หลวงพระบางค่อนข้างเหงา


เพิ่มเพื่อน    

(เหล่านาวาในมหานทีแม่โขง ณ หลวงพระบาง)

    บริเวณริมแม่น้ำโขง หรือที่คนลาวเรียก “แคมโขง” ช่วงที่ไหลผ่านตัวเมืองหลวงพระบางนั้นตลิ่งลาดชัน อยู่สูงจากแม่น้ำเป็นสิบเมตร ร้านอาหาร-เครื่องดื่มจึงนิยมทำเป็นลานระเบียง หรือ “เทอร์เรซ” ยื่นออกไป บางร้านมีบันไดสำหรับเดินลงไปใกล้ๆ น้ำอีกหน่อย ให้ลูกค้านั่งกินดื่ม มองแม่น้ำโขงเบื้องล่าง เรือน้อย-ใหญ่ลอยลำไปมา ภูเขาตั้งฉากกับสายน้ำอยู่ฝั่งตรงข้าม

(ริมถนนแคมโขง เมืองหลวงพระบาง อาคารสไตล์โคโลเนียลอยู่ร่วมกับบ้านไม้โบราณอย่างไม่ขัดเขินแปลกแยก)

    ริมแม่น้ำโขงไม่มีการสร้างตึก มีเพียงเพิงหรือร้านอาหารที่เปิดโล่งเพื่อไม่ให้บังทัศนียภาพ อาคารสไตล์โคโลเนียลฝรั่งเศสและอาคารไม้โบราณเรียงแถวอวดกันอยู่หลังถนนแคมโขง บ้างเป็นร้านค้า บ้างเป็นโรงแรม ร้านอาหาร และไม่น้อยที่โรงแรมและร้านอาหารจะเป็นเจ้าของพื้นที่ตรงข้ามอีกฝั่งของถนน บริกรอาจต้องถือจานอาหารข้ามถนนจากฝั่งตึกไปเสิร์ฟลูกค้าที่นั่งรอรับประทานอยู่บนลานระเบียงริมแม่น้ำ

(รถสามล้อไฟฟ้ามีใช้แล้วที่ สปป.ลาว)

    บนบาทวิถีมีโต๊ะตั้งขายทัวร์ล่องไปเที่ยวถ้ำติ่งที่ปากน้ำอู แพ็กเกจนั่งเรือดินเนอร์ คนขับสองแถวและจัมโบ้คอยชักชวนให้ไปเที่ยวน้ำตกตาดกวางสี แต่ไม่ว่าจะเสนอขายสิ่งใดในหลวงพระบางแห่งนี้ ผมไม่เห็นการตื๊อลูกค้าให้น่ารำคาญ แม้แต่ในตอนกลางคืนยามที่เราเดินไปบนถนนเปลี่ยวๆ แล้วมีคนกล่าวกับเราว่า “อ้ายๆ เที่ยวสาวบ่” ก็ไม่ได้เสนอขายเชิงรุกหรือคุกคามใดๆ แต่ถ้าเป็นเวียดนามเพื่อนบ้านของ สปป.ลาวนั้นอาจต้องถึงขั้นเดินตาม
    บ่ายๆ หลังคืนลอยกระทงหลวงพระบาง (แรม 1 ค่ำ เดือน 11) ผมเดินออกจากที่พักริมแม่น้ำคานไปยังริมแม่น้ำโขง แม่น้ำคนละสายอาจเข้าใจว่าน่าจะไกลกัน ในความจริงแล้วห่างออกไปเพียงกิโลเมตรนิดๆ เลือกได้ร้านชื่อ “วิวแคมโขง” ดูเงียบและวิวงาม เดินตรงไปถามวัยรุ่นชายหญิงในเคาน์เตอร์เล็กๆ ของร้าน มี “กาแฟสดบ่” แล้วก็หันไปเห็นเครื่องทำกาแฟขนาดจิ๋วแต่จะเดินออกก็น่าเกลียด สั่งเอสเปรซโซ่แล้วไปนั่งรอ กาแฟที่เสิร์ฟรสชาติกลับออกมาดีเกินคาด ตอนหลังผมหายแปลกใจเพราะร้านนี้เป็นร้านของที่พักในชื่อเดียวกันหลังถนนแคมโขง
    นอกจากผมแล้วในร้านไม่มีลูกค้าคนอื่นเลย เห็นแมวท้องแก่ตัวหนึ่งเดินมาเลียบๆ เคียงๆ จึงขอเมนูมาสั่งไก่ทอดตะไคร้ รอหลายนาทีเหมือนกันกว่าจะมาเสิร์ฟจนหวั่นว่าเจ้าเหมียวลายเหลืองดำจะเดินหนีไปเสียก่อน บริกรหนุ่มวางจานไก่ตะไคร้ลงแล้วตอบคำถามผมว่า “มันเป็นแมวที่นี่”
    ไก่ทอดตะไคร้ 4 ชิ้นยังร้อนอยู่จึงยังไม่ถึงเวลาแมว ผมหยิบมาชิมชิ้นหนึ่ง อร่อยมาก กุ๊กนำเนื้อไก่สับปรุงรสยัดเข้าไปในก้านตะไคร้ที่ถูกทุบจนแตกเป็นหลายซี่แล้วนำไปทอด เวลากินหากขี้เกียจไช้มีดกับซ่อมก็ใช้มือหยิบก้านตะไคร้เข้าปากกัดไก่กินได้เลย ผมกินหมด 3 ชิ้นจึงถึงเวลาของแมวท้องแก่ที่ยังแวะไปเวียนมา แกะเนื้อไก่ออกแล้วเสิร์ฟลงบนพื้น นังเหมียวดมๆ แล้วเดินจากไป คงไม่ใช่ของชอบ แมวร้านอาหารมักเป็นอย่างนี้ พวกมันอาจคิดว่าเดี๋ยวก็มีคนสั่งปลาให้กิน
    ลุงฝรั่งคนหนึ่งเดินเข้าร้านมา นั่งท้าแดดที่โต๊ะริมลานระเบียง ขอเมนูแล้วสั่งอาหาร ผมนั่งเสียดายไก่ตะไคร้อยู่อีกครู่ก็ลุกออกไปเดินบนถนนแคมโขงต่อ สุดท้ายเหออกจากฝั่ง เข้าถนนเส้นหนึ่งเขียนชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า Kitsalat หัวมุมมีร้านกาแฟชื่อ “ประชานิยม” แนวๆ กาแฟโบราณ เปิดขายตั้งแต่ตีสี่ เข้าใจว่าสายๆ ก็ปิด มีโจ๊ก ปาท่องโก๋ เป็นอาหารเช้าที่ลูกค้านิยมพอๆ กับกาแฟ  

(ตลาดมืดหรือตลาดกลางคืนหลวงพระบางช่วงนี้ไม่คึกคัก)

    ถึงสี่แยกที่ถนน Kitsalat ตัดกับถนนจุดสิ้นสุดของถนนเจ้าฟ้างุ้มทางขวามือและจุดเริ่มต้นของถนนศรีสว่างวงศ์ทางซ้ายมือ ผมเลี้ยวซ้ายผ่านศูนย์บริการข้อมูลนักท่องเที่ยวตรงหัวมุม และจากจุดเริ่มต้นของถนนศรีสว่างวงศ์นี้ไปอีกราวสามร้อยเมตรจะกลายเป็นถนนคนเดินในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า เรียกว่า “ตลาดมืด” หรือตลาดขายของกลางคืน
    ผมข้ามถนนไปอีกฝั่ง มีลานกว้าง ดูเหมือนว่าเวทีการแสดงบางอย่างจะเพิ่งถูกรื้อออกไป อาจเป็นเวทีการแสดงที่เกี่ยวข้องกับเทศกาลลอยกระทงหลวงพระบาง ขณะนี้ตั้งโต๊ะเก้าอี้อยู่จำนวนหนึ่ง ด้านหลังของลานเป็นแถวร้านอาหารขนาดเล็กเรียงกันอยู่หก-เจ็ดคูหา แต่ละคูหาเล็กแคบ ลูกค้าที่ซื้ออาหารก็จะนำไปนั่งกินบนโต๊ะเก้าอี้ที่จัดไว้ ด้านหลังของแถวร้านอาหารคือพูสี ภูเขาลูกเล็กๆ กลางเมืองหลวงพระบางที่ตั้งของวัดพระธาตุพูสี
    ลุงฝรั่งคนที่เป็นลูกค้าคนเดียวของร้านวิวแคมโขงต่อจากผมเดินมาทักเป็นภาษาอังกฤษ “ผมจำคุณได้จากร้านริมแม่น้ำ” จากนั้นแกก็แนะนำอะไรต่อมิอะไรอีกหลายอย่างเกี่ยวกับเมืองหลวงพระบางในฐานะขาประจำของเมืองมรดกโลกแห่งนี้
    แกบินมาจากลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา เมื่อไม่กี่วันก่อน แวะที่เซี่ยงไฮ้และคุนหมิงก่อนจะต่อมาลงเครื่องที่หลวงพระบาง ครั้งล่าสุดที่มาเยือนหลวงพระบางก็คือช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา คะเนอายุแล้วน่าจะอยู่ในช่วง 70 ปี บวกลบไม่มาก สงครามอินโดจีนครั้งที่ 2 จบลงไปได้ราวๆ 45 ปี เป็นไปได้ไหมว่าในช่วงอายุ 20 กว่าๆ แกเคยบิน B-52 ขึ้นจากฐานทัพในเมืองไทยมาทิ้งระเบิดใส่แผ่นดินลาว แกมาชาร์จพลังตามที่บอกผม หรือมารำลึกความหลังอะไรหรือเปล่า
    ก่อนขอตัวเดินออกมา ลุงฝรั่งบอกว่าคงได้เจอกันอีกเพราะหลวงพระบางเล็กนิดเดียว ผมตั้งใจจะเดินไปให้สุดถนนเส้นนี้เพื่อดูตะวันตกดินตรงจุดที่แม่น้ำคานไหลไปบรรจบกับแม่น้ำโขง แถวๆ วัดเชียงทอง วัดสำคัญและเป็นชื่อเดิมของเมืองหลวงพระบาง โดยที่ยังไม่รู้ว่าจะเห็นพระอาทิตย์ตกดินจากบริเวณนั้นหรือไม่
    เดินไปได้ราวครึ่งทาง จุดที่ถนนศรีสว่างวงศ์เชื่อมต่อเป็นเส้นตรงกับถนนสักรินทร์ มีถนนตัดผ่านหน้าเพื่อเชื่อมระหว่างแม่น้ำโขงและแม่น้ำคานเป็นสี่แยก ตรงมุมขวาบนของสี่แยกนี้มีร้านชื่อ Mini House บนกระดาษดำหน้าร้านเขียนไว้ว่า Happy Hours 4 โมงเย็น-2 ทุ่ม เบียร์ลาวขวดใหญ่ 10,000 กีบ หรือไม่ถึง 40 บาท ทำให้ผมเดินเข้าร้านไปโดยไม่รู้ตัว เด็กหนุ่มออกมาต้อนรับ ชี้แจงที่หน้าตู้แช่ว่าเบียร์ขวดใหญ่สิบพันกีบ ขวดเล็กก็สิบพันกีบ ลาวดำสิบสองพันกีบ ลาวโกลด์สิบห้าพันกีบ (ล้วนเป็นขวดเล็ก) ผมสั่งลาวดำไปอย่างมึนๆ เป็นรายการที่ไม่ได้อยู่ในช่วงชั่วโมงสุขสันต์ พร้อมกับเฟรนช์ฟรายด์ แต่เบียร์หมดขวดแล้วกับแกล้มก็ยังไม่มาจึงต้องสั่งลาวธรรมดามาอีก 1 ขวดเล็ก กว่าจะหมดทั้งเบียร์และเฟรนช์ฟรายด์ฟ้ามืดพอดี อดไปดูพระอาทิตย์ตก ตัดสินใจเดินกลับเส้นทางเดิมไปดูสภาวะเศรษฐกิจหลวงพระบางในย่านตลาดมืดแทน

(ตลาดมืดหลวงพระบาง ทอดยาวราว 300 เมตรจากหน้าวัดใหม่สุวรรณภูมารามไปจนถึงหน้าศูนย์บริการข้อมูลนักท่องเที่ยว)

    ตั้งแต่หน้าวัดใหม่สุวรรณภูมารามไปจนถึงหน้าศูนย์บริการข้อมูลนักท่องเที่ยวที่ได้เอ่ยถึงไปก่อนหน้านี้คือพื้นที่ของตลาดมืด เริ่มด้วยซุ้มขายน้ำผลไม้ปั่นหลายสิบร้าน ชนิดผลไม้ล้วนคล้ายคลึงกัน ปอกหั่นเรียบร้อยแล้วอยู่ในแก้วพลาสติก ผมชี้ไปที่แบบผสม ราคา 10,000 กีบ หวังแทนที่แอลกอฮอล์ด้วยวิตามินจากผลไม้ แต่ไม่รู้จะช่วยได้สักแค่ไหน นักโภชนาการบอกว่าแอลกอฮอล์เป็นอุปสรรคของร่างกายในการดูดซึมวิตามิน
    เท่านั้นไม่พอ ข้างทางมีบุฟเฟต์อาหารมังสวิรัติ 15,000 กีบอิ่มไม่อั้นในหนึ่งทีตัก ผักลวก ผักผัด ถั่ว เต้าหู้ ข้าวสวย ข้าวผัด หมี่ผัด อยู่ในถาดกระบะจำนวนนับยี่สิบ พ่อค้ายื่นจานให้ ผมรู้กติกาทันที ตักข้าวผัดแล้วราดด้วยกับข้าวสาม-สี่อย่าง ถามเขาว่าจ่ายเงินตอนนี้เลยหรือเปล่า พ่อค้าตอบว่า “กินก่อนกะได้” จึงเดินไปนั่งกินบนโต๊ะยาวๆ เตี้ยๆ รสชาติถือว่าสอบผ่าน
    จ่ายเงินค่าข้าวค่าน้ำแล้วเดินเข้าพื้นที่ช็อปปิ้ง พ่อค้าแม่ค้านำข้าวของมาวางขายบนพื้น แต่เป็นแบกะดินแบบดูดี ปูผ้าสวยงามเป็นระเบียบ กางเต็นท์หลังเล็กๆ สีแดงและสีน้ำเงินต่อกัน คงตั้งใจให้ออกมาดูคล้ายธงชาติ สปป.ลาว คลุมถนนทั้ง 2 เลน มีช่องทางให้คนเดิน 2 ช่อง สินค้ามีเสื้อผ้าทั้งแบบพื้นบ้านและสมัยใหม่ เครื่องประดับ งานศิลปะ งานฝีมือ ของที่ระลึกทั่วไป ที่สะดุดตามากสุดคือพวงกุญแจ กำไล แหวน และเครื่องประดับชิ้นเล็กๆ สีเงิน ที่วางเคียงกับสินค้าคือป้ายเขียนด้วยภาษาอังกฤษ ขออนุญาตแปลเป็นภาษาไทยดังนี้

(ร้านนี้ขอมอบความหมายใหม่ให้กับระเบิด)

    “เครื่องประดับเหล่านี้คือระเบิด เราทำเครื่องประดับ ไม่ทำสงคราม สินค้าเหล่านี้ทำจากอะลูมิเนียมที่ทิ้งลงบนผืนแผ่นดินของเราระหว่างสงครามลับๆ (ในสงครามอินโดจีนครั้งที่ 2 หรือสงครามเวียดนาม) ระหว่างปี ค.ศ.1964-1975 หลังสงครามมีคนสอนเราให้ทำอะไรบางอย่างกับระเบิดเหล่านี้ที่เพิ่งทำร้ายเรา
    เราประดิษฐ์ช้อน แหวน ตะเกียบ กำไล สร้อยข้อมือ ที่เปิดขวด และอีกหลายอย่างจากระเบิด เราได้เปลี่ยนระเบิดให้เป็นเครื่องประดับที่สวยงาม เราได้นำความหมายใหม่มาให้กับระเบิดเพื่อมันได้ช่วยชีวิตและพยุงปากท้องของพวกเรา ขอขอบคุณมากๆ สำหรับการสนับสนุน”
    จากที่เดินๆ ดู ผมเห็นร้านขายความหมายใหม่ของระเบิดในตลาดมืดหลวงพระบางอยู่เป็นสิบร้าน หากชาวฝรั่งเศสและอเมริกันที่ยังไม่ตายและเคยมีส่วนร่วมในการทิ้งระเบิดคร่าชีวิตชาวลาวผู้รักชาติเดินมาเห็นเข้า หากไม่ช่วยซื้อเศษซากระเบิดนำกลับไปรำลึก ก็น่าจะช่วยหลั่งน้ำตาสำนึกบาปสักหยดสองหยด เรื่องนี้ผมขออนุญาตขยายความในตอนหน้า หลังจากได้ไปชมพิพิธภัณฑ์ระเบิด (ที่ไม่ระเบิด) อยู่ใกล้ๆ ใจกลางหลวงพระบาง
    อย่างไรก็ตาม จากการที่ได้มาเดินตลาดมืดที่ขึ้นชื่อนักหนา กลับพบว่าเงียบเหงาเซาซบอย่างไม่น่าเชื่อ เช่นเดียวกับร้านอาหารทั่วไปบนถนนศรีสว่างวงศ์อันดูงามสง่าน่านั่ง ด้วยล้วนตั้งอยู่ในอาคารเก่าสไตล์โคโลเนียล ลูกค้าที่พอเห็นอยู่บ้างก็คือชาวจีน และที่ได้ยินเสียงก็คือคนไทย ขอยืนยันว่าเงียบกว่าถนนข้าวสารบ้านเราในช่วงเวลาเดียวกันนี้
    แต่เมื่อผมเดินเลี้ยวขวาเข้าไปในซอยตลาดอาหารกลางคืน ในแผนที่กูเกิลใช้คำว่า Night Market - Street food นักท่องเที่ยวเข้ามาฝากท้องในนี้เต็มไปหมด บุฟเฟต์อาหารมังสวิรัติแบบเดียวกับที่ผมเพิ่งดินเนอร์ไปนั้นราคาสูงขึ้นอีก 5,000 กีบ จำพวกปิ้งย่างนั้นมีมากสุด ก๋วยเตี๋ยว ข้าวหมูทอด ข้าวมันไก่ อาหารตามสั่ง นักท่องเที่ยวฝรั่งและจีนชี้สั่งได้ง่ายๆ ตามภาพในเมนู

(สตรีทฟู้ดหลวงพระบาง ถูกจัดระเบียบไปอยู่ในซอย (อย่างเป็นระเบียบ))

    มองในภาพรวมก็กล่าวได้ว่านักท่องเที่ยวพอมี และในเวลานี้ยังไม่ไฮซีซั่นดีนัก เพียงแต่ว่านักท่องเที่ยวใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง หรือตามภาษาที่เด็กทำงานร้านอาหารในโรงแรมบ้านเราพูดกันก็คือ “แขกมี แต่แขกไม่กิน” นั่นก็คือแขกไม่กินอาหารโรงแรม แต่ไปกินสตรีทฟู้ดหรือร้านอาหารตามสั่ง
    งานนี้นอกจากของกิน ผมเองก็ยังไม่ได้ซื้อข้าวของจากหลวงพระบางแม้แต่ชิ้นเดียว ทั้งกลัวน้ำหนักที่จะแบกบนหลังไหล่ อีกทั้งต้องคุมวินัยเรื่องงบเดินทางที่จุดหมายต่างๆ ยังเหลืออีกมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของทั้งทริป

(เฮือนพักเก๋ๆ บนถนนกิ่งกิสราช)

    วันนี้ตัดใจไม่เข้าบาร์เป็นวันที่สองติดต่อกัน เดินกลับที่พักโดยผ่านถนนเจ้ากิ่งกิสราช ถนนเส้นนี้ยิ่งเงียบกว่าถนนศรีสว่างวงศ์ ผมเข้าไปเปิดเมนูที่ตั้งไว้หน้าร้านอาหารร้านหนึ่ง หนุ่มน้อยเดินเข้ามาพูดคุย หลุดประโยคหนึ่งออกมา “วันนี้ร้านเฮายังบ่มีลูกค้าสักคนเลยอ้าย”
    แต่เขาก็ไม่ได้คะยั้นคะยอให้นั่ง.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"