เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ชี้ดิสรัปชั่นไม่กระทบ ยอดขายตั๋วทะลุ 40 ล้านใบ โต 15% เตรียมลุยวิชั่น Major 5.0


เพิ่มเพื่อน    

19 พ.ย.2562 นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา พบว่า ยอดขายตั๋วยังคงขยายตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้คาดว่า จะมียอดขายที่ 40 ล้านใบ โตขึ้นจากปีก่อนหน้า 15%   ซึ่งยอดขายดังกล่าวสะท้อนว่า ธุรกิจโรงภาพยนตร์ยังคงขยายตัวได้ดี ไม่ได้รับผลกระทบจากกระแสดิสรัปชั่น  และคาดว่าธุรกิจโรงภาพยนตร์ในปี 2562 ก็ยังคาดว่า จะเติบโตราวๆ 15% เช่นเดียวกัน  

"ตอนที่เป็นห่วงว่า Netflix จะมาแย่งรายได้ของโรงภาพยนตร์ ตอนนี้สรุปแล้วว่า ไม่ใช่ เพราะคนยังชอบดูหนังในโรงภาพยนตร์อยู่ แถมตอนนี้ทางเรายังเป็นพันธมิตรกับแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งต่างๆในการสร้างรายได้เข้ามาเพิ่มเติมอีกต่างหาก" นายวิชา กล่าว

สำหรับแผนในปี 2563 ก็ยังตั้งเป้าเติบโตราวๆ 10-15% เช่นเดิม ลงทุนขยายสาขาเพิ่มอย่างต่อเนื่องอีก 30 โรง เน้นสาขาต่างจังหวัด  อาทิ เมเจอร์ ซีนีมา โลตัส หาดใหญ่ สงขลา, เมเจอร์ ซีนีมา Mark 4 แพร่, เมเจอร์ ซีนีมา โลตัส พะเยา, เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ โลตัส นิคมบางกะดี ปทุมธานี, เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ โลตัส สมุทรปราการ, เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ บิ๊กซี ยะลา, เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ บิ๊กซี มหาชัย 2 สมุทรสาคร  โดยใช้วงเงินลงทุนไม่เกิน 200 ล้านบาท

"ในปี 2562 เป็นปีแรกที่รายได้ของโรงหนังในต่างจังหวัดมีมากกว่า กทม.แล้ว สะท้อนให้เห็นว่า คนต่างจังหวัดยังนิยมชมภาพยนตร์ดังนั้นแผนการขยายโรงหนังจะเน้นในพื้นที่ต่างจังหวัดมากกว่า ซึ่งเป้าหมายของเมเจอร์ คือ ภายในปี 2025 จะต้องมีโรงภาพยนตร์ครบทุกจังหวัด 1,200 โรงเป็นอย่างน้อย"  นายวิชา กล่าว

อย่างไรก็ดี เมเจอร์ กำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 25 ในปี 2020 เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ ดังนี้  1. นโยบาย Major 5.0 ที่มุ่งเน้นการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ทันสมัยเข้ามาเติม โดยเฉพาะเทคโนโลยี  Seamless Ticket โดยมอบประสบการณ์การซื้อผ่านแอพได้ตั๋ว นำมาสแกนที่ตู้แล้วเดินเข้าโรงภาพยนตร์ได้ทันที นอกจากนี้ ยังพัฒนาระบบ AI&ML เป็นระบบ Movie Recommendation Engine เพื่อส่งมอบโปรโมชั่นที่ตรงใจลูกค้ามากขึ้น เป็น One-on-One offering เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมลูกค้าที่แตกต่างกัน ตลอดจน การเปลี่ยนเป็น Cashless   ขณะที่ในปี 2020 ที่จะถึงนี้ ยังมีการนำเอาเทคโนโลยีล่าสุดของการฉายภาพยนตร์ด้วยระบบ GIANT LASER SCREEN หรือ GLS ก้าวต่อไปของโรงภาพยนตร์ในคอนเซ็ปต์เปลี่ยนโรงภาพยนตร์ 

นอกจากนี้ ยกระดับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยให้ได้มาตรฐานเป็น Tollywood (Thailand+Hollywood)   ด้วย Market Share 50% พร้อมผลักดันส่งภาพยนตร์ไทยออกขายไปยังตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศเป้าหมายหลัก คือ จีน และกลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ พม่า, เวียดนาม, กัมพูชา, ลาว, อินโดนีเซีย, สิงคโปร์, มาเลเซีย, บรูไน, ฟิลิปปินส์ รวมถึง ส่งภาพยนตร์ไทยให้บริการบนสายการบิน อาทิ Thai Airways, Hong Kong Airlines, Oman Airlines, Emirates Airlines, Air China, All Nippon Airways และบนแพลตฟอร์มออนไลน์อย่าง Netflix ซึ่งเป็นช่องทางทำให้ภาพยนตร์ไทยมีตลาดสามารถเก็บรายได้เพิ่มมากขึ้น

"ปัจจุบันนี้ อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยได้รับการยอมรับจากตลาดต่างประเทศมากขึ้น ทำให้ไม่เพียงแต่การส่งออกภาพยนตร์ไทยไปฉายในต่างประเทศเท่านั้น แต่ดาราไทยหลายคนก็ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก มีดาราไทยไม่น้อยที่ออกไปสร้างชื่อเสียงในตลาดฮอลลีวู้ด ประเทศจีน และเกาหลี เป็นต้น ซึ่ง เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ได้ดำเนินธุรกิจแบบครบวงจร ทั้ง โรงภาพยนตร์ และพร้อมเดินหน้าสนับสนุนการสร้างภาพยนตร์ไทยอย่างเต็มที่ เพื่อให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ของบ้านเรามีการเติบโตมากยิ่งขึ้นและพัฒนาเป็น Tollywood ต่อไป" 
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"