เหตุผลยื่นยุบ พรรคอนาคตใหม่


เพิ่มเพื่อน    

 

กลุ่มนี้มีแนวคิดล้มล้าง เหตุผลรุกฆาต-ยื่นยุบ อนค.

หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเมื่อ 20 พ.ย.ด้วยเสียงข้างมาก 7 ต่อ 2 เสียงให้ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ พ้นจากการเป็น ส.ส. และมีรายงานว่า กกต.เตรียมพิจารณาดำเนินคดีต่อเนื่องกับธนาธรในเรื่องความผิดตาม พ.ร.บ.การเลือกตั้ง ส.ส. ที่มีโทษอาญาและตัดสิทธิ์ทางการเมืองในสัปดาห์หน้านี้ ขณะเดียวกันคำร้องเรื่องเงินกู้ 191 ล้านบาท ที่ธนาธรให้พรรคอนาคตใหม่กู้ยืมไปในช่วงการเลือกตั้งที่ผ่านมาก็ใกล้งวดมากขึ้น ล่าสุด กกต.ให้พรรคอนาคตใหม่ส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาประกอบการพิจารณาเพิ่มเติม

อีกหนึ่งคำร้องที่เกี่ยวกับพรรคอนาคตใหม่ในชั้นศาล รธน.ที่หลายคนกำลังรอติดตามผลอยู่ก็คือ คำร้องเรื่องการยุบพรรคอนาคตใหม่ ที่ร้องโดย ณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน  ซึ่งเวลานี้ฝ่ายผู้ร้องและฝ่ายผู้ถูกร้องคือพรรคอนาคตใหม่ได้ยื่นเอกสารแถลงปิดคดีต่อศาล รธน.แล้ว และระหว่างนี้กำลังรอศาล รธน.นัดลงมติและทำคำวินิจฉัยกลางอยู่

ทั้งนี้ คำร้องคดียุบพรรคดังกล่าวมีผู้ถูกร้องประกอบด้วย 1.พรรคอนาคตใหม่ 2.ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ  3.ปิยบุตร แสงกนกกุล 4.กรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่

ณฐพร โตประยูร ผู้ยื่นคำร้องให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ต่อศาลรัฐธรรมนูญ ที่ก่อนหน้านี้เคยเป็นอดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน (ศรีราชา วงศารยางกูร) เป็นอดีตที่ปรึกษาผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยทำงานที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินในตำแหน่งดังกล่าวประมาณหกปี และก่อนหน้านั้นก็เคยเป็นที่ปรึกษาผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน

เมื่อเราถามถึงพฤติการณ์ของผู้ถูกร้องทั้งสี่ที่นำมาสู่การยื่นคำร้องครั้งนี้คืออะไร ณฐพร ระบุว่า  พฤติกรรมก็คือคนกลุ่มนี้มีแนวคิดที่จะล้มล้าง และต้องการสร้างรัฐธรรมนูญโดยเหมือนกับประชาชนสร้างเอง โดยไม่ให้สถาบันมาเกี่ยวข้อง พฤติกรรมของเขาคือเปลี่ยนรูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยให้เป็นลักษณะแบบในยุโรปเช่นฝรั่งเศส ต้องการแบบนั้น นี่คือสิ่งที่เขาต้องการ ซึ่งสิ่งที่คู่บ้านคู่เมืองเราคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เราจึงเห็นว่าเมื่อคุณไปยุ่งแบบนี้ เราก็ต้องมาคัดค้าน มาดำเนินการ

ณฐพร กล่าวต่อไปว่า ผมติดตามการเคลื่อนไหวของกลุ่มนี้มานานตั้งแต่สมัยเป็นนักวิชาการอยู่กลุ่มนิติราษฎร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งตอนนั้น ดร.ปิยบุตร แสงกนกกุล อยู่ในกลุ่มนิติราษฎร์ ร่วมกับ ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ที่จะล้มเจ้าล้มอะไรต่างๆ ผมก็ติดตามดูพวกเขาตลอดเวลา จนเมื่อเขามาตั้งพรรคการเมือง-พรรคอนาคตใหม่ ผมก็พยายามดูว่าเขาจะทำอย่างไร ซึ่งจริงๆ ผมเห็นด้วยกับการที่คนรุ่นใหม่ๆ เข้ามาตั้งพรรคการเมือง

                ผมก็ไปดูประวัติเก่าๆ ของพวกเขาโดยเฉพาะ ดร.ปิยบุตร พบว่าเป็นคนเขียนหนังสือเยอะมากที่เกี่ยวกับสถาบัน และมีอยู่บางส่วนมีการพาดพิงกับเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี 2475 มีการพาดพิงสถาบันและใช้คำพูดรุนแรง โดยนำแนวของนักปรัชญาเมธีชาวฝรั่งเศสมาใช้ ผมก็เห็นว่าเรื่องแบบนี้มันอันตราย แล้วตอนหาเสียงเลือกตั้งก็มีการพาดพิงถึงเรื่องปี 2475 มาใช้ในการหาเสียง ทำให้ผมก็เห็นว่าคนพวกนี้มีพฤติกรรมไม่ดี แล้วผมเองก็รู้เรื่องสมาคมอิลลูมิเนติพอสมควร ผมก็เห็นว่ามันโยงกัน เพราะตัวธนาธรเขาก็พยายามพูดว่าตัวเขาต่อไป พระไม่ต้องมี ไม่ต้องนับถือศาสนาพุทธ ไม่ต้องตีระฆัง ไม่ต้องกราบไหว้ ซึ่งสมาคมพวกนี้พวก New World Order มันมีการทำกันมานานแล้ว โดยมีจุดเริ่มต้นที่ประเทศเยอรมนีแล้วไปโตที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งสมาคมอิลลูมิเนติอยู่เบื้องหลัง มีคนอยู่เบื้องหลัง กลุ่มสมาคมอิลลูมิเนติเยอะ พวกแบงก์ นักการเมืองระดับใหญ่ๆ ในสหรัฐอเมริกา โดยมีสัญลักษณ์ของกลุ่มคือรูปสามเหลี่ยม

....เราก็ดูว่ามันมีความเกี่ยวพัน แล้วเวลาหาเสียงคนพวกนี้เขาก็มีต่อต้านสถาบัน อย่างมีการอ้างเรื่องเหตุการณ์ปี 2475 ที่อ้างว่าปีดังกล่าวมีการปฏิวัติ ทำให้สถาบันขาดไปแล้ว พอมายุคนี้ก็ต้องการให้สถาบันเป็นเพียงสัญลักษณ์ เหมือนแบบที่กัมพูชาเวลาจะเลือกกษัตริย์ต้องมีการตั้งกรรมการอะไรต่างๆ  ทั้งที่รัฐธรรมนูญก็เขียนไว้หลายมาตราว่าอำนาจประชาธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย คืออย่างที่ผ่านมาพอรัฐธรรมนูญผ่านประชามติก็นำร่างฯ ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย แล้วก็มีการพระราชทานรัฐธรรมนูญ แต่เขาไม่ต้องการสิ่งนั้น เขาต้องการว่าพอลงประชามติเสร็จประกาศใช้รัฐธรรมนูญเลย สถาบันอยู่อีกส่วนหนึ่ง

...เรื่องพวกนี้ผมก็มองว่าจริงๆ หลักประชาธิปไตยของประเทศไทย ซึ่งตามรัฐธรรมนูญเขียนไว้ชัดเลยว่า ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่เปลี่ยนแปลงรูปแบบไม่ได้ เมื่อเปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้วคุณจะไปเปลี่ยนแปลงรูปแบบ เมื่อผมเห็นว่าไม่ได้มีการพิจารณากัน ผมก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย ในฐานะที่เคยอยู่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินมาก่อน ก็เพื่อให้คำกล่าวหาต่างๆ มีน้ำหนัก ผมก็ต้องหาหลักฐาน ก็นำคำให้สัมภาษณ์ทั้งหมด หนังสือที่พวกเขาคือปิยบุตรเขียนไว้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รวมถึงนายธนาธรตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะคำให้สัมภาษณ์ ก็รวบรวมมาทั้งหมด เอกสารเรามีหมด ก็นำส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญ รวมถึงพรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ ตั้งแต่สมัยเรียนจนถึงปัจจุบัน มันก็มีพฤติกรรมที่ส่อให้เห็นว่าคนกลุ่มนี้ พรรคการเมืองพรรคนี้มีเจตจำนงที่จะปรับเปลี่ยนรูปแบบการปกครอง ซึ่งอันนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่เรามองว่าหากเราไม่ทำ มันก็จะเป็นความไม่ถูกต้อง

เพราะพรรคการเมืองตามหลักประชาธิปไตยก็ต้องว่ากันไปในเรื่องการเมือง ส่วนระบอบการปกครอง รูปแบบการปกครองเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องที่เรามีมานานแล้ว และสถาบันก็เป็นที่เคารพสักการะ และพุทธศาสนาคนก็เคารพสักการะ ก็ไม่ควรไปแตะตรงนี้

“ผมก็มองตรงนี้เท่านั้นเอง ส่วนอื่นๆ ก็ไม่มีอะไร อย่างเรื่องแนวคิดความคิดผมก็โอเค แล้วพอมาดูทุกวันนี้พฤติกรรมอะไรต่างๆ ของเขา เขาก็ทำเองทั้งนั้น เราก็อยากให้สังคมรับรู้ว่า การทำแบบนี้มันไม่ถูก สังคมไทยจะเกิดความแตกแยก"

                ณฐพร กล่าวถึงกระบวนการยื่นคำร้องยื่นยุบพรรคอนาคตใหม่ว่า เป็นการยื่นตามช่องทางรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ที่บัญญัติว่า

บุคคลจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมิได้ ผู้ใดทราบว่ามีการกระทําตามวรรคหนึ่ง ย่อมมีสิทธิร้องต่ออัยการสูงสุดเพื่อร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทําดังกล่าวได้  

ในกรณีที่อัยการสูงสุดมีคําสั่งไม่รับดําเนินการตามที่ร้องขอ หรือไม่ดําเนินการภายในสิบห้าวัน นับแต่วันที่ได้รับคําร้องขอ ผู้ร้องขอจะยื่นคําร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญก็ได้

เมื่อผมไปยื่นต่ออัยการแล้วและอัยการยังไม่ได้ดำเนินการใดๆ ตามขั้นตอนของมาตราดังกล่าว  ผมก็มีสิทธิ์ไปยื่นตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณา ทางศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคำร้องผมแล้ว ก็เห็นว่าเข้าองค์ประกอบกฎหมาย คดีมีมูล ศาลรัฐธรรมนูญก็สั่งรับคำร้องด้วยมติ 5 ต่อ 4 จากนั้นตามขั้นตอน ศาลรัฐธรรมนูญก็สั่งให้ฝ่ายผู้ถูกร้องทั้งสี่ชี้แจงข้อกล่าวหา

จากนั้นพอผู้ถูกร้องชี้แจงข้อกล่าวหาไปยังศาล รธน. ผมในฐานะผู้ร้องก็ได้โต้แย้งคำชี้แจงข้อกล่าวหาส่งไปศาล รธน.อีกครั้ง จนมีการสรุปสำนวนส่งศาลรัฐธรรมนูญไป ซึ่งคำร้องลักษณะแบบนี้ก็มีการเขียนไว้ว่า ถ้ากรณีที่ไม่มีข้อยุ่งยากอะไร ศาลรัฐธรรมนูญก็สามารถวินิจฉัยคำร้องตัดสินคดีได้เลย โดยไม่ต้องเปิดห้องพิจารณาไต่สวนคำร้อง

สำหรับสาระสำคัญในคำร้องที่เห็นว่าเข้าข่ายสามารถยุบพรรคอนาคตใหม่ได้ ณฐพร สรุปว่า อย่างเรื่องข้อบังคับพรรคอนาคตใหม่ ที่ร้องไปว่าขัดรัฐธรรมนูญก็เป็นหัวใจของคำร้องเรื่องนี้ เพราะประเทศไทยมีรูปแบบการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่เขียนไว้หลายมาตรา แม้แต่คำวินิจฉัยของศาลก็เคยบอกว่าจะเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองไม่ได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องของการใช้สิทธิ์ที่เขามอบให้ เช่นประชาชนรวมตัวกันแล้วตั้งพรรคการเมือง พรรคการเมืองที่ตั้งขึ้น ก็ต้องมีรูปแบบการปกครองรูปแบบเดียว คือรูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เมื่อเป็นแบบนี้ข้อบังคับพรรคการเมืองก็ต้องกำหนดไว้

...แต่ข้อบังคับของพรรคอนาคตใหม่กลับพบว่าไม่มีการเขียนเรื่องแบบนี้เอาไว้ ก็พบว่าในรัฐธรรมนูญ มาตรา 5 บัญญัติไว้ว่า รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ หรือการกระทําใด ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ บทบัญญัติหรือการกระทํานั้นเป็นอันใช้บังคับ มิได้

เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้กระทําการนั้นหรือวินิจฉัยกรณีนั้น ไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

 เมื่อข้อบังคับพรรคใช้ไม่ได้ มันก็ไปโยงกับมาตรา 92 ใน พ.ร.บ.พรรคการเมืองที่บัญญัติว่า “เมื่อคณะกรรมการมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าพรรคการเมืองใดกระทําการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ ให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อสั่งยุบพรรคการเมืองนั้น

(1) กระทําการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอํานาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ

(2) กระทําการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

และเมื่อศาลรัฐธรรมนูญดําเนินการไต่สวนแล้ว มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าพรรคการเมืองกระทําการดังกล่าว ให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคการเมือง และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองนั้น

ซึ่งแม้ในมาตรา 92 ของ พ.ร.บ.พรรคการเมืองจะให้ กกต.เป็นผู้ร้อง แต่ความผิดในเรื่องการยื่นยุบพรรคมันไม่ได้เป็นโทษ แต่เป็นมาตรการ เป็นการเยียวยาไม่ให้มีการกระทำแบบนี้เกิดขึ้น เช่นการตัดสิทธิ์ไม่ให้ลงสมัครรับเลือกตั้ง เป็นเรื่องของมาตรการ ไม่ได้ถือว่าเป็นโทษ จึงย้อนหลังได้ และพฤติการณ์แบบนี้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจในการพิจารณาเรื่องเหล่านี้ ศาลรัฐธรรมนูญก็พิจารณาได้เลย เมื่อมีคนยื่นคำร้อง

นอกจากนี้ ในคำร้องก็ร้องเรื่องผู้ถูกร้องทั้งสี่ได้ใช้สิทธิเสรีภาพที่ได้มาตามกฎหมายที่ได้บัญญัติไว้  แต่เห็นว่าเสรีภาพนั้นไม่ได้ใช้ตามระบบประชาธิปไตย แต่ได้ใช้เสรีภาพนั้นเพื่อจะไปล้มล้างการปกครอง  เช่น การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เขาจะเปลี่ยนมาเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ ตัวอย่างของเขมรก็จะเป็นลักษณะแบบนั้น

-ในคำร้องนอกจากให้ยุบพรรคอนาคตใหม่แล้ว ยังขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาเพิกถอนสิทธิทางการเมืองของกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่?

พอผิดมาตรา 49 ที่บัญญัติไว้ในวรรคแรกว่า "บุคคลจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมิได้" ก็จะไปเข้าองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 92 ของ พ.ร.บ.พรรคการเมืองที่ถือว่าเป็นปฏิปักษ์ พอเข้ามาตรานี้ก็มีความผิดถึงขั้นยุบพรรคการเมือง

“ในคดีนี้หลักฐานที่เรายื่นไปให้ศาลรัฐธรรมนูญ คือหลักฐานที่เป็นข้อเท็จจริงเช่นหนังสือที่พวกเขาเขียน การให้สัมภาษณ์ บทความต่างๆ ซึ่งหลักฐานที่เรามี มันไม่ได้มีแค่ในอดีตอย่างเดียว แต่มีตั้งแต่อดีตเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน"

...ยกตัวอย่างเช่นเราต้องทำภารกิจ พ.ศ.2475 ให้สำเร็จ ซึ่งคนก็ไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร แต่ในคำร้องที่ได้ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญได้มีการบรรยายว่า 2475 มีวัตถุประสงค์เพื่ออะไร อย่างข้อบังคับพรรคอนาคตใหม่ก็เช่นกัน คือทุกพรรคการเมือง ข้อบังคับพรรคทุกพรรคในประเทศไทย เขาจะเขียนเรื่องการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่ข้อบังคับพรรคอนาคตใหม่เขียนว่าการปกครองระบอบประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ ประเด็นพวกนี้ก็ชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่พวกคุณทำ มันมีพฤติกรรมอะไรตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และถึงนาทีสุดท้ายมันมีพฤติกรรมอย่างไร เราก็ได้บรรยายให้ศาลรัฐธรรมนูญเห็น ที่ก็จะเป็นหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญที่จะพิจารณาว่าการกระทำตามที่ผมได้ยื่นคำร้องไปมันเข้าองค์ประกอบความผิดตามกฎหมายหรือไม่ แต่ผมในฐานะที่เป็นอดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดินและทำสำนวนมาเยอะมาก เพราะเคยเป็นทั้งที่ปรึกษาผู้ตรวจเงินแผ่นดิน ที่ปรึกษาดีเอสไอ ที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน อยู่ในองค์กรใหญ่ๆ และมีประสบการณ์ในการทำสำนวน  ผมก็มองว่าเรื่องนี้เข้าองค์ประกอบทางกฎหมายแล้ว แต่ศาลรัฐธรรมนูญจะมองอย่างไรก็เป็นหน้าที่ของศาล

-อนาคตใหม่แย้งบางกรณีที่เกี่ยวข้องกับนายธนาธร เช่นหนังสือฟ้าเดียวกัน ธนาธรทำมาก่อนจะตั้งพรรคอนาคตใหม่และลงเลือกตั้ง แล้วจะนำประเด็นนี้มาย้อนหลังยื่นคำร้องเอาผิดได้อย่างไร?

ก็นี่ไง ผมถึงบอกว่าพฤติกรรมมันต่อเนื่อง อย่าลืมว่าคนเมื่ออดีตเคยคิดแบบนี้แล้วจนถึงปัจจุบันก็ยังมีแนวคิดแบบนี้อยู่ หากมีการตัดตอนไป เช่นในอดีตเคยมีส่วนร่วมในการทำหนังสือฟ้าเดียวกัน แต่ตอนนี้เลิกไปแล้ว เปลี่ยนไปแล้ว มันไม่ใช่ ต้องเอาอดีตมาเชื่อมโยงกัน หนังสือของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ  ที่ให้สัมภาษณ์ในพ็อกเกตบุ๊กชื่อ Portrait ธนาธร ถ้าใครอ่านจะรู้ได้เลย มันจะแปลความหมายออกมา เช่น จะขอไปคุย ไปต่อรองกับ.... แต่ตอนหลังมีบรรยายมา เราก็เขียนไว้ให้ชัดในคำร้อง หลักฐานพวกนี้มันชัด ผมยืนยันว่าหลักฐานชัดเจนมาก แล้วหากเราลองมานั่งคิดดู หากหลักฐานไม่ชัดเจน ศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมากคงไม่รับคำร้องไว้พิจารณา

แถลงปิดคดีหวังตอกฝาโลง

ทั้งนี้ หลังศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องและให้ฝ่ายพรรคอนาคตใหม่ชี้แจงข้อกล่าวหาตามคำร้องแล้ว  จากนั้นศาลรัฐธรรมนูญก็ให้ฝ่ายผู้ร้องและฝ่ายผู้ถูกร้องยื่นคำแถลงปิดคดีด้วยเอกสาร ซึ่ง ณฐพร สรุปประเด็นการยื่นคำแถลงปิดคดีที่ยื่นไปว่า หัวใจสำคัญจะมีความแตกต่างจากคำร้องที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องไว้ตอนแรก โดยหัวใจสำคัญของคำแถลงปิดคดีที่ผมในฐานะผู้ร้องยื่นไปที่ศาลรัฐธรรมนูญคือการสรุปว่า แต่ละข้อกล่าวหาในคำร้องมีเหตุผลประกอบคืออะไร โดยมีการยืนยันและอ้างอิงข้อเท็จจริงและหลักฐาน ยกตัวอย่างเช่นคำว่า ประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งในความหมายของเขา (อนาคตใหม่) มีความหมายว่าอย่างไร เราก็อธิบายให้ศาลเห็น และที่มาที่ไปตามคำร้องในเรื่องต่างๆ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเรื่องราวในอดีตมันโยงมาถึงปัจจุบัน เราก็เขียนอธิบายให้เห็นว่าในอดีตเขามีพฤติการณ์แบบนี้และในปัจจุบันเขาก็ยังมีการกระทำแบบนั้นอยู่

...ตอนนี้กระบวนการทั้งหมดจบหมดแล้ว ทั้งผู้ร้องและผู้ถูกร้องยื่นเอกสารครบถ้วนหมดแล้ว ทั้งการที่อนาคตใหม่เขายื่นคำร้องแก้ข้อกล่าวหาและผมก็ยื่นเอกสารโต้คำชี้แจงข้อกล่าวหาและผมก็ได้สรุปสำนวนส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญเรียบร้อยแล้ว ซึ่งต่อมาศาลรัฐธรรมนูญก็ได้พิจารณาว่าคำร้องดังกล่าวเป็นเรื่องข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมาย เมื่อเห็นว่าพยานหลักฐานครบถ้วนและทุกขั้นตอนทำเสร็จแล้ว  ศาลรัฐธรรมนูญก็ใช้ดุลยพินิจไม่ต้องเรียกทั้งสองฝ่ายมาไต่สวนได้ แบบกรณีการพิจารณาคำร้องยุบพรรคและตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรคไทยรักษาชาติ คือดูข้อกฎหมายอย่างเดียวแล้วก็ดูว่าเป็นปรปักษ์หรือไม่เท่านั้นเอง และการที่จะบอกว่าเป็นปรปักษ์ ศาลรัฐธรรมนูญก็เคยให้คำนิยามไว้เรียบร้อยแล้วว่าปรปักษ์หมายความอย่างไร ทำอย่างไร ซึ่งสิ่งพวกนี้ทุกคนก็เห็นว่าอะไรเป็นอะไร เพราะการกระทำจะบอกถึงเจตนา ถ้าคุณทำโดยมีเจตนาแบบนี้ ผลของการกระทำเมื่อรัฐธรรมนูญเขียนผลไว้แบบนี้ก็เลี่ยงไม่ได้

เมื่อถามว่าฝ่ายผู้ถูกร้องคือพรรคอนาคตใหม่และแกนนำพรรค มีการเขียนคำโต้แย้งข้อกล่าวหาอย่างไรบ้าง ณฐพร ปฏิเสธที่จะให้ข้อมูล โดยบอกแค่เพียงที่บอกได้ว่า เอาตรงๆ ผมว่าเขาโต้แย้ง ชี้แจงข้อกล่าวหาไม่ตรงประเด็น

...ยกตัวอย่างการอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้น การเขียนคำอุทธรณ์ก็ต้องบอกว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นไม่ถูกต้องอย่างไร ต้องโต้แย้งแบบนี้ไม่ใช่โต้แย้งนอกประเด็น ยกตัวอย่างเรื่องการสอบสวนคดี เมื่อมีการดำเนินคดีใดๆ แล้วบอกว่า "ขอให้การปฏิเสธ" ก็ต้องสู้คดี เช่นบอกว่าในวันเกิดเหตุ ไม่ได้อยู่ในสถานที่เกิดเหตุ แต่ไปอยู่อีกสถานที่แห่งหนึ่ง โดยมีพยานหลักฐานอ้างอิงได้ แต่หากปฏิเสธเฉยๆ ไม่ได้ยกเหตุผลอะไร แบบนี้ตำรวจ-อัยการก็ต้องส่งสำนวนฟ้องดำเนินคดีอยู่ดี

...เช่นผมร้องว่าการกระทำของคุณเป็นการล้มล้าง แล้วผมยกเหตุผลมาอธิบายในคำร้องสี่ข้อ พอถึงตอนที่ผู้ถูกร้องต้องแก้ข้อกล่าวหาก็ต้องอธิบายว่า คุณไม่ได้ล้มล้างเพราะอะไร ก็แย้งมาหักล้างสี่ข้อตามคำร้องที่ยื่นไป ไม่ใช่ไปเอาเรื่องนอกประเด็น นักกฎหมายต้องละเอียดและจับประเด็นให้ได้ เช่น เขาร้องมาแบบนี้แล้วจะแก้คำร้องอย่างไร หรืออย่างกรณีผมร้องเรื่องข้อบังคับพรรคอนาคตใหม่ เขาก็ต้องอธิบายแก้ข้อกล่าวหาว่าทำไมเขียนแบบนั้นเพราะอะไร มันต้องมีเหตุผล คนเราเวลาคุยกันเรื่องกฎหมาย ต้องคุยกันด้วยเหตุผล ไม่ใช่ไปแก้คนละประเด็นกับคำร้อง

บ้านเราทุกวันนี้ งานกฎหมายของเรา เนื่องจากเราเรียนกฎหมายแบบท่องจำ ไม่ได้เรียนกฎหมายแบบ active การที่เราเรียนแบบนี้เราก็จะทำกฎหมายกันไปเรื่อยๆ

อย่างเรื่องการประกันตัวในศาล ผมเป็นคนแรกที่ทำเรื่องขอถอนหมายจับ ตอนนั้นตำรวจพระนครศรีอยุธยาออกหมายจับนายสุนัย มโนมัยอุดม อดีตอธิบดีดีเอสไอ (ข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในการปกปิดโครงสร้างบริษัท เอสซีแอสเสท) ผมก็เข้าไปทำเรื่องถอนหมายจับ ผมก็ยื่นเรื่องไป ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องเลย บอกว่าหมายจับเป็นเรื่องตำรวจกับศาล แต่ผมโต้แย้งว่าไม่ใช่ เพราะต้องไปดูประกาศของประธานศาลฎีกาในเรื่องก่อนออกหมายจับ ต้องมีการพิจารณาใน 14 ข้อ เช่น เพราะเกรงผู้ต้องหาหลบหนี โดยหากขาดข้อใดข้อหนึ่งไปถือว่าออกหมายจับโดยไม่ชอบ

ต่อมาศาลอุทธรณ์ก็ยกเลยเพิกถอนหมายจับดังกล่าว แบบนี้เป็นต้น หรือหากเราจะประกันตัวผู้ต้องหา เราไม่ต้องไปพรรณนาว่าผู้ต้องหามีภาระต้องเลี้ยงดูบุตรและภรรยา แต่ต้องต่อสู้ว่าจะไม่หลบหนีอย่างไร หรือพฤติการณ์แห่งคดีของเราไม่เข้าองค์ประกอบการออกหมายจับอย่างไร คือเราไม่ทำแบบนี้กัน ไปเขียนอะไรก็ไม่รู้ ก็เลยกลายเป็นถามแบบนี้แล้วตอบอีกอย่าง คือแก้คนละเรื่อง

                ผิดแบบไหนถึงขั้นยุบพรรค?

-แต่รัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคสอง ก็บัญญัติว่าให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทําดังกล่าวได้ ซึ่งหากสุดท้ายถ้าศาลเห็นว่าผู้ถูกร้อง พรรคอนาคตใหม่มีพฤติการณ์ดังกล่าวจริง ก็แค่สั่งให้หยุดการกระทำก็ได้ ไม่เห็นต้องไปถึงการยุบพรรค?

ก็ใช่ มาตรา 49 ศาลรัฐธรรมนูญสามารถสั่งให้เลิกกระทำการได้ แต่อย่าลืมว่าความผิดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 มันไปโยงกับความผิดตาม พ.ร.บ.พรรคการเมือง มาตรา 92 ยกตัวอย่างเช่น ผมมีความผิดฐานลักทรัพย์ แต่ในเวลาเดียวกันผมดันไปทุบรั้ว ไปบุกรุกด้วย ก็เท่ากับทำให้เสียทรัพย์และลักทรัพย์ด้วย เท่ากับความผิดมันโยงกัน แล้วศาลที่มีอำนาจตัดสินกรณีนี้ก็คือศาลรัฐธรรมนูญ คำร้องหลัก ร้องว่าผิดตามมาตรา 49 แต่มันจะไปโยงกับมาตรา 92 ตาม พ.ร.บ.พรรคการเมือง

-แกนนำพรรคอนาคตใหม่บอกว่ามีความพยายามใช้ Lawfare เพื่อทำลายพรรค?

ผมอยู่ในวงการกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมมานานพอสมควร ผมยืนยันว่าประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่กระบวนการยุติธรรมอยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ และคนส่วนใหญ่ก็เข้าใจผิด ผมบอกตลอดเวลาว่า ศาลเป็นคนหูหนวก ตาบอด คนที่จะไปพูดให้ศาลฟังก็ต้องให้เข้าประเด็น ซึ่งส่วนใหญ่ที่ผ่านมาของเรา จะไม่ค่อยมีการหาข้อมูลเชิงประจักษ์ให้ศาล ให้ศาลเห็น อย่างเรื่องคดี บางคนพูดอย่าง แต่การกระทำ เขาทำอีกอย่าง ศาลก็ต้องตัดสินตามพยานหลักฐาน เพราะศาลไม่มีทางรู้ได้เลย เราทำคดีอย่างผมยื่นคำร้องว่าข้อบังคับพรรคอนาคตใหม่ทำไม่ถูกต้อง คุณก็ต้องโต้แย้งมาว่าข้อกล่าวหาตรงไหนไม่ถูก แล้วข้อเท็จจริงคืออะไร แล้วอีกหลายเรื่อง เช่นที่เขาพยายามเน้นว่า ประชาธิปไตยประชาชนต้องเป็นใหญ่ ประชาชนต้องสถาปนาประชาธิปไตย อะไรหลายอย่างๆ มันจะรัดตัวมันเอง

-คนมองว่าเป็นความพยายามกลั่นแกล้งหาเรื่องยุบพรรคอนาคตใหม่?

ไม่มีเลย ผมไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดๆ แล้วผมก็ไม่ได้มีความโกรธเคืองใดๆ กับนายธนาธร, ปิยบุตร และ น.ส.พรรณิการ์ ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยคุยกันมาก่อน ไม่เคยโกรธเคืองใดๆ ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน อยู่กันคนละทาง แล้วเรื่องที่ผมยื่นคำร้องไป ที่ กกต. อัยการ ศาลรัฐธรรมนูญ มีคนมาติดต่อขอให้ผมออกสื่อมวลชน ออกทีวี มาให้สัมภาษณ์กับสื่อ ทั้งสื่อในประเทศและสื่อต่างประเทศ แต่ผมปฏิเสธมาตลอด เรื่องนี้ผมต้องการทำให้เงียบที่สุด แต่ว่าทางศาลรัฐธรรมนูญเขามีการออกข่าวผลการพิจารณาคำร้องออกมา ซึ่งผมไม่เคยคิดจะเปิดเผยใดๆ มีคนมาขอสัมภาษณ์ผมเยอะแยะ ผมก็ไม่ให้ เพราะไม่รู้จะพูดอะไร เพียงแต่ที่ให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ เพราะเห็นว่าเรื่องมันใกล้จะจบแล้ว ก็คาดว่าเร็วๆ นี้จะมีการวินิจฉัยคดีออกมาจากศาลรัฐธรรมนูญ

 ณฐพร ยังกล่าวถึงการจัดกิจกรรมต่างๆ ของพรรคอนาคตใหม่ เช่น กิจกรรมอยู่ไม่เป็น โดยไม่ได้ให้ความเห็นถึงเรื่องนี้มากนัก แต่ได้กล่าวย้ำว่า กระบวนการทั้งหมดอยู่ที่พยานหลักฐาน เชื่อผมเถอะ ศาลในโลก พยานหลักฐานสำคัญสุด หากพยานหลักฐานครบ กระบวนการครบ จะมีทางเลี่ยงยังไงได้ จะไปกดดันศาลรัฐธรรมนูญยังไง ผมมั่นใจ กระบวนการยุติธรรมทั่วโลก ไม่ใช่แค่ประเทศไทยประเทศเดียว ผมมั่นใจว่าไม่มีทางเป็นไปได้

ผมยกตัวอย่างผมทำคดี คุณวีระ สมความคิด ที่ถูกควบคุมตัวที่กัมพูชา ผมพลาดตอนไหนรู้ไหม ผมไปปรินต์เอกสารจากอินเทอร์เน็ต แต่ไม่มีหน่วยราชการรับรอง พอขึ้นศาลผมส่งเอกสารให้ศาล ผมร้องขอให้ศาลเดินเผชิญสืบ ศาลบอกว่าเอกสารที่ทนายความปรินต์มาให้ศาลไม่มีหน่วยงานไหนรับรอง ศาลจึงไม่รับฟังเป็นพยานเอกสาร ดังนั้นที่ทนายความร้องขอให้ศาลเดินเผชิญสืบ ศาลจึงไม่สามารถทำได้-จบเลย เช่นเดียวกันกับคำร้องคดียุบพรรคอนาคตใหม่ ผมจึงต้องเอาเอกสารพยานหลักฐานที่เป็นเอกสารตัวจริงไปส่งศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นหลักฐานที่เราไม่ได้สร้างขึ้นมา อย่างเทปเสียงอะไรต่างๆ ผมก็อัดมาจากตัวต้นฉบับที่มีรูปอะไรของพวกเขาเลย มีทั้งภาพถ่ายอะไรทั้งหมด แบบนี้เขาก็หนีไม่ได้ อย่างเรื่องที่พูดเรื่องระบบเศรษฐกิจพอเพียง ก็มีพยานต่างๆ คำให้สัมภาษณ์ ผมก็ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญ

"คำร้องคดียุบพรรคอนาคตใหม่ พยานหลักฐานเราค่อนข้างสมบูรณ์ พอพยานหลักฐานสมบูรณ์เราถึงไม่ค่อยห่วง คำร้องคดีนี้ผมมั่นใจว่าศาลรัฐธรรมนูญต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานเป็นหลัก คือจะเขียนคำร้องให้พิเศษอย่างไรก็ไม่สำคัญ แต่สิ่งสำคัญคือพยานหลักฐานเราแน่นหนาไหม ศาลรัฐธรรมนูญจะนำมาพิจารณาได้หรือไม่"

เบื้องหลังเริ่มเกาะติด  ธนาธร-ปิยบุตร

ณฐพร เล่าให้ฟังถึงการติดตามเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับตัวของธนาธรและปิยบุตร ก่อนที่จะยื่นคำร้องให้ยุบพรรคอนาคตใหม่และเอาผิดธนาธรกับปิยบุตรว่า ตัวเขาเป็นคนชอบอ่านหนังสือและเป็นคนมีลูกน้องเยอะ เวลาเราจะกล่าวหาใคร ต้องไม่พูดลอยๆ ต้องมีพยานหลักฐาน พยานเอกสาร อย่างฝ่ายผู้ถูกร้อง เขาแย้งว่าทำไมเอาเรื่องสมาคมอิลลูมิเนติมาเขียนในคำร้องยุบพรรค ก็เพราะผมต้องการโยงให้เห็นว่า ลักษณะความคิดของพวกเขามันเหมือนและอธิบายในคำร้อง โดยยกเรื่องสัญลักษณ์ของสมาคมอิลลูมิเนติคล้ายกับตราสัญลักษณ์พรรคอนาคตใหม่ และพฤติกรรมต่างๆ ของผู้ถูกร้องใช้ New World Order เพราะสมาคมอิลลูมิเนติมีตัวตน เกิดในเมืองอินกอลสตาดต์ ประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นสมาคมที่ต่อต้านและล้มล้างสถาบันกษัตริย์ในยุโรป

...ระบบกษัตริย์ในยุโรปกับของไทยแตกต่างกัน คนละเรื่องกันเลย เขาก็นำตรงนี้มาใช้ เช่น คนไม่ต้องเคารพกันแล้ว ไม่ต้องมีศาสนาใด ซึ่งที่ฝรั่งเศสสมาคมอิลลูมิเนติเขาต้องการล้มทั้งสถาบันศาสนาและสถาบันกษัตริย์ เลยตั้ง New World Order ขึ้นมา เป็นแบบลัทธิใหม่ ก็มีการระบาดมา แล้วตัวคุณธนาธรที่มีแนวคิดหลายอย่าง เช่น ไม่ต้องกราบไหว้พระ พระไม่ต้องตีระฆัง เรื่องการยิ้มของคนไทย ซึ่งลักษณะเขาก็เหมือนพวกสมาคมนี้ แล้วพฤติกรรมการกระทำก็ออกไปในแนวทางนี้ ผมก็เพียงแต่เขียนอธิบาย

-เริ่มติดตามพรรคอนาคตใหม่ ธนาธร ปิยบุตร อย่างจริงจังตั้งแต่เมื่อใด?

คือก่อนหน้านี้ผมก็เคยไปสอนอยู่ที่คณะสังคมศาสตร์ แต่สาขาบริหารงานกระบวนการยุติธรรม คนพวกนี้ก็จะอยู่แวดวงเดียวกัน เราก็ศึกษามาตลอดว่าคนกลุ่มนี้เป็นมาอย่างไร โดยเฉพาะอย่าง ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์, สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล, ปิยบุตร และธนาธร พวกนี้มันก็รู้จักกันมาพอสมควร แต่ไม่ได้รู้จักในฐานะการคุยอะไรกัน แต่รู้จักในฐานะคนอ่าน ที่ทำให้เห็นว่าคนพวกนี้คิดอะไร ทำอะไร เราก็คอยตามเขา เช่นหนังสือของพวกเขา เราก็มีเก็บไว้ จนเมื่อพวกเขามาตั้งพรรคการเมือง ซึ่งจริงๆ หลายคนในพรรคอนาคตใหม่ก็มาจากคนกลุ่มเดียวกัน แล้วก็ใช้ทฤษฎีเดิมอะไรต่างๆ ผมถึงกล้าพูดว่า ความผิดมันเกิดจากอดีต จนถึงปัจจุบันเราก็โยงให้เห็น

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อสิบวันที่แล้ว มีคนบอกว่าผมจะไปปล้นร้านทอง แต่พอถึงเวลาก็ไม่ได้ไปปล้น แต่อีกไม่กี่เดือนกว่า มีการปล้นร้านทอง มันก็เชื่อมโยง มีการตรวจเช็กต่างๆ การเชื่อมโยงของผมไม่ใช่เป็นการจินตนาการ เพราะมีเอกสารต่างๆ เช่น หนังสือ หลักฐานต่างๆ ให้เห็นภาพชัดหมด บางคนก็อาจเห็นว่า ทำไมเอาเรื่องในอดีตมา เช่น กรณีโฆษกพรรค น.ส.พรรณิการ์ ที่มีการโพสต์ภาพอะไรต่างๆ สมัยเรียนจบ หรือคำที่เขาพูดว่า รัฐธรรมนูญเฮงซวย ก็ผิดมาตรา 112 ซึ่งในสำนวนที่ยื่นไปให้ศาลรัฐธรรมนูญ ผมก็เขียนไว้ด้วย

“ผมบอกได้เลยว่าเราไม่ได้มีเจตนากลั่นแกล้ง และไม่มีใครสั่งให้เราทำ ผมทำงานอยู่กระทรวงกลาโหม ผมยอมลาออกเพื่อไม่ให้ใครมาบอกว่าผมทำภายใต้ของกลาโหม ผมลาออกเลย ตัดออกทุกที ผมทำเรื่องนี้ ผมใช้อาชีพการเป็นทนายความในการทำสำนวน”

ต่อข้อถามที่ว่า ตอนศาล รธน.รับคำร้องที่ยื่นไปด้วยมติ 5 ต่อ 4 แปลกใจหรือไม่ หรือมั่นใจอยู่แล้วว่าศาลรับแน่นอน ณฐพร กล่าวตอบว่า ผมมั่นใจ อย่าลืมว่าผมก็เคยเป็นคนเขียนคำวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดินมาก่อนที่ก็เหมือนกับศาล ทำมาห้าหกปี คดีใหญ่ๆ ตอนผมอยู่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ผมเป็นคนเขียน ผมเป็นคนทำ ผมก็พอรู้ช่องทางว่าวิธีการเขียนเป็นอย่างไร รู้หลักการที่เขียนคำร้อง ยกตัวอย่าง คดีปล่อยเงินกู้ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) คำร้องเรื่องดังกล่าวผมก็เป็นคนเขียนสำนวน การทำงานของผมจึงมีองค์ประกอบ มีพยานหลักฐานเพียงพอ เพราะอย่างการทำคำวินิจฉัย ต้องมีหลักฐานเพียงพอว่าเราจะชี้มูลใคร เหตุผลเป็นอย่างไร

-หากสุดท้ายผลคำวินิจฉัยคดียุบพรรคอนาคตใหม่ออกมาแล้ว มีบางฝ่ายไม่ยอมรับ จนมีการปลุกกระแสให้ไม่ยอมรับคำวินิจฉัย?

บ้านเรายังไงกระบวนการยุติธรรมก็ต้องเป็นกระบวนการยุติธรรม ศาลก็คือกระบวนการยุติธรรมของประเทศ ไม่ว่าศาลจะตัดสินออกมาอย่างไร อย่างตัวผมเอง ผมก็ยอมรับ ไม่ว่าจะตัดสินออกมาในรูปแบบไหน ผมก็ต้องยอมรับคำพิพากษาศาลรัฐธรรมนูญ เราต้องเคารพในคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะหากไม่เคารพ ประเทศชาติอยู่ไม่ได้ และผมมั่นใจว่า ตรงนี้ประชาชนส่วนใหญ่เท่าที่ผมสัมผัส เขาก็มองในเชิงเห็นด้วยกับผม

“พรรคอนาคตใหม่ผมเชียร์เขา ไม่ใช่ไม่เชียร์ ผมยอมรับที่ได้คนรุ่นใหม่เข้ามาทำงาน แต่เราก็ต้องดูว่า จะทำอย่างไรให้ประชาชนอยู่ดีมีสุขและคนในพรรคปรองดองกัน สามารถทำงานช่วยสังคมได้จริงๆ แบบนี้ควรทำมากกว่า ปากท้องประชาชนเป็นอย่างไร ไม่ใช่เอาคนสองคนแยกออกจากกัน แล้วเอาเยาวชนมาเป็นพวก แล้วก็ปั่นการสื่อสารเทคโนโลยีมาปั่นเด็ก แบบนี้ผมไม่เห็นด้วย”

-หากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินออกมาในทางที่ไม่ได้เป็นอย่างที่คาดหวัง?

ผมพร้อมรับอยู่แล้ว ผมไม่มีอะไร เพียงแต่ต้องการให้สังคมรับรู้ว่ามันมีการกระทำแบบนี้เกิดขึ้นในประเทศไทย ส่วนกระบวนการต่างๆ ผมไม่ได้สนใจหรอกว่า จะต้องถูกยุบพรรคหรือไม่ถูกยุบพรรค เพราะเป็นเรื่องของอำนาจศาล เราต้องเคารพในกระบวนการยุติธรรม หากไม่เคารพในกระบวนการยุติธรรม ก็หมดท่าแล้ว ถึงศาลจะตัดสินอย่างไร พร้อมเคารพเสมอ เพียงแต่อยากให้ประชาชนรับรู้ว่ามีการกระทำแบบนี้เกิดขึ้นแล้ว

-หากมีการสร้างกระแสไม่ให้ยอมรับคำตัดสินหากผลออกมาอย่างใดอย่างหนึ่งในคดียุบพรรคดังกล่าว?

เรื่องความมั่นคงภายในประเทศ ทหารก็สามารถดำเนินการได้ เรื่องนี้ไม่น่าห่วง เพราะจริงๆ แล้ว ในสังคมตอนนี้ข่าวอะไรต่างๆ ก็แพร่กันเร็ว ต่างชาติเขาก็สนใจ อย่างมีสื่อของประเทศอังกฤษ ก็ติดต่อมาขอสัมภาษณ์ผม เขาบอกว่าทำไมถึงไปร้องยุบพรรคการเมือง ผมก็บอกว่าขอให้คดีจบก่อนแล้วค่อยคุยกัน

เงินกู้ 191 ล้านบาท  เชื่อผลพวงสาหัส

-เงินที่พรรคอนาคตใหม่กู้ยืมจากธนาธร 191 ล้านบาทก่อนการเลือกตั้ง ถึงขั้นเอาผิดพรรคอนาคตใหม่ได้ไหม?

พรรคการเมืองที่อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.พรรคการเมือง จะมีการบัญญัติเรื่องที่มา รายได้ของพรรคการเมืองเอาไว้ชัดเจนว่ามาจากทางใดบ้าง แต่เงินกู้ในระบบพรรคการเมืองไม่ได้มีการเขียนเอาไว้ เมื่อไม่ได้เขียนไว้ ก็ต้องดูที่พฤติกรรม การกระทำใดๆ ต้องดูที่เจตนา เช่น คุณนำเงินจากการกู้ไปใช้ทำอะไร ผมว่าเรื่องเงินกู้ 191 ล้านบาท ก็ทำให้ยุบได้เหมือนกัน เรื่องเงินกู้นี้ก็ทำให้ยุบ

-แต่ อนค.เขาพยายามแจงว่าในหลักทางบัญชี เงินกู้ไม่ใช่รายได้?

เรื่องเงินกู้ไม่ใช่รายได้หรือไม่ อยู่ที่ว่าแล้วกฎหมายให้ทำได้หรือไม่ เพราะกฎหมายพรรคการเมืองเขาบัญญัติไว้ชัด เงินที่พรรคการเมืองจะได้จะมีแหล่งที่มาจากไหนบ้าง คำว่า ”แหล่งที่มาไม่ชอบ” ไม่ได้หมายถึง เป็นเงินผิดกฎหมาย แต่หมายถึงแหล่งที่มาไม่ชอบ เช่น มีคนบริจาคเงินให้สิบล้านบาท แล้วผมก็ไปเอาเงินนั้นมาทั้งที่เป็นเงินบริจาค ลักษณะเป็นแบบนี้มากกว่า

คำว่าแหล่งที่มาไม่ชอบ ไม่ได้หมายถึงอย่างเป็นเงินจากการค้ายาเสพติด ไม่ใช่ การที่กฎหมายพรรคการเมืองเขาเขียนแบบนั้น เพราะไม่ต้องการให้มีบุคคลใดบุคคลหนึ่งครอบงำพรรคการเมือง เช่น คุณมีเงิน แล้วคุณก็ตั้งพรรคการเมืองแล้วคุณก็คนมาเป็นสมาชิกพรรค ใครทำอะไรไม่ได้ เขาเรียกเผด็จการครอบงำ เขาถึงต้องมีการเขียนมาตรานี้ไว้ ในเรื่องเงินที่มาของพรรคการเมือง

พรรคอนาคตใหม่ ผมบอกได้เลยว่า ถ้าเอากันจริงๆ หลายประเด็นโดนยุบ หัวใจอยู่ที่คนเขียนคำร้อง ต้องเขียนให้เข้าองค์ประกอบกฎหมาย โดยต้องบอกว่าผู้ถูกร้องมีความผิดอะไร เพราะการเขียนไป แล้วผู้พิจารณาจะรับคำร้องหรือไม่รับคำร้อง อย่าง กกต. การพิจารณาเขาก็ต้องพิจารณาให้ลึกซึ้ง เพราะระบบของเราเป็นทั้งระบบกล่าวหาและไต่สวน อย่างการใช้ช่องทางยื่นตามมาตรา 45 ของรัฐธรรมนูญ ก็มีคนร้องแบบผมเยอะ แต่ศาลยกคำร้องหมด เพราะเขียนแล้วไม่เข้าองค์ประกอบ หัวใจสำคัญจึงอยู่ที่การเขียนคำร้อง และเขียนแล้วเข้าองค์ประกอบความผิดตามกฎหมายหรือไม่

อย่างเรื่องเงินกู้ 191 ล้านบาท ผมบอกได้เลยว่ายุบล้านเปอร์เซ็นต์ เราต้องเรียงให้เห็นว่า เงินมาจากไหน และเมื่อกฎหมายพรรคการเมืองกำหนดไว้ พรรคการเมืองก็ไม่สามารถทำนอกกฎหมายได้ เช่น กำหนดไว้ว่า การไปทำบัตรประชาชน ต้องเตรียมเอกสาร เช่น สำเนาบัตรประชาชนเดิม ไม่ใช่พอไปถึงแล้วบอกว่าไม่มี เขาก็ไม่ทำให้ อย่างพรรคการเมือง เมื่อกฎหมายกำหนดไว้ก็ต้องปฏิบัติตาม คำว่า ”เป็นรายได้หรือไม่ใช่รายได้” ไม่ใช่ประเด็น แต่ประเด็นคือกฎหมายเขาบัญญัติไว้ให้ทำเฉพาะแบบนี้แล้วเขาไม่ทำ

คำถามปิดท้าย เราถามถึงหากมีคนที่เลือกพรรคอนาคตใหม่ที่มีคนเลือกหกล้านกว่าคนในการเลือกตั้งที่ผ่านมา เขาสงสัยว่า ทำไมต้องร้อง ยุบพรรค ที่เพิ่งตั้งมาแล้วได้คะแนนจากประชาชนหกล้านกว่าเสียง ณฐพร-ผู้ร้องคดียุบพรรคอนาคตใหม่ แจงเรื่องนี้ว่า ต้องแยกให้ออก การเลือกตั้งก็เป็นเรื่องของการเลือกตั้ง แต่การกระทำที่เขาทำต่อสถาบัน ซึ่งผมถือว่าคนไทย ชั่วชีวิตผม เมื่อเราอาศัยภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร สิ่งที่เราทำ เราต้องการตอบแทนคุณแผ่นดินเท่านั้นเอง ไม่อยากให้เกิดความแตกแยกสามัคคี แบ่งเป็นฝ่ายนั้นฝ่ายนี้ ถ้าพรรคอนาคตใหม่ทำการเมืองแบบพรรคอื่นๆ ผมก็ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว เรื่องการเมืองผมไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยว เพียงแต่ว่าเมื่อทำพรรคการเมืองแล้ว มันก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ก่อให้เกิดความแตกแยกในสังคม ทำลายสถาบันที่เราเคารพบูชา ผมว่าเราก็ต้องทำ.

 **********************************************************

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"