ตีกำแพงเมือง-จับตัวประกัน โค่น "ประยุทธ์" สะเทือนถึงดวงดาว


เพิ่มเพื่อน    

 

    ทิ้งทายก่อนเดินทางไปประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ กระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงปมถวายสัตย์ปฏิญาณตน ทิ่มกลับไปที่ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ และสมาชิกพรรคฝ่ายค้าน ถึงเป้าหมายให้ตัวเขาเองพูดถึงสิ่งใด

                "ผมบอกแล้วว่าชี้แจงเท่าที่ทำได้ ในขณะเดียวกัน นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงไปแล้ว ส่วนที่บอกว่าผมชี้แจงเองจะชัดเจนกว่าหรือไม่นั้น คุณก็รู้ว่าเขาต้องการอะไร เขาต้องการให้ผมพูดอะไรสักอย่าง ก็ต้องระมัดระวังมากที่สุดในการที่จะถูกลากไปเชื่อมโยงอะไรก็แล้วแต่ ต้องระมัดระวัง เพราะคนทำต้องรับผิดชอบในการที่จะต้องไปเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกับอะไรก็แล้วแต่" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

                ยากที่จะปฏิเสธว่า มีปมบางอย่างที่รัฐบาล แม้แต่ฝ่ายค้านไม่สามารถพูดได้ แม้แต่การชี้แจงในสภาฯ ของนายวิษณุ ก็อาจเรียกได้ว่า แตะได้ แต่ไปไม่ถึง เพราะเป็นประเด็นที่อ่อนไหว และพร้อมจะนำไปขยายความ ตั้งคำถามต่อ จนกลายเป็นเรื่องที่อาจสะเทือนไปไกล ส่งผลให้องค์กรที่ทำหน้าที่ปกปักรักษาสถาบันหลักของชาติยอมไม่ได้

                และยังปฏิเสธไม่ได้ว่า รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์กลับมาเป็นรัฐบาลได้อีกครั้งนั้น ไม่ใช่แค่มีประชาชนเลือกเข้ามา แต่ต้องมีกำลังภายในจากหลายส่วนออกแรงให้เกิดรัฐบาลชุดปัจจุบันขึ้นมาได้ ไม่ว่าจะเป็นกำแพงเมือง หรือลมใต้ปีก ที่ล้วนแล้วเป็นโครงสร้างอำนาจของชาติที่คงอยู่อย่างยาวนานที่สกัดกั้นไม่ให้ชาติไหลไปตามทฤษฎีการเมือง ที่ควบคุมความคิดและองค์ความรู้ของโลกตามแนวเสรีนิยมประชาธิปไตยตามตำรา

                พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีที่ได้ชื่อว่ามีความจงรักภักดี มองความเป็นไปในประเทศด้วยแว่นของความมั่นคง ไม่ต่างจากทหารที่จบจากสถาบันการศึกษาด้านการทหาร ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนเตรียมทหาร หรือโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ที่มองเรื่อง สถาบันหลักของชาติ ที่ต้องดำรงรักษาไว้ยิ่งชีวิต

                การก่อตัวของพรรคอนาคตใหม่ ที่คนรุ่นใหม่ ซื้อไอเดีย คนทั่วไปที่เบื่อของเก่า "อยากลองของใหม่" ทำให้พรรคอนาคตใหม่โตเร็วและได้รับความนิยมทางการเมือง นำเสนอนโยบายที่รื้อถอนแนวความคิดเดิมที่ฝังราก กล้าโจมตีรัฐบาลและกองทัพอย่างทิ่มตรง ส่งผลให้ปฏิกิริยาจากผู้นำกองทัพ หรือรัฐบาล ออกไปในทิศทางที่กังวลใจ

                จากซ้ายจัดดัดจริต เลยไปบทความเชิงวิทยานิพนธ์ที่พูดถึงพรรคการเมืองที่ใช้โซเชียลมีเดียในการสร้างเฟกนิวส์ ที่ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ให้สัมภาษณ์กระทบชิ่งไปถึงนักการเมืองบางพรรค เลยไปถึงเอกสารโครงข่ายขบวนการบ่อนทำลายประเทศ ที่ พล.อ.ประยุทธ์นำไปที่ประชุมรัฐสภา และช่างภาพไปส่องมาเปิดเผย แม้ภายหลังจะชี้แจงว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับสถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับใครบางคนในพรรคการเมือง

                การเปิดเกมจี้ปมถวายสัตย์ฯ จึงไม่ใช่แค่การตรวจสอบ พล.อ.ประยุทธ์เท่านั้น แต่เป็นปฏิบัติการที่นับได้ว่ามุ่งหวังให้เกิดแรงสั่นสะเทือนมากกว่านั้น ถ้า พล.อ.ประยุทธ์เป็นผู้ที่กระทำผิดพลาดบกพร่องจริง ก็เป็นเรื่องเฉพาะตัวที่เป็นเหตุเป็นผลในการเรียกร้องให้แสดงความรับผิดชอบ แต่ถ้าไม่ใช่ และเป็นเรื่องที่มีการพูดถึงเรื่องระหว่างรัฐบาลกับพระมหากษัตริย์ พล.อ.ประยุทธ์ก็ต้องเป็นตัวประกัน ที่ต้องถูกตั้งคำถามเรื่องความรับผิดชอบอยู่ดี

                ยังไม่นับการรุกด้วยการเปิดประเด็นพุ่งตรงไปที่ "กองทัพ" ทั้งเรื่องของการใช้งบกลางไปซื้อยานเกราะล้อยางสไตรเกอร์เพื่อเข้าประจำการ ท่ามกลางสภาพปัญหาปากท้องของประชาชน และสถานการณ์น้ำท่วมที่ผู้คนกำลังลำบาก ลดความสำคัญของกำลังพลกองทัพในการออกไปช่วยเหลือประชาชน ใช้สื่อโซเชียลมีเดียตอกย้ำข้อมูลอาสาสมัครเอกชนในการทำงานอย่างหนัก ทั้งที่ทุกภาคส่วนต่างก็ช่วยประชาชนเหมือนกัน

                สงครามข้อมูลข่าวสารแสดงให้เห็นเค้าลางของการต่อสู้ของแนวคิดและอำนาจในการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาวิกฤติที่เกิดกับประชาชน มุ่งหวังเชิดชูคุณค่าของอีกฝ่าย และลดทอนความน่าเชื่อถือของอีกฝ่าย

                เป้าหมายที่พุ่งตรงมายังกองทัพ นอกจากการตรวจสอบความไม่ถูกต้องแล้ว ยังเป็นการทำให้หลังพิงของ พล.อ.ประยุทธ์ ในการยืนระยะบริหารราชการแผ่นดินสั่นคลอนไปด้วย กองทัพที่เปรียบเหมือนกำแพงในหลักการของกลไกรัฐ สนับสนุนรัฐบาล แต่ในความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำกองทัพอย่าง พล.อ.อภิรัชต์ และ พล.อ.ประยุทธ์นั้น ได้ถูกผนึกหลอมรวมกันเพื่อสถาบันสูงสุดของประเทศไปแล้วในขณะนี้

                ยังไม่นับหมากต่อไปที่พรรคอนาคตใหม่เตรียมร่างพระราชบัญญัติรับราชการทหาร เข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ ซึ่งกฎหมายฉบับนี้จะกลายเป็นปมประเด็นใหม่ ที่จะมีหลายฝ่ายออกมาวิพากษ์วิจารณ์ และขณะเดียวกันยังเป็นเครื่องมือให้คนรุ่นใหม่ออกมาแสดงพลังสนับสนุน      

                "ร่าง พ.ร.บ.รับราชการทหารใหม่ เราใช้รับสมัครตั้งแต่อายุ 18 ปีเหมือนสหรัฐ ทำงานได้จนถึงผู้บังคับกองพันอายุไม่เกิน 46 ปีบริบูรณ์ ยกเลิก รด. เพิ่มความเข้มข้นการฝึกให้เป็นมาตรฐานเดียว ไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน เรียนรู้ประชาธิปไตยและมีมาตรฐานการทำงานเหมือนประเทศที่ใช้แบบธรรมเนียมทหารแบบสากล เพิ่มสวัสดิการ เงินเดือน ทุนการศึกษาและทุนประกอบอาชีพเมื่อปลดให้อย่างพอเพียงที่จะยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับทหารต่างประเทศ โดยเฉพาะตะวันตกได้"

                พล.ท.พงศกร รอดชมภู รองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) โพสต์ผ่านเฟชบุ๊กถึงรายละเอียดร่างพระราชบัญญัติรับราชการทหารใหม่ พร้อมด้วยเนื้อหา และทิ้งท้ายว่า "เราไม่อาจเขียนสิ่งที่ปรารถนาลงไปได้หมด ต้องรอปรับอีกครั้งหากได้เป็นรัฐบาล"

                ยิ่งเป็นการทิ่มตรงเข้าใจกลางฐานเยาวชนที่กองทัพมุ่งหวัง ดึงกลับมาสู่กรอบแนวคิดเดิม ด้วยการปรับ ผ่อนคลาย การปฏิบัติที่เยาวชน ไม่เก็ท  ด้วยการให้นักศึกษาวิชาทหารสามารถตัดผมรองทรงได้ การลดการฝึกวิชาทหารภาคสนามน้อยลง แต่ไปปรับแนวทางการเรียนการสอนให้ทันสมัย ปลูกฝังแนวคิดประชาธิปไตยในเชิงประวัติศาสตร์ที่สถาบันพระมหากษัตริย์มีบทบาทในการปกป้องรักษาชาติมาโดยตลอด ซึ่งจะเห็นได้ว่าเป็นภาพคนละด้านกับแนวทางของพรรคอนาคตใหม่

                การรุกไล่ทุบกำแพงจับ พล.อ.ประยุทธ์เป็นตัวประกัน จึงเป็นปรากฏการณ์ที่ฝ่ายอนุรักษนิยมมองอย่างตั้งคำถาม พร้อมเสียงที่เล็ดลอดออกมาว่าควรจะปล่อยต่อไปหรือ?

                การทิ้งประโยคของนายปิยบุตรว่า "ไม่แยแสรัฐธรรมนูญ" ถือเป็นครั้งแรกที่แตะไปถึงหัวใจแห่งอำนาจ ด้วยการอภิปรายกลางสภาฯ และนั่นก็น่าสนใจว่า  อภินิหารแห่งกฎหมาย หรือแม้กระทั่งศาลเตี้ย จะรุกไล่ รุนแรงเอาคืนแค่ไหน!!

      ทีมข่าวการเมือง 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"