฝ่ายทหารสหรัฐเรียกว่าภูเขาลิง (Monkey Mountain) กองทัพลุงแซมได้สร้างฐานทัพอากาศขึ้นแห่งหนึ่งบนภูเขาลูกนี้และฐานทัพเรือที่ด้านล่างด้วย


อ่าวดานัง มองจากรถบัสที่กำลังแล่นผ่าน

    อ่าวดานังยังเป็นจุดที่กองทัพสหรัฐใช้ยกพลขึ้นบกเป็นแห่งแรกเมื่อปี ค.ศ.1965 และเนื่องจากว่าเป็นเมืองหน้าด่านของฝ่ายเวียดนามใต้ สหรัฐได้ใช้ฐานทัพอากาศดานังอีกแห่งที่มีขนาดใหญ่มากในการส่งเครื่องบินขึ้นโจมตีเวียดนามเหนือ และปฏิบัติการแรนช์แฮนด์ (Operation Ranch Hand) โปรยสารพิษสำหรับฆ่าวัชพืช หรือ “ฝนเหลือง” ลงสู่พื้นที่ป่าเพื่อทำลายแหล่งอาหารของฝ่ายเวียดกง คำว่า Agent Orange มาจากสีของถังบรรจุสารฆ่าวัชพืช มีเที่ยวบินขึ้นโปรยฝนเหลืองนี้ถึงเกือบ 2 หมื่นเที่ยวตลอดช่วงสงครามเวียดนาม พื้นที่ป่า 20 เปอร์เซ็นต์ของเวียดนามใต้ถูกโปรยฝนเหลืองอย่างน้อย 1 ครั้ง นอกจากเวียดนามแล้วลาวและกัมพูชาก็โดนไปด้วย ปริมาณฝนเหลืองที่โปรยลงไปในสงครามอินโดจีน ครั้งที่ 2 นี้มีปริมาณมากมายมหาศาลชนิดที่มากกว่าการใช้ทุกแห่งในโลกนี้รวมกันไม่รู้กี่เท่า ผลร้ายจากฝนเหลืองยังคงส่งผลต่อสุขภาพผู้ได้รับพิษมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ในประเทศไทยก็มีข่าวว่าตกค้างอยู่ในบางพื้นที่ เพราะสหรัฐใช้ทดสอบในปฏิบัติการดังกล่าวนี้
    สงครามเวียดนามจบลงในปี ค.ศ.1975 โดยที่สหรัฐผู้นำลัทธิประชาธิปไตยพ่ายแพ้ และไม่ได้กลับบ้านมือเปล่า หากมีศพทหารอเมริกันกลับไปด้วยเฉียด 6 หมื่น
    เลยอ่าวดานังไปถนนก็ตัดเข้าสู่ภูเขาโดยใช้สะพานลอยฟ้า และกำลังก่อสร้างอยู่อีกเส้น ซึ่งขนานกันไปกับเส้นเดิม เสร็จเมื่อไหร่ก็คงทำให้การเชื่อมฮอยอัน-ดานัง-เว้ 3 เมืองท่องเที่ยวเวียดนามกลางรวดเร็วยิ่งขึ้นไปอีก จากปัจจุบันดานัง-เว้ ระยะทางประมาณ 90 กว่ากิโลเมตร ใช้เวลา 2 ชั่วโมงนิดๆ โดยก่อนนี้ที่ยังไม่ได้สร้างอุโมงค์ไห่เวิน (Hai Van Tunnel) คนขับรถยนต์ต้องใช้ถนนไห่เวินพาส (Hai Van Pass) กินเวลามากกว่าปัจจุบันอย่างน้อย 1 ชั่วโมง ทั้งที่ระยะทางมากกว่ากันแค่ 10 กิโลเมตร


การก่อสร้างที่กำลังดำเนินไปเพื่อเชื่อมดานัง-เว้ ให้เร็วขึ้นอีก

    ถนนไห่เวินพาสมีลักษณะขึ้นลงคดเคี้ยว ลดเลี้ยวไปตามไหล่เขา ภูเขาตรงนี้เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาอันนัม (ทอดยาวเหนือ-ใต้ 1,100 กิโลเมตร) ที่เป็นเนินแหลมยกขึ้นมา ไต่ขึ้นจากความสูง 496 เมตรจากระดับน้ำทะเล เป็น 1,172 เมตรในจุดที่สูงที่สุด ในอดีตเป็นเขตแบ่งอาณาจักรได๋เวียดทางเหนือกับอาณาจักรจามปาทางใต้ คงเพราะยากเย็นแสนเข็ญหากจะยกทัพข้ามเขาลูกนี้ไปตีอีกฝ่าย
    บริษัททัวร์นิยมจัดทริปขึ้นมาเที่ยวทั้งจากฝั่งดานังและฝั่งเว้ นักท่องเที่ยวไม่น้อยทั้งจาก 2 เมืองก็มักจะเช่าแท็กซี่หรือขี่มอเตอร์ไซค์ขึ้นมาชมวิวทั้งขุนเขาและทะเลที่งามหยด จนหลายคนยกให้เป็นหนึ่งในถนนเลียบชายฝั่งที่มีทิวทัศน์สวยสุดในโลก ผมเคยแต่นั่งรถไฟผ่านบริเวณนี้เมื่อ 6 ปีก่อน ทางรถไฟโอบกอดอยู่กับชายฝั่งตลอดแนว ให้วิวสวยและหวาดเสียวไปพร้อมๆ กัน
    ส่วนอุโมงค์รถยนต์ไห่เวินที่เริ่มเปิดใช้เมื่อปี ค.ศ.2005 มีความยาวถึง 6.28 กิโลเมตร ถือเป็นอุโมงค์รถยนต์ที่ยาวที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลยทีเดียว รถบัสมุดเข้าอุโมงค์ในเขตดานัง เมื่อโผล่ออกจากอุโมงค์ก็เป็นหมู่บ้านลังโก (Lang Co) ในจังหวัดเถื่อเทียนเว้ มีลักษณะเป็นอ่าวโค้งกลมเหมือนทะเลสาบน้ำเค็มแยกออกจากทะเลด้วยสันดอนทราย แต่ก็ยังมีทางออกเล็กๆ สู่ทะเล เรียกกันว่า “ลากูน” คนที่ขึ้นไปบนไห่เวินพาสสามารถมองลงมาเห็นอย่างเหมาะเจาะ ชายหาดลังโกในสายตาของผมตามที่ความเร็วของรถบัสอนุญาตให้ดูได้ถือว่าสวยงามและเงียบสงบพอควร
    เว็บไซต์ Vietnamtourism.org ให้ข้อมูลว่า “...ลังโกตั้งอยู่บนโค้งอ่าวที่สวยที่สุดในประเทศ มีทุกสิ่งทุกอย่างที่ธรรมชาติจะมอบให้ได้ ภูเขาเขียว ป่าเขตร้อน ทรายเนื้อเนียนสีขาว แสงจ้าจากตะวัน น้ำทะเลสีฟ้าใสอุณหภูมิฉ่ำเย็น นี่คืออ่าวลำดับที่ 3 ของเวียดนามต่อจากฮาลองและญาจางที่ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ใน 30 อ่าวที่สวยที่สุดในโลก...”


รางรถไฟ ทุ่งนา ป่าเขา ทะเล วิวจากรถบัสเมื่อกำลังมุ่งหน้าเมืองเว้

    น่าเสียดายที่ผมมาอ่านเมื่อกลับถึงเมืองไทยแล้ว หากมีโอกาสได้กลับไปยังเวียดนามกลางอีกครั้งคงต้องแวะพิสูจน์เสียหน่อยว่าเว็บไซต์นี้แม่นหรือโม้กันแน่    
    รถบัสวิ่งผ่านลากูนอีกแห่งชื่อ “เกาไฮ” ใหญ่กว่าลังโกเสียอีก จากนั้นเหเส้นทางออกจากชายทะเล ขนานไปกับรางรถไฟ สองข้างทางเป็นทุ่งนาเขียวขจี หมู่วัวกระจายตัวกันกินหญ้า รถบัสเข้าสู่ตัวเมืองเว้ก่อนจอดให้ผู้โดยสารลงใกล้ๆ ศูนย์กีฬาเว้เวลาประมาณ 4 โมงครึ่ง
    ผมปฏิเสธมอเตอร์ไซค์รับจ้าง สะพายกระเป๋าเดินตามแผนที่กูเกิลในมือถือไปประมาณ 1.5 กิโลเมตรเข้าเขตนักท่องเที่ยว เจอโรงแรมที่จองไว้ก็เข้าเช็กอิน แล้วออกไปหามื้อเย็น
    ย่านนักท่องเที่ยวของเว้ดูไปก็คล้ายๆ ละแวกข้าวสารบ้านเรา บาร์แบบตะวันตกก็มาก ร้านอาหารและเครื่องดื่มแบบเวียดนามที่ตั้งโต๊ะเก้าอี้เล็กๆ เตี้ยๆ ก็มีไม่น้อย แม้จะตั้งล้ำออกมาบนบาทวิถี แต่ดูเป็นระเบียบ ผมเดินเข้าไปในถนน Chu Van An จนสุด เลี้ยวขวาไปบนถนน Le Loi ถนนสายสำคัญขนานไปกับ “แม่น้ำหอม” ซึ่งแม่น้ำจะอยู่ด้านหลังแถวของโรงแรม ร้านอาหาร คาเฟ่ และสวนสาธารณะ ผมเดินไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องเดินกลับ เพราะถูกคนถีบสามล้อและมอเตอร์ไซค์เรียกคุยเพื่อนำเสนอหญิงบริการทุกๆ 20 เมตร กลับไปเข้าร้านอาหารตรงจุดก่อนจะเลี้ยวมาบนถนน Le Loi


อาหารและความสำราญเตรียมพร้อมรอท่านบนถนน Chu Van An

    ร้านอาหารชื่อ Rose 2 เป็นร้านเล็กๆ ขายอาหารเวียดนามทั่วไป อาหารเว้ และอาหารมังสวิรัติ ผมสั่งมะเขือยาวผัดกระเทียม เต้าหู้ทอดผัดซอสมะเขือเทศ และข้าวเปล่า พนักงานเสิร์ฟนำผัดมะเขือยาวใส่มาจานเดียวกับข้าวเปล่า ผัดมะเขืออร่อยดี ส่วนเต้าหู้แข็งไปหน่อย เป็นหน้าที่ของเบียร์ Huda ในการช่วยให้กลืนได้ง่ายขึ้น กับข้าวจานละประมาณ 40 บาท ส่วนเบียร์แค่ 20 บาท ผมเลือกสั่งเบียร์ Huda เพราะเป็นเบียร์ที่ทำในเมืองเว้นี่เอง
    จากนั้นเดินออกไปยังถนน Le Loi อีกครั้ง ที่มาของชื่อถนนน่าจะมาจาก “จักรพรรดิเลเหล่ย” ผู้ยิ่งใหญ่ของได๋เวียดยุคปลายคริสต์ศตวรรษที่ 14 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 15 เป็นจักรพรรดิองค์แรกของราชวงศ์เล ซึ่งนอกจากในเว้แล้วยังมีถนนชื่อ Le Loi อีกหลายแห่งในประเทศเวียดนาม
    คราวนี้ผมเลี้ยวไปทางซ้าย ฝั่งขวามือของถนนคือสวนสาธารณะขนาดใหญ่ชื่อ “สวน 3 กุมภาพันธ์” (3 February Park) สร้างขึ้นเป็นอนุสรณ์สถานสำหรับเหตุการณ์สำคัญในสงครามเวียดนามที่เรียกว่า “ยุทธการที่เมืองเว้” (Battle of Hue) โดยหลังจากเวียดนามเหนือและกองกำลังเวียดกงได้โจมตีแบบสายฟ้าแลบหลายจุดทั่วเวียดนามใต้ในวันตรุษญวนหรือวันขึ้นปีใหม่เวียดนาม ปี ค.ศ.1968 ปีนั้นตรงกับวันที่ 30 มกราคม เว้ที่เป็นฐานที่มั่นด้านเหนือสุดของเวียดนามใต้ก็เป็นเมืองหนึ่งที่ถูกโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว และ 3 กุมภาพันธ์ 1968 ถือว่าเป็นวันที่เว้มีการนองเลือดมากที่สุด


สวนสาธารณะ 3 กุมภาพันธ์ อนุสรณ์รำลึกเหยื่อ “ยุทธการที่เมืองเว้”

    ในยุทธการที่เมืองเว้ ฝ่ายคอมมิวนิสต์เวียดนามเหนือยึดป้อมปราการเมืองเว้ไว้ได้ 26 วันก่อนที่ฝ่ายสหรัฐจะค่อยๆ รุกคืนและยึดเว้กลับไปได้ วันที่ 3 มีนาคม ฝ่ายสหรัฐก็มีชัยเด็ดขาดในศึกย่อยนี้ โดยทหารฝ่ายเวียดนามเหนือเสียชีวิต 2,800-8,000 นาย ชาวเมืองเว้ต้องสังเวยมากกว่า 5,000 ชีวิต (ข้อมูลจากรัฐบาลเวียดนามใต้ระบุว่ามาจากฝีมือของทหารเวียดนามเหนือและเวียดกงเสียราว 2,800 ราย) ฝ่ายทหารเวียดนามใต้และสหรัฐเสียชีวิตรวมกันราว 700 นาย เมืองเว้ย่อยยับไป 80 เปอร์เซ็นต์ ป้อมปราการพระราชวังพังเละ ผู้คนไร้ที่อยู่อาศัย 116,000 คน จากทั้งเมืองที่มีอยู่ 140,000 คน
    แม้สหรัฐจะกำชัยในการรุกตรุษญวน (Tet Offensive) ที่มี 3 รอบในปีเดียวกันนี้ แต่ตัวเลขการสูญเสียนับหมื่นของฝ่ายสหรัฐและพันธมิตร (ส่วนฝ่ายเวียดนามเหนือนั้นมากมายกว่าหลายเท่า) ทำให้เริ่มเป็นลบในสายตาอเมริกันชนบนแผ่นดินแม่ ค่อยๆ กลายเป็นการต่อต้านสงครามเวียดนามในเวลาต่อมา  


นาวาเล็ก-ใหญ่ ในแม่น้ำหอม 

    ในสวน 3 กุมภาพันธ์ มีประติมากรรมที่สะท้อนออกมาซึ่งโศกนาฏกรรมความสูญเสียหลายชิ้น และหลายชิ้นก็ไม่เกี่ยวข้องกับสงคราม นอกจากนี้ก็ยังมีสนามหญ้า ซุ้มต้นไม้ตัดแต่งเป็นรูปต่างๆ และที่นั่งพักผ่อน ผมเดินไปยังริมแม่น้ำ มองดูเหล่าเรือมังกรที่ลอยลำนำนักท่องเที่ยวทัศนาเมืองทั้ง 2 ฝั่งยามโพล้เพล้
    สะพานข้ามแม่น้ำชื่อ Trang Tien เรืองแสงขึ้นแล้ว สะพานนี้เป็นหนึ่งในสะพานเชื่อมเว้ฝั่งใต้ที่ผมกำลังยืนกับเว้ฝั่งเหนือ ซึ่งมีพระราชวังเว้ตั้งอยู่ ส่วนแม่น้ำมีชื่อในภาษาเวียดนามว่า “แม่น้ำเฮือง” ภาษาอังกฤษเรียกว่า Perfume River เพราะในฤดูใบไม้ร่วงบริเวณต้นน้ำจะมีดอกไม้นานาพรรณร่วงหล่นลงสู่แม่น้ำ ทำให้แม่น้ำมีกลิ่นหอมเหมือนน้ำหอม คนไทยเรียกว่า “แม่น้ำหอม” คงไม่อยากใช้ “แม่น้ำน้ำหอม” เพราะดูเทอะทะ อีกทั้งหากแปลจากภาษาเวียดนามก็ดูจะตรงกว่า
    ขณะมองไปยังแม่น้ำหอม คำว่า Perfume ยังคงอยู่ในหัว ผมดันนึกไปถึงภาพยนตร์เรื่อง Perfume ตัวเอกของเรื่องนี้ใช้มนุษย์มาทำน้ำหอม พลางคิดว่าจะมีชีวิตมนุษย์ปลิดปลิวลงสู่แม่น้ำสายนี้สักเท่าไหร่ในช่วงสงครามเวียดนาม.

 

 

แกลลอรี่


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"