จาก “อีสลิ่ม” สู่ “อีสนิม”


เพิ่มเพื่อน    

 

ในบรรยากาศของความแตกแยกของคนไทย บางคนก็ใช้วาทกรรมว่าคนไทยกำลังเล่นกีฬาสี เพราะตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา เราก็มีสีเหลืองกับสีแดง โดยที่กลุ่มพันธมิตรซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่เอาทักษิณ มองว่าทักษิณเป็นนักการเมืองที่ไม่มีจริยธรรม บริหารประเทศไร้หลักธรรมาภิบาล กลุ่มนี้เป็นสีเหลืองซึ่งเป็นสีประจำวันจันทร์ เพราะในหลวงรัชกาลที่ 9 พระองค์ท่านประสูติวันจันทร์ เป็นการแสดงจุดยืน (positioning) ของกลุ่มว่าเป็นผู้ที่จงรักภักดีต่อสถาบันสูงสุดของประเทศ ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งนั้นเป็นกลุ่มที่นิยมชมชอบทักษิณ จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม จะใช้สีแดง กลุ่มนี้ถูกวางจุดยืนโดยกลุ่มเสื้อเหลืองว่าไม่จงรักภักดีต่อสถาบันสูงสุดของประเทศ ทำให้เกิดวาทกรรมว่า “ล้มเจ้า” แม้ว่าคนในกลุ่มสีแดงจะปฏิเสธจุดยืนดังกล่าวนี้ แต่ก็มีสมาชิกของคนกลุ่มนี้หลายคนมีพฤติกรรมจาบจ้วงล่วงละเมิดเบื้องสูงจนมีความผิดตามมาตรา 112 แล้วต้องหนีคดีลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ และหลายคนก็ได้สัญชาติเป็นพลเมืองของประเทศที่พวกเขาหนีเข้าไปอยู่แล้ว

                ความขัดแย้งนี้ดำรงมาเป็นเวลานานมากกว่าทศวรรษแล้ว แม้จะมีการทำรัฐประหารถึง 2 ครั้ง และบรรดานายพลทั้งหลายที่ทำการปฏิวัติจะพยายามให้เกิดการปรองดอง ลดความแตกแยกของคนไทย แต่ก็ไม่อาจสำเร็จได้ นักกีฬาสีทั้งสองข้างต่างก็ยึดมั่นในแนวทางของตนเองอย่างไม่คิดที่จะประนีประนอมกัน เหมือนน้ำกับน้ำมันที่อย่างไรก็คงประสานเป็นเนื้อเดียวกันไม่ได้

                ต่อมานักกีฬาทั้งสองสีก็ยังมีการแบ่งประเภทกันภายในของแต่ละสี พวกสีแดงมีทั้งแดงอุดมการณ์ แดงล้มเจ้า แดงคอมมิวนิสต์หลงยุค แดงสู้แล้วรวย ต่างฝ่ายต่างก็มีแนวทางในการทำงานของตนเอง และในบางครั้งก็มีความขัดแย้งกันเองบ้าง แต่ก็ยังคงความเป็นแดงที่จงรักภักดีต่อทักษิณอย่างคงเส้นคงวา และทำงานด้านมวลชนอย่างเข้มแข็ง ทำให้พรรคการเมืองภายใต้ทักษิณชนะการเลือกตั้งทุกยุคทุกสมัยมาจนถึงยุคที่มีพรรคพลังประชารัฐที่หนุนพลเอกประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี พวกเขาจึงแพ้คะแนนรวมทั้งประเทศ แต่ก็ยังมีคะแนน ส.ส.เขตมีจำนวนมากที่สุดของประเทศ ที่ทำให้พวกเขาหลายคนแสดงอาการเมาหมัดของความพ่ายแพ้ จนไม่สามารถเป็น “ฝ่ายค้าน” ที่มีคุณภาพ แต่กลายเป็น “ฝ่ายแค้น” ที่ทำอะไรหลายๆ อย่างที่ไม่เข้าท่า พูดจาเลอะเทอะ จนทำให้หลายคนมองว่ารัฐบาลของพลเอกประยุทธ์แม้จะมีเสียงปริ่มน้ำ ทำท่าว่าน่าจะอยู่ได้ครบเทอมสี่ปี เพราะฝ่ายค้านที่กลายเป็นฝ่ายแค้นนั้นทำงานไม่มีคุณภาพ

                ไม่เพียงแต่ฝ่ายแดงเท่านั้นที่มีแดงหลายกลุ่มหลายประเภท ฝ่ายนักกีฬาสีเหลืองก็มีหลายกลุ่มเช่นกัน มีกลุ่มที่ไม่ชอบทักษิณและชื่นชมผู้นำของกลุ่มพันธมิตรเป็นอย่างมาก มีกลุ่มที่ไม่ชอบทักษิณ แต่ก็ไม่ได้ชื่นชมผู้นำของฝ่ายพันธมิตร มีแต่ความรู้สึกขอบคุณที่มาเปิดประเด็นและทำให้ประชาชนมองเห็นตัวตนของทักษิณ มีทั้งคนเสื้อเหลืองที่ชอบประชาธิปัตย์ และเสื้อเหลืองที่ไม่ชอบประชาธิปัตย์ มีทั้งเสื้อเหลืองที่เห็นด้วยกับทหารที่ออกมาทำรัฐประหาร และเสื้อเหลืองที่ไม่พอใจที่ทหารออกมาทำรัฐประหาร เพราะต้องการให้เป็นการปฏิวัติของประชาชนมากกว่า มีทั้งพันธมิตรที่เห็นด้วยกลับกลุ่ม กปปส. และพันธมิตรที่ไม่เห็นด้วยกับ กปปส. และไม่ชอบกำนันสุเทพ ดังนั้นกลุ่มนี้จึงถูกเรียกว่าเป็น “สลิ่ม” (ที่จริงควรเป็น “ซาหริ่ม” มากกว่า) แสดงว่ามีหลากสี  (ที่สวยและกินอร่อย) ดังนั้นคนที่ถูกเรียกว่า “สลิ่ม” จึงไม่รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจอะไรเลย เพราะไม่ว่าจะเป็นเสื้อเหลืองกลุ่มไหนก็เป็นพวกรักชาติรักแผ่นดิน เทิดทูนสถาบัน ยึดมั่นในหลักจริยธรรมและธรรมาภิบาล ไม่ยอมรับพวกโกงชาติโกงแผ่นดิน

                ณ บัดนี้ ความแตกแยกใหม่เกิดขึ้นในประเทศไทยแล้ว คราวนี้ไม่ใช่กีฬาสีที่มีคนพยายามสร้างความแตกแยกระหว่างไพร่กับอำมาตย์ คนรวยกับคนจน คนกรุงเทพฯ และคนต่างจังหวัด แต่เป็นความแตกแยกระหว่างคนต่างวัย มีคนพยายามทำให้คนสูงอายุเป็นคนล้าสมัย เป็นคนไม่ทันโลก เป็นไดโนเสาร์เต่าล้านปี ที่คนวัยรุ่นไม่พร้อมที่จะเชื่อฟังและเคารพนับถือ เพราะพวกเขาเป็นคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่ๆ การนำเสนอแนวความคิดดังกล่าวนี้ทำให้พรรคการเมืองที่เสนอ “ความใหม่” มาข่ม “ความเก่า” สามารถเอาชนะใจวัยรุ่นและคนทุกวัยที่เบื่อความเก่า เอาชนะการเลือกตั้งได้เกินความคาดหมายของหลายๆ คน

                แต่เวลาเพียงไม่นาน หลายคนได้เห็นพฤติกรรมของผู้นำบางคนในพรรคนี้ก็เกิดอาการรับไม่ได้ มองว่าความใหม่ที่ว่านั้นไม่ได้ดีจริงอย่างที่ผู้นำได้ใช้วาทกรรมวาดฝันเอาไว้ ทำให้ความนิยมของพรรคลดลง และสมาชิกในพรรคหลายคนออกมาตีแผ่ความจริงเกี่ยวกับการบริหารและการดำเนินงานของพรรค และมีคนที่ตีจากไป จนเกิดคำว่า “สนิม” ออกจากปากของหัวหน้าพรรค ที่พูดอย่างชัดเจนว่าคนที่อยู่คือ “เหล็ก” เนื้อแท้ ส่วนคนที่ออกไปเพราะคิดต่างจากผู้นำเพียงไม่กี่คนนั้นคือ “สนิม” คำคำนี้ดูจะแรงกว่าคำว่า “สลิ่ม” ที่เป็นเพียงการแยกสีเป็นคนละพวกเท่านั้น แต่คำว่า “เหล็ก” และ “สนิม” นั้นเป็นการยกตนข่มท่านอย่างเห็นได้ชัด เป็นคำพูดของคนที่หลงตัวเอง คิดว่าตนเองถูกทุกเรื่อง เก่งทุกอย่าง เหนือกว่าใครๆ ความหยิ่งยโสอวดดีเช่นนี้คงไม่อาจทำให้คนอื่นชื่นชอบได้ วาทะที่ใช้ทำให้คนพูดหมดเสน่ห์และในที่สุดก็จะได้รู้จักคำว่า “ขาลง” เพราะการตีจากไปของบรรดาคนที่ถูกเรียกว่า “สนิม”

                คนเราอย่าได้ทะนงตนว่าวิเศษกว่าใครๆ คนเราไม่ควรคิดว่าตัวเราคิดถูก ทำถูกทุกเรื่อง คนเราต้องหัดฟังคนอื่นให้เป็น และเปิดใจกว้างยอมรับความคิดเห็นของคนอื่นที่ต่างกว่าของตนให้ได้ อย่ามองว่าคนที่คิดต่างจากตนนั้นเป็นคนโง่หรือเป็นคนไม่ดี คนที่ยกตนข่มท่านนั้นไม่มีใครอยากคบหาสมาคมด้วย เพราะการคบกับคนเช่นนี้ย่อมทำให้เขารู้สึกต่ำต้อย มีใครอยากเป็นคนต่ำต้อย ดังนั้นเมื่ออยู่ใกล้กับคนที่บอกว่าเขาเองเป็น “เหล็ก” และเราที่คิดต่างจากเขาเป็น “สนิม” เราจะอยากอยู่ใกล้เขาไปเพื่ออะไร ดังนั้นอย่าแปลกใจเมื่อ “สนิม” ตีตัวออกห่างจาก “เหล็ก” ที่หมดมนต์ขลัง และไร้เสน่ห์อย่างสิ้นเชิง อาจจะต้องถึงเวลาที่ “เหล็ก” จะต้องทบทวนว่าตัวเองเป็น “เหล็ก” และคนอื่นเป็นสนิมจริงหรือเปล่า การที่ประสบความสำเร็จด้วยวาทกรรม แต่การกระทำไม่ได้เป็นอย่างวาทกรรม ความสำเร็จนั้นย่อมไม่ยั่งยืน และจะดับเร็วเหมือนไฟไหม้ฟาง กว่าจะรู้ตัวก็อาจจะสายไปแล้วก็ได้ พวกที่ถูกเรียกว่า “สลิ่ม” อาจจะไม่โกรธ เพราะ “สลิ่ม” กินอร่อยและสีสวย ดังนั้นคำว่า “สลิ่ม” จึงไม่มีนัยของการดูถูก แต่คนถูกเรียกว่า “สนิม” นั้นอาจจะโกรธ เพราะคำว่า “สนิม” ส่อนัยของการเป็นสิ่งที่ไม่ดีนะจ๊ะ. 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"