เข้มประชุม'สุดยอดอาเซียน' ขึงแก๊งเขย่า'รัฐบาลบิ๊กตู่'


เพิ่มเพื่อน    

        เหตุการณ์เมื่อวันที่ 11 เม.ย.2552 ที่โรงแรมรอยัลคลิฟบีช พัทยา การจัดประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนกับคู่เจรจา (อาเซียนซัมมิต) รัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ได้ปิดฉากด้วยภาพความร่วมมือที่สวยงาม เหตุเพราะการประท้วงของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่เปิดยุทธวิธี “ดาวกระจาย” จากเวทีกลางที่ถนนราชดำเนิน

                กลุ่มคนเสื้อแดงเพิ่มจำนวนมากกว่า 2,000 คน บุกเข้าไปในอาคารพีช ที่โรงแรมรอยัลคลิฟบีชรีสอร์ท ซึ่งเป็นศูนย์ข่าวของที่ประชุมอาเซียน มีเหตุทุบกระจกโรงแรมแตก และตามหาตัวนายอภิสิทธิ์ นายกฯ ขณะนั้น ระหว่างนั้นเสียงโห่ร้องดัง โบกไม้โบกมือ  ตะโกน ชูป้ายระหว่างเข้าในโรงแรม จนเหล่าบรรดา “วีไอพี” จากหลายประเทศ “กระเจิง”

                11 ก.ย.ที่ผ่านมา ศาลจังหวัดพัทยาอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ให้จำคุกนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง และพวกรวม 12 คน เป็นเวลา 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา พร้อมให้ออกหมายจับจำเลยทั้งหมดที่ได้รับการลงโทษแต่ไม่มาฟังคำพิพากษาวันนี้

                ถือเป็นอีกเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์การเมือง ที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศ ในการจัดประชุมระดับนานาชาติอยู่ไม่น้อย จนทำให้รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ต้องทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมนานาชาติในปีนี้ ต้องเข้มเรื่องมาตรการรักษาความปลอดภัย โดยในปีนี้เหลืออีก 2 เวทีคือ การประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 35 ที่ศูนย์การประชุมอิมแพ็ค  เมืองทองธานี ช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน และการประชุม รมว.กลาโหมอาเซียนในช่วงกลางเดือน พ.ย. ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จัดเตรียมความพร้อมมาตรการรักษาความปลอดภัย และอารักขาผู้นำอย่างเต็มที่

                โดยการประชุมคณะอนุกรรมการด้านการรักษาความปลอดภัยและการจราจรการประชุมสุดยอดอาเซียน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานอนุกรรมการฯ ระบุว่า มั่นใจในมาตรการรักษาความปลอดภัย และไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง และเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ด้านการข่าวมีการเคลื่อนไหวของกลุ่มก่อความไม่สงบเพื่อดิสเครดิตรัฐบาลหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า “ไม่มี"

                พล.อ.ประวิตรได้กำชับหน่วยงานด้านการข่าวเกาะติดทุกเป้าหมายที่อาจเป็นปัญหา และให้พิสูจน์ทราบด้วยความรอบคอบรัดกุม ไม่ประมาท เน้นการทำงานร่วมกับเครือข่ายเฝ้าระวัง เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของผู้นำทุกประเทศ พร้อมทั้งย้ำขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นเจ้าภาพหลัก วางแผนจัดการดูแลรักษาความปลอดภัยร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงในทุกพื้นที่ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทั้งมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกันและแก้ปัญหา โดยให้สำรวจความพร้อมของกำลังพล ยานพาหนะ และเครื่องมือทุกชนิด และให้มีการซักซ้อมแผนการปฏิบัติและพร้อมเผชิญเหตุในทุกสถานการณ์ โดยให้พัฒนาแผนอย่างต่อเนื่อง ให้มีความสมบูรณ์ เน้นประสิทธิภาพและความเข้าใจร่วมกัน ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามกฎหมายและหลักสากล เพื่อภาพลักษณ์ ความเชื่อมั่น และการยอมรับร่วมกัน

                สำหรับการบริหารจัดการและการอำนวยความสะดวกการจราจร ขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ความสำคัญกับการวางแผนการเดินทางของผู้เข้าร่วมประชุม และการดูแลทางการแพทย์ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยให้อำนวยความสะดวกการสัญจรให้กระทบกับประชาชนน้อยที่สุด พร้อมทั้งต้องสร้างการรับรู้และความเข้าใจกับประชาชน ร่วมมือกันเป็นเจ้าภาพที่ดี แม้วันดังกล่าวจะเป็นวันหยุดราชการก็ตาม นอกจากนั้น ครม.ยังมีมติให้วันที่ 4-5 พ.ย.นี้ เป็นวันหยุดราชการ ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและ นนทบุรี เพื่อความสะดวกในมาตรการด้านการจราจร และการอารักขาผู้นำประเทศต่างๆ ทั้งนี้ เพื่อให้การทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่เป็นไปอย่างราบรื่น

                ที่สำคัญ รัฐบาลได้สั่งการให้กระทรวง ทบวง กรมที่เกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้าน และกลุ่มมวลชนที่เคลื่อนไหวเดินขบวนประท้วงในช่วงเวลาดังกล่าว นำปัญหาไปแก้ไขอย่างเร่งด่วน อย่างกรณีล่าสุดของการชุมนุมของ “สมัชชาคนจน” ที่รัฐยอมลงนามในบันทึกความเข้าใจที่ระบุเรื่องข้อพิจารณาการยกเลิกสร้าง 2 เขื่อนยักษ์ ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมสลายตัวและเดินทางกลับภูมิลำเนา เพื่อคอยดูความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาที่บ้านของตนเอง ลด “หัวเชื้อ” ที่จะนำไปสู่การชุมนุมต่อเนื่องไปถึงวันประชุม โดยมีการเมืองเข้ามาผสมโรง

                ไม่นับความเคลื่อนไหวอื่นๆ ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะการข่าวที่พบการขยับตัวของ 40 อาร์เคเค หรือกลุ่มปฏิบัติการของ “บีอาร์เอ็น” ที่แม้ยังไม่พบว่าแผนการออกมาปฏิบัติการนอกพื้นที่ แต่ก็ประมาทไม่ได้ เพราะหลังจากเหตุการณ์ระเบิดหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหลายจุดในกรุงเทพมหานคร เมื่อเดือนสิงหาคมเงียบไป แต่ยังมี “เงื่อนปม” บางประการที่ฝ่ายความมั่นคงยังคงเกาะติด

                แม้กระทั่ง “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ที่เดี่ยวไมโครโฟน ในห้องประชุมกิตติขจร กองบัญชาการกองทัพบก ที่ประกาศว่า “ไม่ให้เรื่องเงียบ” และคงจับตาดู “มาสเตอร์มายด์” ที่ไปวางแผนนอกประเทศ และจัดส่งคนเข้ามาปฏิบัติการเพื่อหวังผลทางการเมืองและดิสเครดิตรัฐบาล ซึ่งการเฝ้าระวังบริเวณชายแดนในพื้นที่จังหวัดขายแดนภาคใต้จึงมีความเข้มงวด รวมไปถึงการเข้าไปสำรวจพื้นที่พักอาศัยของเยาวชนมุสลิมในสถาบันอุดมศึกษาย่านรามคำแหง รวมถึงการจัดความพร้อมของกล้องวงจรปิดให้ใช้การได้ 100 เปอร์เซ็นต์

                การเตรียมความพร้อมการประชุมครั้งนี้ จึงมีผลต่อความเชื่อมั่นของประเทศในสายตาของนานาชาติค่อนข้างมาก แม้ไทยจะไม่มีปมขัดแย้งระหว่างประเทศที่สุ่มเสี่ยงต่อปัญหาก่อการร้าย แต่การก่อกวน-ป่วนสถานการณ์ให้เกิดความไม่ราบรื่นนั้น ก็ไม่อาจมองข้ามได้!!!

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"