แก้มาตรา1ถือว่าผิด ป้อมเตือน‘ชลิตา’/ทรงกลดจี้มก.พักงาน‘พี่ศรี’พ่วงฝ่ายค้านกบฎ


เพิ่มเพื่อน    

 “บิ๊กตู่” ปลุกคนไทยรักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ย้ำต้องมีกฎหมายปกป้องสถาบัน “ลุงป้อม” ชี้แก้ไขรัฐธรรมนูญต้องทำตามขั้นตอน วิษณุพูดติดตลกเดี๋ยวแจกธงให้ถือเหมือนกินเจกันเลย “ประวิตร” บอกชัดๆ แก้มาตรา 1 ถือว่าผิด! ผู้กองปูเค็มบุก มก.ยื่นหนังสือให้พักงาน “ชลิตา” พร้อมจ่อแจ้งความ   ศรีสุวรรณเตรียมร้องอัยการสูงสุด จัดหนักพ่วง 7 พรรคฝ่ายค้านหมิ่นเหม่ข้อหากบฏ

เมื่อวันพฤหัสบดี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานพิธีมอบนโยบายแก่สภาเกษตรกรแห่งชาติ โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า อยากเน้นเรื่องความเป็นชาติ รู้กันหรือไม่อะไรคือชาติ เราได้ยินกันมานาน ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ชาติคือสิ่งที่ยึดพวกเราทุกคนจนกระทั่งเป็นประเทศถึงทุกวันนี้คือชาติไทย ไม่ว่าจะเชื้อชาติไหน แต่เราก็คือชาติไทย คำว่าชาติรวมทั้งคนและแผ่นดิน ผืนน้ำ อากาศ ดังนั้นดินแดนแหลมทองสุวรรณภูมิแห่งนี้เป็นดินแดนของชนชาติไทย ดังนั้นต้องรักกัน ต้องไม่ทิ้งกัน ต้องไม่เอาเปรียบกัน เมื่อเรามีความเป็นชาติที่เข้มแข็งแล้วก็จะกลับมาสู่สังคม ครอบครัว ความรักชาติ ความหวงแหน ความรักแผ่นดิน เริ่มจากที่ตัวเราเอง ถ้าทุกคนมุ่งไปสู่ตรงนี้มันก็คือความเป็นชาติ 
        พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า นอกจากรักชาติแล้ว เรายังต้องมีศาสนา ดินแดนแห่งนี้เราจะนับถือศาสนาอะไรก็ได้ โดยมีศาสนาพุทธเป็นหลัก ขอเพียงให้ยึดมั่นไว้ในใจ อย่างน้อยคือเรื่องเบญจศีล เบญจธรรม ไม่จำเป็นต้องทำให้ได้ทั้ง 227 ข้อ ขึ้นอยู่ว่าแต่ละคนจะถือศีล 5  ศีล 8 แต่เบญจศีลเบญจธรรมทั้ง 5  ข้อนี้ จะทำให้สังคมไม่ปั่นป่วนเช่นทุกวันนี้ ดีที่สุดก็ขอให้ใจเราเข้มแข็ง รวมทั้งยึดถือสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
"ด้านพระมหากษัตริย์ ผมทราบดีว่าทุกคนรู้อยู่แล้วที่มีกฎหมาย เพื่อไม่ให้ไปล่วงล้ำ เนื่องจากพระมหากษัตริย์ป้องกันตนเองไม่ได้ จึงต้องมีกฎหมายนี้เกิดขึ้น หากไม่ทำผิดกฎหมาย ก็จะไม่เกิดเรื่องอะไร นี่คือเรื่องที่หลายคนพูดถึง ซึ่งผมไม่ทราบว่าผู้พูดเป็นผู้หวังดีหรือไม่หวังดี ไม่รู้แต่พยายามจะพูด ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายกับประเทศเรา และประเทศมีพระมหากษัตริย์มาตั้ง 400 ปีแล้ว และสิ่งที่สำคัญนอกจากชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ คือประชาชน ผมมีหน้าที่มากขึ้นที่ต้องดูแลคน 70 กว่าล้านคนที่มีความคิดแตกต่างกันไป แต่หากมีผู้นำและประชาชนเข้มแข็ง ประเทศไทยอีกไม่กี่ปีรับรองว่าจะดีกว่านี้ ซึ่งจะต้องศรัทธา อย่าไปสิ้นศรัทธา การทำอะไรก็ตามถ้ามีศรัทธา สำเร็จทุกอย่าง"
     ทั้งนี้ ช่วงหนึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ได้ชี้ไปยังนายประพัฒน์ ปัญญาชาติรัตน์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ ที่เคยเป็นผู้เข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองของนักศึกษาในเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 และได้รับฉายว่าไอ้ก้านยาว ที่นั่งร่วมรับฟังอยู่ว่า “พี่ประพัฒน์ทำให้ผมออกนอกโรงเรียนไม่ได้ เพราะเขาประท้วงกันอยู่บนถนน จำได้ว่าถือไม้ก้านยาวอยู่ แล้วมาเจอกันวันนี้ ก็แหย่กันมาตั้งนาน ตั้งแต่เป็นหัวหน้า คสช.ท่านก็คงไม่โกรธหรอก เพราะชื่อเดียวกับพ่อผม ตอนนั้นท่านถือไม้ก้านยาว ผมก็เรียนนายร้อยปีสาม จะได้กลับบ้านก็ไม่ได้กลับ เพราะอีตาคนนี้แหละ ผมลืมหมดแล้ว แต่อย่าให้เกิดขึ้นอีกเลย ทุกอย่างไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น เราผ่านวันเวลากันมาเยอะพอสมควร 60-70 ปี เราเห็นประเทศไทยเป็นอย่างนี้มานานแล้ว เราต้องช่วยกันเปลี่ยนประเทศไทย ให้เป็นประเทศที่มีความสงบสุข มั่นคง สันติ และต้องช่วยกันพัฒนา อย่าไปเสียเวลากับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง กับสิ่งที่มีคนพยายามทำให้ไม่เกิดประโยชน์กับเรา ต้องแก้ปัญหาที่ใกล้ตัว ปัญหาที่ไกลตัวก็เป็นไปตามกฎหมาย ไม่ใช่ปัดไปปัดมา แล้วก็โกรธ ทำให้ไม่ได้แก้ปัญหาตัวเอง นี่คือสิ่งที่เป็นอันตราย” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
ย้ำแก้ รธน.ตามขั้นตอน
         นายกฯ กล่าวอีกว่า วันนี้ต่างประเทศก็ต้อนรับหมด อธิบายไปหลายครั้ง ตั้งแต่เป็นหัวหน้า คสช. วันนี้ก็ยินดีกว่าเดิม เพราะเราเป็นประชาธิปไตย เลือกตั้งแล้ว เขาก็แถลงการณ์ยอมรับเราแล้ว จะเอาอะไรกันอีก ฉะนั้นเรื่องการเมืองก็ว่ากันไป ก็หวังที่ประชาชนถ้ารักกันแบบนี้ ประเทศก็เดินหน้าไปได้ สิ่งที่รัก ไม่ใช่ให้มารักตนเอง แต่ขอให้รักตัวเอง รักครอบครัว รักสังคม รักประเทศชาติ นี่คือสิ่งที่หวัง ก่อนตายขอทำหน้าที่นี้เท่านั้นเอง นั่นคือหัวใจของตนเอง หัวใจของอดีตชายชาติทหาร สี่สิบปีในชีวิตข้าราชการทหาร ไม่เคยลืมความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และวันนี้ก็มาเป็นนายกฯ ก็มีคำว่าประชาชนเพิ่มเข้ามาด้วย เราจะต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” นายกฯ กล่าว
    วันเดียวกันยังคงมีความต่อเนื่องในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ กล่าวถึงกรณีฝ่ายค้านจะให้นายกฯ เป็นผู้นำธงเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่าจะรับได้อย่างไร เพราะไม่มีในกฎหมาย ทุกอย่างดำเนินการตามขั้นตอน ขณะนี้ตั้งคณะกรรมการแล้ว ส่วนกรณีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) มองว่าท่าทีรัฐบาลเหมือนไม่ต้องการแก้รัฐธรรมนูญนั้น จะใช้คำว่าดูเหมือนไม่ได้ เพราะยังไม่รู้ ทุกอย่างต้องดำเนินการตามขั้นตอน
         เมื่อถามว่ารัฐบาลมีความจริงใจแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า จะไม่มีได้อย่างไร เมื่อเป็นเรื่องที่อยู่ในนโยบายเร่งด่วน 12 ข้อของรัฐบาล ซึ่งต้องดำเนินการตามนั้น และมีคณะกรรมาธิการดูอยู่ ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ แล้วจะแก้ไขได้เลย แต่ยังไม่ทราบว่าเรื่องแก้รัฐธรรมนูญจะเข้าทันเปิดสมัยประชุมรัฐสภาหรือไม่
         ด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ปฏิเสธไม่ขอออกความเห็น และเมื่อถามว่าคนที่ถือธงนำในเรื่องนี้ควรเป็นรัฐบาลหรือสภา นายวิษณุตอบติดตลกว่า ไม่ทราบ แจกกันคนละธง ช่วยกันถือ ทำอย่างกับแห่เจ้ากินเจ
      นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รมต.ประจำสำนักนายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติพัฒนา (ชพน.) ในฐานะที่ปรึกษาคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (วิปรัฐบาล) กล่าวว่า ในส่วนของพรรค หากเสียงส่วนใหญ่เอาอย่างไรก็เอาอย่างนั้น แต่ในพรรคร่วมรัฐบาลยังไม่มีการหารือกัน เพียงแต่มีการพูดคุยกันเป็นการภายใน และจะเป็นอย่างไรยังไม่รู้ รวมถึงวิปรัฐบาลก็ยังไม่มีการหารือกัน 
    นายเทพไท เสนพงษ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงกรณีที่นายธนาธรตั้งคำถามมายัง ปชป.ถึงท่าทีการแก้รัฐธรรมนูญ หลัง พล.อ.ประยุทธ์ไม่ตอบรับเรื่องนี้ว่า พรรคมีจุดยืนและแนวทางในเรื่องของรัฐธรรมนูญชัดเจนตั้งแต่ต้น คือไม่ยอมรับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เพราะไม่มีความเป็นประชาธิปไตยเพียงพอ รวมทั้งยังมีจุดอ่อนที่ต้องแก้ไขอีกหลายจุด ซึ่งในวันที่พรรคเข้าร่วมรัฐบาลก็ได้ตั้งเงื่อนไขการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็น 1 ใน 3 เงื่อนไข ซึ่งรัฐบาลก็ยอมรับ และพรรคก็ได้ผลักดันจนเข้าไปอยู่ในนโยบายของรัฐบาลให้เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ 12 และพรรคยังได้เคลื่อนไหว โดยเสนอตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาปัญหาและแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ 
“กรณี พล.อ.ประยุทธ์ออกมาแสดงท่าทีถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็ต้องแยกว่าท่านอยู่ในฝ่ายบริหาร แต่สิ่งที่พรรคกำลังผลักดันในสภาคือฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งต้องยอมรับว่าท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ในวันนี้ที่ไม่อยากให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต้องเข้าใจท่านว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ร่างโดยคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ซึ่งมาจาก คสช.ที่ท่านเป็นประธาน หากท่านจะออกมาเป็นผู้นำแก้ไขรัฐธรรมนูญของตัวเอง ก็เหมือนกับเป็นการเขียนด้วยมือลบด้วยเท้า ผมจึงไม่ติดใจท่าทีของท่าน เพราะเข้าใจในบทบาทของท่าน เชื่อว่าในอนาคตคงมีข้อสรุป และวันนี้ยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้แสดงความจริงใจต่อเรื่องรัฐธรรมนูญชัดเจน ดังนั้นสิ่งที่คุณธนาธรกังวล ขอชี้แจงว่าไม่ต้องกังวล เพราะ ปชป.เป็นพรรคการเมืองมาได้ 73 ปี มีจุดยืน อุดมการณ์ ประชาธิปไตย และรักษาคำพูด อยากให้ไปห่วงพรรคอนาคตใหม่มากกว่า เพราะจะรอดปีนี้หรือไม่ก็ไม่ทราบ" นายเทพไทกล่าว
จัดหนัก'ชลิตา'
ขณะเดียวกัน ยังมีความต่อเนื่องกรณี ดร.ชลิตา บัณฑุวงศ์ รองหัวหน้าภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แสดงความคิดเห็นให้แก้ไขมาตรา 1 เพื่อแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในเวทีสัญจรภาคใต้ที่จังหวัดปัตตานีของ 7 พรรคฝ่ายค้าน เมื่อวันที่ 28 ก.ย.2562 โดย พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ถ้าแก้กฎหมายแบบนี้ถือว่าผิด เพราะ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้คือประเทศไทย
    ส่วน ร.อ.ทรงกลด ชื่นชูผล หรือผู้กองปูเค็ม แกนนำกลุ่มการ์ดชาตินิยม ได้ยื่นหนังสือหนังสือถึงอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เรียกร้องให้ตั้งกรรมการสอบสวนกรณีวินัย ดร.ชลิตา โดยเห็นว่าเป็นการยุยง ปลุกปั่นประชาชน แยกดินแดน ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 1 โดยหนังสือดังกล่าวได้เสนอให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยนางชลิตาอย่างเฉียบขาด ให้พ้นสภาพการเป็นบุคลากรทางการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่บุคลากรอื่น และในระหว่างสอบสวน ขอให้ระงับการปฏิบัติหน้าที่บริหารและการสอน, ระงับการประเมินผลการปฏิบัติงาน ความดีความชอบ และเงินพิเศษต่างๆ ไว้เป็นการชั่วคราว รวมทั้งให้แจ้งผลการดำเนินการเรื่องนี้แก่สื่อสารมวลชนทราบเป็นระยะ 
“กระผมจะกล่าวโทษนางชลิตาต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจที่เกี่ยวข้องอีกทางหนึ่งด้วย ในการนี้ กระผมยินดีเดินทางมาให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการที่ท่านตั้งขึ้นทุกเวลา” ร.อ.ทรงกลดกล่าว
        นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย กล่าวว่า การกระทำของ ดร.ชลิตา และ 7 พรรคฝ่ายค้าน ในการรณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 มาตรา 1 อาจเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 ที่บัญญัติว่า “ผู้ใดใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อแบ่งแยกราชอาณาจักรหรือยึดอำนาจปกครองในส่วนหนึ่งส่วนใดแห่งราชอาณาจักร ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นกบฏ ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต” และมาตรา 116 ยังบัญญัติต่อไปอีกว่า “ผู้ใดกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือหรือวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต (2) เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร (3) เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี”
         “การกระทำของ ดร.ชลิตา และ 7 พรรคฝ่ายค้านในการรณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 มาตรา 1 จึงสุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดรัฐธรรมนูญและละเมิดกฎหมายที่สำคัญของชาติ ซึ่งอาจหมายถึงการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขด้วยในที่สุด สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงมิอาจปล่อยให้มีการกระทำดังกล่าวต่อไปได้อีก เพราะอาจเป็นอันตรายและภัยต่อความมั่นคงของชาติ จึงจะนำความไปยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุด ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 49 เพื่อให้อัยการสูงสุดร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้ ดร.ชลิตา และ 7 พรรคฝ่ายค้านเลิกการกระทำดังกล่าวเสีย โดยจะเดินทางไปยื่นคำร้องในวันศุกร์ที่ 4 ต.ค.2562 เวลา 10.00 น. ณ สำนักงานอัยการสูงสุด”
วิษณุโยนถาม กกต.
    ขณะเดียวกันยังคงมีความคืบหน้าในการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 5 จังหวัดนครปฐม โดยนายวิษณุกล่าวถึงกรณีพรรค อนค.ไม่เห็นด้วยการกับจัดเลือกตั้งซ่อมในวันพุธที่ 23 ต.ค.ว่า การเลือกตั้งซ่อมไม่เหมือนกับการเลือกตั้ง ส.ส.ทั่วประเทศพร้อมกันที่ต้องอาศัยความสะดวกทั้งประเทศ ส่วนใหญ่จึงเป็นวันเสาร์-อาทิตย์ แต่การเลือกตั้งซ่อมต้องทำภายในกรอบเวลา 45 วัน หลังจากตำแหน่งว่างลง จะไปรอวันเสาร์-อาทิตย์ เดี๋ยวจะเร็วหรือช้าไป จึงต้องไปเจาะเอาวันใดวันหนึ่งในระหว่างสัปดาห์ ซึ่งในอดีตเคยมีในลักษณะแบบนี้แล้ว ส่วนที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดให้เป็นวันที่ 23 ต.ค.นั้น ไม่ทราบ เป็นเรื่องของ กกต.
    พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. กล่าวถึงความคืบหน้าในเขตเลือกตั้งที่ 5 จ.นครปฐม ว่ามีการเตรียมความพร้อมไว้หมดแล้ว รวมทั้งได้ถอดบทเรียนการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเพื่อไม่ให้เกิดข้อบกพร่อง ทางกลุ่มงานภารกิจเลือกตั้ง สำนักงาน กกต.จะจัดชุดลงพื้นที่ให้ความรู้แก่กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งโดยละเอียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการลงคะแนนหน้าหน่วย เพราะที่ผ่านมามีบางจุดที่ตัวเลขไม่ตรงกัน อาทิ จำนวนผู้มาใช้สิทธิกับจำนวนบัตรไม่ตรงกัน ซึ่งเราก็ต้องกำชับกรรมการประจำหน่วยเกี่ยวกับกระบวนการการแจกบัตร รวมทั้งดูว่าผู้มาใช้สิทธิหย่อนบัตรเลือกตั้งลงในหีบหรือไม่ เป็นต้น
    “สิ่งที่เป็นห่วงในการเลือกตั้งครั้งนี้ อาจเกิดความรุนแรงในการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ซึ่ง กกต.ก็ได้มีการแต่งตั้งชุดสืบสวนหาข่าวลงในพื้นที่แล้ว” พ.ต.อ.จรุงวิทย์กล่าว
    สำนักงานประชาสัมพันธ์ สำนักงาน กกต. ยังได้เผยแพร่เอกสารข่าวว่า สำนักงาน กกต.ประจำ จ.นครปฐม ได้มีหนังสือเมื่อวันที่ 1 ต.ค.2562 ประสานงานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อประสานขอความร่วมมือผู้ประกอบการ หรือนายจ้างของสถานประกอบการที่ตั้งอยู่ในเขตเลือกตั้งที่ 5 ให้ความสะดวก และอนุญาตให้ผู้ใช้แรงงานหรือลูกจ้างซึ่งเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ไปใช้สิทธิเลือกตั้งตามกฎหมายแล้ว
ด้าน นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล, น.ส.วรรณวิภา ไม้สน และนายทวีศักดิ์ ทักษิณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ เข้ายื่นหนังสือต่อ กกต. เพื่อเรียกร้องมาตรการอำนวยความสะดวกให้ประชาชนในการจัดการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 5 และขอให้ กกต.ชี้แจงกับประชาชนว่าเหตุใดถึงเลือกวันที่ 23 ต.ค.ในการใช้สิทธิ์
ส่วนที่สำนักงาน กกต. นายวิทยา แก้วภราดัย อดีตผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 นครศรีธรรมราช เดินทางมายื่นหนังสือถึงเลขาธิการ กกต. เพื่อขอทราบความคืบหน้าการพิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้ง ส.ส.เขต 2 นครศรีธรรมราช โดยนายวิทยากล่าวว่า เมื่อ 4 เดือนที่ผ่านมา ได้มายื่นร้องคัดค้านการเลือกตั้งเขต 2 นครศรีธรรมราชกับ กกต.กลางและ กกต.จังหวัด โดย กกต.จังหวัดแจ้งว่าได้ส่งสำนวนมายัง กกต.กลางแล้ว แต่จนขณะนี้ กกต.ไม่เคยแจ้งความคืบหน้าทางคดีว่าพิจารณาไปถึงขั้นไหนแล้ว จะยกคำร้อง หรือไม่ยกคำร้องก็ควรแจ้งให้ทราบ การทำงานของ กกต.ต้องโปร่งใส เท่าที่ตรวจสอบพบว่ามี 581 คำร้อง แต่ทั้งหมดไม่มีใครทราบข้อเท็จจริงของคำร้องต่างๆ ว่ามีผลการพิจารณาอย่างไร แม้กระทั่งสื่อมวลชนเองก็ยังไม่ทราบ 
“ขอให้ กกต.ตอบความชัดเจนภายใน 7 วัน ตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร หากไม่ดำเนินการตามที่ร้องขอ ก็จะใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างถึงที่สุด เพื่อให้ได้รับทราบข้อมูล พร้อมกันนี้เรียกร้องให้ผู้ที่ยื่นคำร้องต่างๆ กับ กกต.มาติดตามความคืบหน้าคำร้องด้วย แม้ กกต.จะเป็นองค์กรอิสระ แต่ต้องตรวจสอบได้” นายวิทยาระบุ.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"