เปิดโลก 2 ใบของ ‘ไวพจน์’ ก่อนพ้น ส.ส.ส่งไม้ให้ ‘ลูก’


เพิ่มเพื่อน    

 

                แม้ตอนนี้ พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ ส.ส.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ จะยังปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.อยู่ จนกว่าจะไปฟังคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีล้มการประชุมอาเซียนเมื่อปี 2553 ในวันที่ 31 ตุลาคมนี้

                แต่หลายฝ่ายเชื่อว่าจะไม่มีเซอร์ไพรส์ หรือเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาจากเมื่อวันที่ 11 กันยายน ที่ได้ตัดสินจำคุก 4 ปี จำเลยคนอื่นๆ ไปแล้ว

                พ.ต.ท.ไวพจน์เองก็เหมือนยอมรับกลายๆ ว่า สุดท้ายตัวเองต้องพ้นสมาชิกภาพ ส.ส. เดินเข้าสู่เรือนจำ หลังเตรียมตัวให้ “เพชรภูมิ อาภรณ์รัตน์” บุตรชายลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อม เขต 2 จ.กำแพงเพชร

                มีการเพ่งเล็งจำเลยที่ไม่ได้ไปฟังคำพิพากษาว่าสุดท้ายจะหลบหนีหรือไม่ รวมถึง พ.ต.ท.ไวพจน์ 1 ในจำเลยคดีดังกล่าวที่ไม่ได้เดินทางไปฟังคำพิพากษาเมื่อวันที่ 11 กันยายน

                 แต่คนในพรรคพลังประชารัฐเชื่อว่าไม่มีความจำเป็นที่ พ.ต.ท.ไวพจน์จะต้องหลบหนี ในเมื่อสถานะวันนี้เขาเป็นจำเลยที่แตกต่างจากคนอื่นๆ

                พ.ต.ท.ไวพจน์เป็นคนเดียวจากจำเลยทั้งหมดที่ย้ายมาอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ ขณะที่คนอื่นๆ ยังปักหลักแน่นกับพรรคเพื่อไทยและอดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)

                ช่วงแรกที่ พ.ต.ท.ไวพจน์ย้ายเข้าสู่พรรคพลังประชารัฐ พร้อมกับกลุ่มอดีต ส.ส.กำแพงเพชร ในนาม “กลุ่มชากังราว” เขาถูกครหาและด่าทอจากขั้วเดิมว่ายอมเปลี่ยนอุดมการณ์เพื่อแลกกับคดีความ

                ทั้งที่ความเป็นจริง ช่วงที่ พ.ต.ท.ไวพจน์ย้ายเข้ามาอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ คดีล้มการประชุมอาเซียนเมื่อปี 2553 คืบหน้าไปจวนจะถึงชั้นฎีกาอยู่แล้ว การจะอาศัยอภินิหารแบบ “แรมโบ้อีสาน” สุภรณ์ อัตถาวงศ์ กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นไปได้ยาก

                อีกทั้ง พ.ต.ท.ไวพจน์และ “กลุ่มชากังราว” ที่มีนายวราเทพ รัตนากร อดีต รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และอดีต รมช.เกษตรและสหกรณ์ ในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นแกนนำ ตัดสินใจย้ายขั้วมาแทบจะเป็นกลุ่มการเมืองท้ายๆ

                ในขณะที่ “สุภรณ์” 1 ในจำเลยที่รอด เพราะอัยการนำตัวส่งไม่ทัน ตัดสินใจย้ายขั้วมาอยู่กับฝ่ายอำนาจปัจจุบัน โดยทำกิจกรรมการกับกลุ่มสามมิตรตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่ยังไม่มีพรรคพลังประชารัฐด้วยซ้ำ

                แม้ พ.ต.ท.ไวพจน์จะหวังลึกๆ ถึงโอกาสในการใช้ชีวิต ส.ส.กำแพงเพชรยาวกว่านี้ แต่ก็ทำใจมาระดับหนึ่ง หลังเห็นแกนนำม็อบหลายคน ไม่ว่าจะเป็นสีไหน ขั้วไหน ทยอยกันเข้าเรือนจำจากวีรกรรมในอดีต

                ดังจะเห็นคำพูดหนึ่งของอดีตแกนนำ นปช.รายนี้ที่ตัดสินใจย้ายขั้วมาอยู่กับพรรคพลังประชารัฐว่า “นักรบย่อมมีบาดแผล”

                 หากวันนี้ พ.ต.ท.ไวพจน์ยังอยู่สังกัดและขั้วอำนาจเดิม เขาอาจจะแสดงความกังวล หรือหายตัวไปแล้วเหมือนกับคนอื่นๆ หากแต่ยังมาประชุมสภาตามปกติ ทั้งที่พอจะเดาอนาคตตัวเองได้

                นั่นเพราะมันไม่มีอะไรน่าเกรงกลัว ในเมื่อหวยที่เขาซื้อคือ “รัฐบาล”

                ขณะเดียวกัน แม้ตัว พ.ต.ท.ไวพจน์จะพ้นสมาชิกภาพ ส.ส. ก็ยังอุ่นใจได้ว่า “เพชรภูมิ” ลูกชายที่เขาหมายมั่นปั้นมือจะให้เป็นทายาททางการเมือง จะได้รับการดูแลและสนับสนุนจาก “กลุ่มชากังราว” และ “พรรคพลังประชารัฐ”

                ตอนหาเสียงเลือกตั้ง พ.ต.ท.ไวพจน์จะหนีบ “เพชรภูมิ” ไปด้วยทุกครั้ง ซึ่งความตั้งใจแรกของผู้เป็นพ่อคือ ค่อยๆ ให้ลูกชายขยับเลเวลจากท้องถิ่นก่อนแล้วจึงขยับมาระดับชาติ

                หลังชนะการเลือกตั้งได้เป็น ส.ส.แล้ว พ.ต.ท.ไวพจน์ ก็ยังพาลูกชายมาที่พรรคด้วยเกือบทุกครั้ง เพื่อไปทำความรู้จักกับผู้ใหญ่ในพรรค

                ครั้งหนึ่งเคยมีคนถาม พ.ต.ท.ไวพจน์ว่าจะให้บุตรชายมาดำรงตำแหน่งในข้าราชการการเมืองเพื่อปูทางก่อนหรือไม่ แต่เขาระบุว่ายังเด็กเกินไป ต้องให้ศึกษาดูงานไปก่อน

                แต่เหมือนเวลาการศึกษาของ “เพชรภูมิ” จะน้อยลง เมื่อผู้เป็นพ่อส่อจะเข้าเรือนจำ

                สำหรับพื้นที่ จ.กำแพงเพชร แม้จะอยู่ในการดูแลของประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งภาคเหนือ แต่สิทธิ์ขาดในการเลือกตัวผู้สมัครคือ “กลุ่มชากังราว” ที่นำโดยนายวราเทพ ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่มานานหลายปี

                แน่นอนว่า “เพชรภูมิ” ยังเด็ก แต่ดูแล้ว “กลุ่มชากังราว” คงไม่ปล่อยให้พื้นที่ตรงนี้อยู่ในมือคนนอก อีกทั้งฐานเสียงของตัว พ.ต.ท.ไวพจน์เองก็ค่อนข้างแน่น ชนะคู่แข่งมาได้กว่าหมื่นคะแนน

                การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคมที่ผ่านมา พ.ต.ท.ไวพจน์เจอกระแสต่อต้านในพื้นที่ไม่น้อยหลังถอดเสื้อแดงมาสวมยูนิฟอร์มของพรรคพลังประชารัฐ

                เขาเคยเล่าว่า ช่วงแรกไม่มีคนเข้าใจ ต้องอาศัยเดินตามบ้านบอกเล่าเหตุผลในตัดสินใจครั้งนี้ ในฐานะที่สนับสนุนมากันตลอดตั้งแต่เป็น ส.ส.สมัยแรกๆ

                พ.ต.ท.ไวพจน์มักชอบพูดให้ฟังเล่นๆ ว่า ตัวเองมีโลก 2 ใบ ใบแรกคือ นปช. และใบที่สองคือ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

                สืบเนื่องจากในตอนย้ายขั้วใหม่ๆ ตัวเขาไม่กล้าเปิดเฟซบุ๊กดู เพราะกลัวพี่น้องเสื้อแดงเข้ามาต่อว่าต่อขาน อีกทั้งในตอนหาเสียงก็ไม่กล้าที่จะชู “บิ๊กตู่” กับชาวบ้าน เพราะกลัวกระแสตีกลับ จึงอาศัยความเป็น ส.ส.เก่าของตัวเองเท่านั้น

                แต่หลังจากตัดสินใจเข้าไปดูในโลกโซเชียลมีเดียอีกครั้ง ปรากฏว่าไม่ได้มีแค่คนที่ต่อว่า แต่มีคนที่สนับสนุนด้วย หลังจากนั้นได้นำเรื่องบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ช่วยผู้มีรายได้น้อยและคนชราไปหาเสียงกับชาวบ้าน ผลลัพธ์เกินคาดคือ มีคนชอบนโยบายนี้ โดยเฉพาะ “ผู้สูงอายุ” ซึ่ง พ.ต.ท.ไวพจน์เคยพูดในสภาและพูดข้างนอกบ่อยๆ ว่า “คนแก่รักลุงตู่”

                อย่างไรก็ตาม พื้นที่นี้นอกจากสำคัญกับ “กลุ่มชากังราว” ยังสำคัญกับพรรคพลังประชารัฐ ที่จะแพ้ไม่ได้อีกด้วย เพราะนั่นเท่ากับเสียงในสภาจะหายไป 1 เสียง ถือว่าเสียหายหนัก

                เลือกตั้งซ่อมที่เขต 5 จ.นครปฐม ไม่ได้ไม่เป็นไร เพราะถือว่าคู่แข่งแข็ง แต่ที่เขต 2 จ.กำแพงเพชร “แพ้ไม่ได้”

                อย่างน้อยไม่ได้เพิ่ม ก็ต้องเท่าเดิมไว้ก่อน. 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"