‘สนิม’ เกาะ ‘อนาคตใหม่’ ภายใน ‘หนัก’ ภายนอก ‘หน่วง’


เพิ่มเพื่อน    

                 อาจกล่าวไม่ได้เสียทีเดียวว่า ผลการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 5 นครปฐม สะท้อนว่า พรรคอนาคตใหม่ที่กลายเป็นเพียงอดีตแชมป์ในเขตนี้ไปแล้ว อยู่ในช่วง “ขาลง”

                นั่นเพราะการเลือกตั้งซ่อมในเขต 5 มีหลายตัวแปรมากกว่านั้น เริ่มตั้งแต่ความตื่นตัวของประชาชนที่มีต่อการเลือกตั้งใหญ่กับเลือกตั้งซ่อมนั้นแตกต่างกัน

                การเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ไม่มีการลงคะแนนล่วงหน้า ไม่มีการลงคะแนนนอกเขตเลือกตั้ง และไม่มีลงคะแนนนอกราชอาณาจักร ที่ก่อนหน้านี้มีการวิเคราะห์กันว่า พรรคอนาคตใหม่ได้คะแนนตรงนี้มาเยอะในการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562

                การหลบของนายระวัง เนตรโพธิ์แก้ว อดีตผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งคราวก่อนได้มากว่า 1.8 หมื่นคะแนน ที่เข้าไปลดช่องว่างระหว่างแชมป์เก่า และผู้ท้าชิงในครั้งนี้

                ขณะที่ภายหลังความพ่ายแพ้อย่างยับเยินของ เสี่ยเตี้ย-นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ จากพรรคชาติไทยพัฒนา ในครั้งก่อน ทำให้รู้จุดอ่อนของตัวเอง และมีข้อมูลว่า เขตไหนแพ้ เขตไหนชนะ และควรจะต้องเข้าไปแก้ไขอย่างไร

                 ที่สำคัญช่วงที่ผ่านมา แม้จะแพ้การเลือกตั้ง แต่ “เสี่ยเตี้ย” ไม่ได้ปล่อยพื้นที่ทิ้งร้าง แต่กลับลงพื้นที่หนักหน่วงกว่าเดิม โดยมีนายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และประธานยุทธศาสตร์พรรคชาติไทยพัฒนา คอยซัพพอร์ตหากต้องการความช่วยเหลือในเรื่องใด

                 กลับกัน นางจุมพิตา จันทรขจร อดีต ส.ส.นครปฐม พรรคอนาคตใหม่ ผู้ชนะในการเลือกตั้งครั้งก่อน ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่และโชว์ศักยภาพได้ เพราะต้องมาประสบอุบัติเหตุเสียก่อน ดังนั้นจึงเปิดโอกาสให้ “เสี่ยเตี้ย” ทำในสิ่งที่จับต้องได้มากกว่า

                 เหนือสิ่งอื่นใด ตระกูลสะสมทรัพย์ เป็นเจ้าของพื้นที่เก่ามาตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทย พลังประชาชน จนกระทั่งพรรคเพื่อไทย แม้ปัจจุบันจะอยู่กับฝ่ายรัฐบาล แต่ “เสี่ยเตี้ย” ก็ไม่ได้ขายความเป็นรัฐบาล หรือพรรคชาติไทยพัฒนา แต่ชูความเป็นคนของ จ.นครปฐม ที่รับใช้มาหลายสิบปี

                มันจึงไม่แปลกที่จะล้างตาได้สำเร็จ

                ขณะเดียวกัน การเลือกตั้งซ่อมเขต 5 จ.นครปฐม ยังเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่า “กระแส” เป็นเพียงสิ่งที่วูบวาบ ฉาบฉวย และไม่จีรัง การเลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคม 2562 นางจุมพิตาจากพรรคอนาคตใหม่ อาจชนะขาดลอยได้กว่า 3.4 หมื่นคะแนน ทิ้งห่างคู่แข่งอันดับ 2 เป็นหลักหมื่น แต่ไม่สามารถการันตีได้ว่า ครั้งต่อๆ ไปจะป้องกันแชมป์ได้

                 อย่าลืมว่า “ของใหม่” เป็นเพียงสิ่งที่คนอยากทดลอง และให้โอกาส แต่หากไม่เป็นไปดังที่หวังหรือแตกต่างจากเดิม สุดท้ายคนจะหันกลับไปที่ “ของเก่า”

                 อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งซ่อมเขต 5 จ.นครปฐม ยังสามารถสะท้อนปัญหาเรื่อง “แนวทาง” ของพรรคอนาคตใหม่ ที่เกิดขึ้นในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา

                โดยเฉพาะแนวทางการต่อสู้ ที่เป็นไปในลักษณะ “หักด้ามพร้าด้วยเข่า” อันสะท้อนจากการเคลื่อนไหวในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นคำพูดของ น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ ที่ด่ากราด “รัฐธรรมนูญเฮงซวยทุกมาตรา”

                การปล่อยให้ ดร.ชลิตา บัณฑุวงศ์ รองหัวหน้าภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แสดงความคิดเห็นต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ละเอียดอ่อน อย่างมาตรา 1 ของรัฐธรรมนูญ ในเวทีสัญจรภาคใต้ ที่ จ.ปัตตานี ของ 7 พรรคฝ่ายค้าน เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2562

                หรือกรณี 70 ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ ลงมติไม่เห็นชอบพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) โอนอัตรากำลังพลและงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ พ.ศ.2562

                 วิธีการดังกล่าวไม่ได้สร้างแค่ความไม่พอใจให้ขั้วตรงข้ามเท่านั้น หากแต่ “คนใน” บางคนก็รู้สึกอึดอัดกับภาวะที่กำลังเป็นอยู่

                 บรรดาแกนนำของพรรคอาจไม่ได้ยี่หระกับผลกระทบที่จะตามมากับการกระทำเหล่านี้ ทว่า มันไม่ใช่ทุกคนในพรรคอนาคตใหม่จะคิดแบบนั้น

                 หลายคนไม่ได้ต้องการแค่จะเป็น ส.ส.เพียงสมัยเดียว หากแต่ต้องการต่อยอดไปสู่การเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งแนวทางของบรรดาแกนนำกำลังเป็นอุปสรรคแก่พวกเขา

        ตั้งแต่ได้เข้าสภาผู้แทนราษฎร สิ่งที่พรรคอนาคตใหม่ดำเนินการต่างเป็นเรื่องโครงสร้างใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือการแก้ไขกฎหมายสำคัญๆ ในขณะที่ปัญหาเร่งด่วนสำคัญของประเทศในตอนนี้คือ ความเดือดร้อนของประชาชน

                 พรรคอนาคตใหม่ขวางทุกอย่างที่เป็นการดำเนินงานของรัฐบาล ทั้งที่บางโครงการไม่จำเป็นต้องถือ “ทิฐิ” เพราะเป็นประโยชน์กับประชาชน

                 แน่นอนว่า แกนนำและ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ไม่ได้รับผลกระทบ หากแต่ ส.ส.แบบแบ่งเขต ที่ต้องแบกความคาดหวังและกดดันจากประชาชนในพื้นที่ เป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบเต็มๆ

                มันจึงเกิดปรากฏการณ์ “แข็งข้อ” ของบรรดา ส.ส.บางส่วน ผ่านการลงมติสวนทางกับพรรค ทั้ง พ.ร.ก.โอนอัตรากำลังพลและงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ พ.ศ.2562 และร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563

                การที่ น.ส.กวินนาถ ตาคีย์ ส.ส.ชลบุรี พรรคอนาคตใหม่ โหวตสวนมติพรรคในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ เพราะต้องการงบประมาณลงพื้นที่

                และสิ่งที่ น.ส.ศรีนวล บุญลือ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคอนาคตใหม่ ไม่ร่วมลงมติแนวทางเดียวกับพรรคใน พ.ร.ก.โอนกำลังพล หนำซ้ำยังเดินทางเข้าไปพบนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข กันที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อขอความช่วยเหลือเรื่องโรงพยาบาลในพื้นที่ตัวเอง คือสิ่งตอกย้ำว่า แนวทางของพรรคอนาคตใหม่กำลังมีปัญหาจริงๆ

                แน่นอนว่า หากพรรคอนาคตใหม่ให้การดูแล ส.ส.อย่างทั่วถึง ให้ความสำคัญเรื่องการแก้ไขปัญหาประชาชนมากกว่าเล่นการเมือง มันจะไม่เกิดกรณีของ น.ส.กวินนาถ และ น.ส.ศรีนวล

                ซึ่งหากพรรคยังคงใช้วิธีการเดิมๆ และหวังพึ่ง “กระแส” ของแกนนำในพรรคเพียงอย่างเดียว ความพ่ายแพ้ที่เขต 5 นครปฐม อาจเป็นเพียง “โดมิโน” ชิ้นแรกที่ล้มลง

                 เพราะ “กระแส” แก้ไขปัญหาให้ประชาชนไม่ได้ ผนวกกับ ส.ส.แบบแบ่งเขตในพื้นที่อื่นๆ ไม่มีผลงาน ผลกระทบก็จะย้อนกลับมาที่ตัวพรรคอนาคตใหม่เอง

        พรรคอนาคตใหม่อาจโจมตีว่า รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บริหารประเทศไม่เป็น ในขณะที่พรรคอนาคตใหม่เองก็ไม่สามารถทำให้เห็นว่าเหนือกว่าจนเกิดการเปรียบเทียบได้

        ขณะเดียวกัน เรื่องการบริหารจัดการภายในของพรรคก็หนักหน่วงไม่ใช่น้อย เมื่อสิทธิ์เด็ดขาดอยู่ที่ตัว “ผู้บริหารพรรค” ย้อนแย้งกับหลักการในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งพรรคอนาคตใหม่พยายามขายจุดนี้มาตลอด

                 เพียงแค่มี ส.ส.ของพรรคไม่ทำตามมติพรรค แต่ผู้บริหารพรรคแสดงท่าทีประหนึ่งว่า เป็นการกระทำที่เลวร้าย ทั้งที่ตัวเองเกาะประชาธิปไตยแน่น

                 ขณะที่ปฏิกิริยาของผู้นำพรรคเมื่อเกิดเรื่อง นอกจากไม่พยายามดับไฟ แต่เหมือนยิ่งตอกลิ่มปัญหาที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะคำพูดของนายธนาธร

                “ยังมองไม่เห็นว่าเป็นขาลงอย่างไร แต่เราก็ไม่ได้ตกใจ อย่าลืมว่าพรรคอนาคตใหม่เข้ามาด้วยระยะเวลาที่สั้นขนาดนี้ ทำให้เราไม่สามารถคัดกรองบุคลากรที่มีความคิด ความฝันเหมือนกับพรรค ดังนั้นเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์คนที่จะเดินไปต่อกับพรรค ถือเป็นเหล็กเนื้อดีที่ไม่มีสนิม ต่อให้เขาซื้อพวกเราทั้งหมด แต่เขาชื้อปิยบุตรกับซื้อธนาธรไม่ได้ แม้ว่าจะเหลือแค่เราสองคน เราก็จะเดินหน้าต่อ และทำงานการเมืองเพื่อให้ได้สังคมตามที่เราฝันไว้”

                แม้จะฟังดูห้าวหาญและมั่นคง แต่ประโยคดังกล่าวก็เป็นดาบสองคมกับลูกพรรค โดยเฉพาะคนที่กำลังเป็นประเด็นอยู่ ซึ่งอาจรู้สึกว่า ตัวเองเป็นแกะดำ หรือไม่ใช่เหล็กเนื้อดี

                ไม่ใช่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว แต่ที่ผ่านมาการคลี่คลายปัญหาของผู้บริหารพรรคหลายครั้งหลายหนยิ่งทำให้สถานการณ์มันดูแย่ เช่น การยัดเยียดให้ลูกพรรคที่แหกมติเป็น “งูเห่าสีส้ม” ทั้งที่ไม่ได้มีการสอบถามที่มาที่ไปของปัญหา

                ไม่เว้นแม้กระทั่งกองเชียร์แฟนคลับที่พร้อมจะถล่มคนที่เห็นต่าง อย่างเช่นกรณีของ น.ส.กวินนาถ หรือ ส.ส.จันทบุรี ที่โหวตสวนกับพรรค

                ถึงขั้นตะเพิดออกจากพรรค ไม่ให้อยู่!

        “ปัญหาภายใน” ถือเป็นอุปสรรคมากกว่า “ปัญหาภายนอก” หากพรรคยังยึดแนวทางและวิธีเดิม มันก็จะเป็นตัวกัดกร่อนพรรค มากกว่าจะเติบโตไปไกลกว่านี้

                ต่อให้ภายภาคหน้าพรรคอนาคตใหม่ไม่ถูกยุบพรรคในคดีนายธนาธรถือครองหุ้นสื่อใน บริษัท วี-ลัค มีเดีย หรือคดีที่นายธนาธรปล่อยกู้พรรคอนาคตใหม่ จำนวน 191 ล้านบาท อนาคตของพรรคก็ไม่สู้ดี

                สนิมที่เกาะจากภายใน ผสมโรงกับปัญหาจากภายนอก จะพาพรรคไปสู่จุดถอยหลัง!!.

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"